“ฮ่า ๆ.....”ในขณะเดียวกันนั้นเอง เจวี๋ยเทียนไม่สามารถอดทนต่อความตื่นเต้นได้อีกต่อไป เพราะผลที่ได้จากการดูดซับพลังเวทปีศาจในครั้งนี้ดีกว่าที่คาดเอาไว้มากสมบูรณ์แบบมากจริง ๆแน่นอน ทั้งหมดต้องขอบคุณเย่เทียนหยู่ที่รออยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่มีการขัดจังหวะใด ๆ นั่นจึงทำให้เขาสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น จากนั้นจึงพูดพลางหัวเราะเสียงดังออกไปว่า “เทียนหยู่ เห็นแก่ที่เมื่อกี้นายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อีกเดี๋ยวฉันจะเหลือศพที่สมบูรณ์ให้นายก็แล้วกัน!”ในตอนนั้นเอง เขาได้ปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างบ้าคลั่งเริ่มแรกมาก็หยางผั่วจวิน จากนั้นก็มีคนที่ชื่อหยู่เทียนโผล่มา แต่ละคนต่างมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเด็กขนาดนี้อีกต่างหากหากให้เวลามากกว่านี้ ทั้งสองคนอาจจะสามารถละลวงไปถึงระดับเทพยดาแดนดินเลยก็ได้ พอถึงตอนนั้น ต่อให้บรรพจารย์จะน่ากลัวมากแค่ไหน ก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขายังไงซะ อายุของพวกเขา รวมถึงพรสวรรค์ที่มีก็ชัดเจนมากอยู่แล้วดังนั้น เขาจึงมีความคิดที่จะฆ่าอีกฝ่ายขึ้นมาจริง ๆ“คุณจะฆ่าผมเหรอ?” เย่เทียนหยู่พูดด้วยความตกใจ ก็แค่พลังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวไม
เมื่อคำนี้ถูกพูดออกมา ทูตใหญ่ก็ยิ่งงงมากขึ้นกว่าเดิมเหตุใดจูเก่อหลิวหลีถึงได้กังวลว่าจะเกิดเรื่องกับเจ้าตำหนักหยู่ขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นตอนที่เธอเครียดจนต้องจับชายเสื้อเอาไว้แน่น ซึ่งมันก็ค่อนข้างที่จะเกินกว่าความเป็นห่วงแบบปกติไปมากแล้วเหตุใดท่านประมุขถึงได้มั่นใจขนาดนั้นว่าเจ้าตำหนักหยู่จะไม่เป็นไรหรือว่า?ทันใดนั้น ความคิดที่ดูเหมือนจะไร้สาระก็ผุดขึ้นในหัวของทูตใหญ่เจ้าตำหนักหยู่ก็คือเย่เทียนหยู่ คุณชายของพวกเขาหยู่เทียน เทียนหยู่!ถูกต้อง จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน!แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะแตกต่างกัน แต่ทูตใหญ่ก็พอจะมีความรู้อยู่บ้าง และรู้ว่ามีการปลอมตัวที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่นี่รูปร่างเองก็เปลี่ยนไปด้วยงั้นเหรอบางที ประมุขน้อยอาจจะใช้วิธีพิเศษบางอย่างก็ได้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ทูตใหญ่ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ตื่นเต้นที่เห็นว่าพลังของประมุขน้อยแข็งแกร่งขนาดนี้ครั้งที่แล้วที่ต่อสู้กับชิงหลง ก็เอาชนะได้อย่างยากลำบากแต่ครั้งนี้กลับเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งขึ้นมากแต่ว่า ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี ยังไงซะ พลังของเจวี๋ยเทียนในตอนนี้แทบไม่ได้ด้วยไปกว่าชิ
ทูตใหญ่ตะโกนออกไปด้วยความร้อนใจ เพื่อที่จะแจ้งข่าวสำคัญให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน ว่าเจวี๋ยเทียนยังใช้เวทอาคมปีศาจคงเพิ่มพลังอย่างบ้าคลั่งไม่แปลกใจเลยที่แววตาของเขาดูโหดเหี้ยมขึ้น ใบหน้าดูบูดเบี้ยว ถึงขั้นแสดงความเจ็บปวดออกมาเลยอีกด้วยเกรงว่านี่อาจจะเกินกว่าขีดจำกัดที่เขาจะสามารถแบกรับเอาไว้ได้แล้วนอกจากนี้จะเห็นได้ว่า เจวี๋ยเทียนยังถูกเจ้าตำหนักหยู่บังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังอีกด้วยเย่เทียนหยู่ได้ยินคำพูดของทูตใหญ่ แต่เขาก็ยังไม่มีการตอบสนองใด ๆ อยู่ดี เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่ง“เจ้าตำหนัดหยู่ รีบหยุดเขาเถอะ!”เยว่เหลียนหานเองก็สัมผัสได้เช่นกัน เธอกังวลจนแทบบ้า อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป“ไม่ต้องรีบ!”“ปล่อยให้เขาดูดซับไปเรื่อย ๆ!”ท่าทีของเย่เทียนหยู่ยังคงสงบนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกมาว่า “เพราะไม่อย่างนั้น เขาอาจจะไม่พอใจเอาได้”ทุกคนต่างรู้สึกหมดคำจะพูด!หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเขาจะไม่พอใจ ปล่อยให้เขาเพิ่มพลังไปเรื่อย ๆ รู้รึเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา?หรือจะบอกว่า คุณมีความมั่นใจอย่างมากว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะได้โดยไม่มีวันแพ้!แต่
สีหน้าทูตใหญ่เปลี่ยนไปอย่างมาก “อาคมสูงสุดของเวทอาคมปีศาจ มารเทวะสามกระบวน! เป็นไปได้ยังไง เขาสามารถใช้มารเทวะสามกระบวนได้ยังไง!”เมื่อทุกคนได้ยินคำนี้ ต่างก็รู้สึกสั่นสะเทือนในใจขึ้นมาแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่ากระบวนท่านี้น่ากลัวมากแค่ไหน แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าตกใจของทูตใหญ่แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่ามันจะต้องน่ากลัวมากแน่นอนแล้วอีกอย่าง ไม่จำเป็นต้องรอให้ทูตใหญ่บอก แค่ดูแรงกดดันจากพลังที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความน่าสะพรึงกลัวได้แล้วต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเขาเป็นแค่ผู้ชมข้างสนามเท่านั้น จึงได้รับผลกระทบไม่มาก เจ้าตำหนักหยู่ต่างหากที่กำลังเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ อยู่ ไม่รู้เลยว่าแรงกดดันที่เขากำลังเผชิญจะน่ากลัวเพียงใดเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เกินกว่าจินตนาการของพวกเขาทั้งสิ้นและในขณะเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดเจวี๋ยเทียนก็เริ่มเปิดฉากการต่อสู้ด้วยกระบวนท่าที่น่ากลัวที่สุด พร้อมกับพูดด้วยความโกรธออกมาว่า “ดับสูญ สังหาร!”ทันทีที่เขาพูดจบ ฝ่ามือปีศาจขนาดใหญ่ที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังปีศาจก็พุ่งไปด้านหน้าราวกับต้องการจะฉีกพื้นที่ให้แยกออกจากกันเมื่อ
ตูม ตูม......เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง มวลพลังมหาศาลทั้งแสงและเงามืดแยกออกจากกันจนนับไม่ถ้วน ราวกับคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำท่ามกลางทะเลที่เกรี้ยวกราดกำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งมวลพลังขนาดใหญ่แตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย และกระจัดกระจายออกไปจนนับไม่ถ้วน ลอยปลิวออกไปทั่วทุกสารทิศ จนทำให้เกิดรอยร้าวอันน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นราวกับมันสามารถกลืนคนเข้าไปได้ทุกเมื่อ ซึ่งน่ากลัวอย่างมากผู้คนโดยรอบที่กำลังตั้งใจสังเกตการณ์อยู่มาตลอดทั้งวัน ต่างก็หน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน“ถอย!”มู่หรงอินตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบพาคนที่อยู่รอบ ๆ ถอยออกไปอย่างรวดเร็วเยว่เหลียนหานและศิษย์สำนักดอกไม้คนอื่น ๆ ไม่ต้องรอให้มู่หรงอินบอก พวกเธอก็รีบถอยหลังออกไปกันก่อนแล้ว แม้เป็นแค่เศษของพลังปรานที่ไหลล้นออกมาก็ยังมีความน่ากลัวมากขนาดนี้ได้ทำให้พวกเขาสัมผัสถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อชีวิตได้จริง ๆสีหน้าหลินเจวี๋ยเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ ก่อนจะรีบพาศิษย์มือใหม่ทั้งสองถอยออกมา ในเวลานี้ เขาเริ่มเสียใจขึ้นมาแล้วที่พามือใหม่สองคนนี้มาด้วยแต่หยางผั่วจวินเพียงแค่โบกมือขวาก็พาทั้งสองออกไปได้ในทันที
ความแข็งแกร่งของลูกชายเธอ อันที่จริงมันเกินกว่าที่เธอคาดเอาไว้มากนี่น่ะเหรอ ระดับเทพยดาแดนดินแข็งแกร่งมากจริง ๆ!สองพี่น้องเยว่เหลียนหานจ้องมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางลานประลอง แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึง และรู้สึกนับถือเขาอย่างมาก พวกเธอไม่เคยเห็นผู้ที่ทั้งสง่างาม และแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อนแม้ว่าจะมีรูปลักษณ์และรูปร่างจะธรรมดาไปหน่อยแต่ว่า เขาก็เป็นคนที่โดดเด่น และมีเสน่ห์มากจริง ๆ!ราวกับเทพเซียนยังไงอย่างงั้น!ผู้ชายแบบนี้ จะไม่ให้พวกเธอรู้สึกนับถือ หรือรู้สึกชอบได้อย่างไรเดิมทีพวกเธอสองคนมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งมาก พวกเธอมักจะหลงตัวเอง และคิดว่าไม่มีผู้ชายคนไหนที่เหมาะสมกับพวกเธอมาโดยตลอด เพราะพวกเธอได้สาบานเอาไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป แม้จะต้องแต่งงาน พวกเธอก็จะต้องแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกันดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ จึงยังไม่มีใครที่สามารถเข้าตาพวกเธอสองพี่น้องได้เลย แม้จะเป็นเจวี๋ยเทียน พวกเธอก็ไม่คิดยินยอมอยู่ดีแต่วันนี้ ผู้ชายคนนี้สามารถทำให้พวกเธอรู้สึกหวั่นไหวได้จริง ๆเยว่หลิงที่อยู่ข้าง ๆ เองก็มีสีหน้าชื่นชมและรู้สึกตกใจด้วยเช่นกันนี่ถึงจ
เจวี๋ยเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจและสิ้นหวัง นั่นก็เพราะพลังที่น่าทึ่งของเย่เทียนหยู่ทำให้เขากลัวได้จริง ๆแต่เขากลับยังคงมีความหวังอยู่บ้างเพราะในใจของเขา ยังมีไพ่ตายสุดท้ายอยู่ใบหนึ่ง แม้ว่าพลังของเจ้าตำหนักหยู่คนนี้จะน่ากลัว หรือแข็งแกร่งมากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังไม่ใช่ระดับเทพยดาแดนดินเทพยดาแดนดิน นั่นต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงและสำนักเจวี๋ยฉิงของพวกเขา ก็มียอดฝีมือที่กำลังจะบรรลุสู่ระดับเทพยดาแดนดินอยู่หนึ่งคน ขอแค่มีบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงอยู่ ทุกสิ่งก็ยังพอมีหวังที่จะสามารถพลิกกลับมาได้ส่วนเรื่องที่ว่าเย่เทียนหยู่จะอยู่ในระดับเทพยดาแดนดินหรือไม่นั้น ในตอนที่เขาเพิ่งจะร่วงลงถึงพื้นก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกันแต่นั่นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะแม้แต่บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงเองก็เพิ่งจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับเทพยดาแดนดินได้ ทั้งยังนำพาแรงกดดันที่น่ากลัวมาให้เขาอีกต่างหาก ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะต่อต้านเลยด้วยซ้ำเย่เทียนหยู่เก่งมากก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้เก่งถึงขั้นนั้นเพราะไม่เช่นนั้น เขาคงไม่มีโอกาสลงมือได้เลยด้วยซ้ำขณะที
ถึงอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่เขาทำก็เท่ากับทรยศสำนักเจวี๋ยฉิงไปแล้ว! แต่เขาเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเย่เทียนหยู่กำลังทำอะไรอยู่ จึงได้แต่หาข้ออ้างลงมือไปเท่านั้น“ตู๋เปียนฝู!”“แกนี่มันช่างไร้ยางอายเสียจริงเลยนะ!”“รอก่อนเถอะ แกจะต้องเสียใจแน่!”สายตาที่เยือกเย็นของเจวี๋ยเทียนจ้องมองไปยังตู๋เปียนฝูอย่างแน่วแน่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบกลับ ก็หันไปมองยังคนอื่น ๆ ก่อนจะหัวเราะและพูดเสียงดังขึ้นว่า “พวกแกทุกคน คิดจริง ๆ เหรอว่าแบบนี้เรียกว่าชนะแล้ว?”เมื่อคำนี้ถูกพูดออกมา โดยเฉพาะสายตาที่ดูมั่นใจของเจวี๋ยเทียน ซึ่งมันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ หรือเจวี๋ยเทียนจะยังมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อยู่จริง ๆแต่เจวี๋ยเทียนในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ไปแล้ว แทบไม่มีแรงต่อสู้เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ส่วนเจวี๋ยซิน เมื่อกี้ก็เพิ่งจะถูกทำลายพลังไปแล้วเช่นกันแล้วสำนักเจวี๋ยฉิงจะยังมีไพ่ตายอะไรได้อีก?ระเบิดงั้นเหรอ หรือว่ายังมีอย่างอื่น?แต่พวกเขาเป็นถึงกลุ่มยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเชียวนะ ต่อให้ที่นี่จะถูกระเบิดจนพังทลายลง ก็เกรงว่าคงเอาชีวิตพวกเขาไม่ได้อยู่ดี มิหนำซ้ำยังอาจจะน
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป