“คุณชายเย่ ผมไม่รู้จะขอบคุณยังไงจริง ๆ ต่อจากนี้ไป หากคุณมีอะไรที่จะสั่ง ก็สามารถสั่งการผมได้เสมอ ต่อให้จะต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาดาบ หรือต้องลงไปในกระทะน้ำมันก็ตาม ผมก็จะทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน”จางลี่พูดอย่างมั่นใจ“เอาล่ะ อย่างนายเนี่ยนะ เวลาเจอเรื่องอันตราย ก็ไม่รู้ว่าวิ่งหนีหายไปซ่อนที่ไหนแล้ว” เย่เทียนหยู่ส่ายหัวแล้วพูดต่อว่า “ต่อไป ก็พาคนของนายมาช่วยฉันเถอะ”“จริงเหรอครับ เยี่ยมไปเลยครับ ต่อไปก็สั่งการได้เต็มที่เลยครับ! ” จางลี่กล่าวทันทีแม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ได้เห็นพลังและความน่ากลัวของคุณชายเย่ครั้งแล้วครั้งเล่าแค่ทักษะทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวนี้ก็ไม่มีใครในโลกสามารถเทียบได้แล้ว หากติดตามคนแบบนี้ อนาคตก็จะสดใสแน่นอน“อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป เมื่อมาทำงานให้ฉันแล้ว แต่นายก็ห้ามไปทำเรื่องอะไรที่มันผิดต่อกฎหมายเด็ดขาด”“คุณชายโปรดวางใจ คุณพูดอะไร เราก็จะทำแบบนั้น”“ดี จำสิ่งที่นายพูดเอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นล่ะก็ การลงมือของฉันนายเองก็รูดีนี่”หลังจากที่เย่เทียนหยู่เตือนเสร็จ เขาก็ถามว่า “ทำไมนักฆ่าถึงต้องการสังหารนาย? ”เมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้ จางลี่ก็กัดฟั
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของคุณแล้ว ผมเกรงว่าคงมีแค่นักฆ่าห้าอันดับแรกของโลกเท่านั้นถึงจะเทียบเคียงได้ ผมจะไปมีความสามารถทำร้ายคุณได้อย่างไร”“นายผิดแล้ว”เย่เทียนหยู่ส่ายหัว“ผิดงั้นเหรอครับ? ”หรือว่าความแข็งแกร่งของดาวตกไม่สามารถรับมือกับห้าอันดับแรกได้?พอมาลองคิดดูแล้วก็ใช่ แม้ว่าเรื่องที่เขาทำมันจะสุดยอดมากแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นการลอบสังหาร ซึ่งแตกต่างจากการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว“อืม นักฆ่าห้าอันดับแรกพวกนั้น ยกเว้นอันดับแรกที่อาจจะต้องใช้แรงมากหน่อย ส่วนที่เหลือ ต่อให้ลงมือพร้อมกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันอยู่ดี” เย่เทียนหยู่พูดด้วยท่าทีที่ราบเรียบ“......”“นี่นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่เราได้เจอกัน ใช่หรือเปล่า? ”“ใช่ครับ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ในสองครั้งแรก ส่วนครั้งนี้ ผมยิ่งรู้สึกละอายใจมากกว่าเดิมอีกครับ”“เราถูกลิขิตให้มาพบกัน ส่วนนี่ ให้นายนะ” เย่เทียนหยู่หยิบหนังสือออกมา แล้วโยนมันไปให้เขาทันทีในฐานะราชามังกรแห่งด่านหลงเหมิน บวกกับที่เขาเองก็เคยได้รับโอกาสมาเช่นกัน สิ่งที่มีก็คือทรัพยากร“มันคืออะไรเหรอครับ! ”นักฆ่าหมายเลข
“คุณชาย เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”จางลี่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังชี่ในตัวของเย่เทียนหยู่“ไม่เป็นไร นายคุ้นเคยกับเถ้าแก่ที่นี่หรือเปล่า? ”“คุ้นเคยสิครับ คุ้นเคยมากด้วย”“หาคนช่วยฉันจับตาดูห้องนี้เอาไว้ อีกเดี๋ยวถ้ามีผู้หญิงเข้ามาแล้ว จำไว้ว่าต้องมาบอกให้ฉันทราบโดยเร็วที่สุด”“ครับ! ”หลังจากที่จางลี่ฟังจบ เขาก็โทรหาผู้จัดการที่รับผิดชอบทันที และอธิบายทุกอย่างให้ฟังไม่นานหลังจากที่เขาเข้ามาและนั่งลง จางลี่ก็ได้รับข่าวมาทันที หลังจากที่เย่เทียนหยู่รู้เรื่องแล้ว เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทันทีภายใต้การแนะนำของหลิวเจี๋ย หลินหว่านหรูก็ตามเข้ามา และในไม่ช้าก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว เขาก็น่าจะเป็นนายน้อยฉู่ในเวลานี้ หลิวเจี๋ยก็รีบพูดด้วยความเคารพ "นายน้อยฉู่! ”นายน้อยฉู่ยังคงรักษาท่าทางของเขาไว้ มองไปที่หลินหว่านหรู แล้วพูดอย่างใจเย็น “เธอคือหลินหว่านหรูที่คุณพูดถึงอย่างงั้นน่ะเหรอ? ”“ใช่ครับ! ”“นั่งลงเถอะ” นายน้อยฉู่กล่าว“หว่านหรู มา พวกเราดื่มให้กับนายน้อยฉู่สักแก้วดีกว่า”ในเวลานี้ บนโต๊ะมีไวน์และอาหารมากมาย หล
“นั่นเป็นเพราะว่า ไวน์เหยือกนี้มีบางอย่างผิดปกติ นี่คือเหยือกยวนยาง ข้างในมีไวน์สองชนิด สามารถควบคุมไวน์ที่อยู่ข้างในได้ สามารถเลือกเทไวน์หนึ่งในนั้นได้ตามต้องการ”เย่เทียนหยู่อธิบาย“ไร้สาระ เย่เทียนหยู่ นายมาที่นี่เพื่อเล่าเรื่องรึไง? ” หลิวเจี๋ยรู้สึกลนลาน“เอาล่ะ เถียงกันพอแล้วรึยัง เจ้าหนู นายรู้ไหม พูดจาใส่ร้ายผู้อื่นต่อหน้าฉันแบบนี้ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงแค่ไหน” นายน้อยฉู่พูดอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าโกรธเคือง“ก็แค่ของปลอม มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ” เย่เทียนหยู่เยาะเย้ยจู่ ๆ ท่าทางของนายน้อยฉู่ก็เปลี่ยนไป เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมองออก มันทำให้เขาตื่นตระหนกอย่างมากแต่หลินหว่านหรูเองก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เพราะวันนี้นายน้อยฉู่คือฟางช่วยชีวิตของเธอ แล้วจะไม่ให้เธอโกรธเคืองขนาดนี้ได้อย่างไร เธอลุกขึ้นและพูดด้วยความโกรธกับเย่เทียนหยู่ “เย่เทียนหยู่ นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ นี่นายอยากตายมากขนาดนั้นเลยรึไง? แต่ต่อให้นายจะอยากตายจริง ๆ นายเคยนึกถึงตระกูลหลินบ้างไหม”“ฉัน……”“นายมันทำไม นายไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ต้อนรับนาย” หลินหว่านหรูกลัวว่าจะไปล่วงเกินนายน้อยฉู่เ
เมื่อเห็นนายน้อยฉู่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยวแบบนั้นแล้ว หลินหว่านรูก็หน้าซีดลง ได้แต่นั่งลงอย่างว่างเปล่าหลิวเจี๋ยถอนหายใจและพูดว่า “หว่านหรู ผมไม่ได้จะตำหนิคุณนะ แต่ทำไมคุณถึงยังเข้าไปพัวพันกับคนอย่างเย่เทียนหยู่อยู่อีก? ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ ช้าเร็วเขานั่นแหละที่อาจจะทำร้ายคุณได้”“ไม่ใช่สิ ตอนนี้เขาก็ได้ทำร้ายคุณไปแล้ว”“ฉันเองก็คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะโผล่มา” หลินหว่านหรูรู้สึกหดหู่มาก และถามออกไปว่า “นายน้อยหลิว คุณพอจะคิดหาวิธีอื่นได้อีกไหมคะ? ”“ผมขอลองคิดดูก่อนก็แล้วกัน”หลิวเจี๋ยเข้าใจดี ว่าวันนี้หากมีเย่เทียนหยู่อยู่ด้วย เขาก็จะไม่ประสบความสำเร็จแน่ อาจจะต้องปรับเปลี่ยนแผนการหน่อย“คุณอยู่ที่นี่รอผมนะ ผมจะลองตามไปดู”“ได้ค่ะ! ”หลินหว่านหรูกลัวว่านายน้อยฉู่จะไม่ต้องการพบเธออีก ดังนั้นเธอจึงได้แต่นั่นรอขณะที่หลิวเจี๋ยกำลังจะลงไปชั้นล่าง เขาก็เห็นเย่เทียนหยู่ เขาพูดถูก เย่เทียนหยู่กำลังจับตาดูเขาอยู่ตลอด หากอยู่ที่นี่วันนี้แผนที่วางไว้ก็จะไม่มีทางสำเร็จแน่นี่ทำให้ในใจเขาเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อไม่มีหลินหว่านหรูอยู่ข้าง ๆ หลิวเจี๋ยก็ไม่อ่อนโยนเหมือนปกติอีกต่อไป และพูดอย่
“เฮ้อ เย่เทียนหยู่เองก็ทำเกินไปจริง ๆ แต่ยังไงเขาก็ไม่ได้มีเจตนาเลวร้ายอะไรเลย แค่บางทีเขาอาจจะอิจฉาและเข้าใจเราผิดไปก็เท่านั้น” หลินหว่านหรูไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอธิบายเพื่อเย่เทียนหยู่“จนถึงตอนนี้ คุณยังหาเหตุผลเพื่อเข้าข้างเขาอีกเหรอ? ”“ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ ขืนคุณยังไม่กำจัดคนแบบนี้ออกไปจากชีวิต ช้าเร็วก็จะถูกเขาทำร้ายในสักวัน ไม่สิ ตอนนี้ก็ถูกเขาทำร้ายไปแล้วนี่” หลิวเจี๋ยโกรธมากหลินหว่านหรูยิ้มอย่างขมขื่น ในเวลานี้ปู่ของเธอโทรมาถามถึงความคืบหน้าของเรื่องนี้ ด้วยความสิ้นหวัง เธอเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้นนายท่านโกรธมากในตอนแรก แต่ไม่นานก็ถอนหายใจ บางที นี่อาจเป็นชะตากรรมก็ได้จากนั้นเธอก็กลับไปทานอาหารเย็น พอดีกับที่ครอบครัวได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง แม้แต่หลิวเจี๋ยเองก็ได้รับเชิญให้กลับไปด้วย หลิวเจี๋ยเองก็มีความสุขมากที่ได้ไปด้วยหลังจากกลับไปแล้ว ทุกคนต่างก็พูดดูถูกเย่เทียนหยู่ จากนั้นจึงกล่าวชมเชยหลิวเจี๋ยในทุก ๆ เรื่องอาหารมื้อนี้ หลิวเจี๋ยทานได้อย่างมีความสุขมากหลังจากที่เย่เทียนหยู่และหลินหว่านรู่แยกจาก
“เจ้าหนู ยังถือว่าแกพอจะฉลาดอยู่บ้าง” ซาป้าเทียนพูดอย่างเย็นชาทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนในตระกูลหลินก็ตกตะลึงและหน้าซีดเผือดกันหมด คิดไม่ถึงเลยว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าหรือก็คือซาป้าเทียน ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงผู้ทรงพลังที่โด่งดังในเมืองเทียนไห่หลินจื่อตงเพิ่งจะออกมา เลยไม่รู้ชื่อเสียงของซาป้าเทียนผู้นี้ หลังจากที่โดนโจมตี ก็กลับทำให้เขาโกรธมาก จนเกือบจะพ่นคำด่าออกไป แต่นายท่านหลินก็ได้หยุดเขาเอาไว้ก่อนสีหน้าของนายท่านหลินดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก ในที่สุดซาป้าเทียนก็ไล่ตามมาถึงที่จนได้ แถมยังป่าวประกาศว่าต้องการตัวลูกสาวของตนอีกจะทำยังไงดี ตอนนี้จะทำยังไงดีซาป้าเทียนเหลือบมองทุกคนอย่างเย็นชา และพูดว่า “พวกแกฟังไว้ดี ฉันคือซาป้าเทียน วันนี้ที่ฉันมาที่นี่ ก็มีแค่จุดประสงค์เดียวเท่านั้น ก็คือตามหาคนที่ทำร้ายคนของตระกูลซา”“ดังนั้น ตราบใดที่พวกแกตอบคำถามของฉันอย่างตรงไปตรงมา ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย แต่ถ้าไม่ล่ะก็ ฉันรับประกันได้เลย ว่าวันนี้ในปีหน้า มันจะกลายเป็นวันระลึกถึงพวกแกแทน”“ใช่ ใช่ หากอาจารย์ซามีอะไรอยากจะถามก็เชิญถามมาได้เลย ไม่ว่ายังไง หากเป็นสิ่งที่พวกเรารู้
หลิวเจี๋ยรู้สึกหวาดกลัวมาก และต้องการที่จะปกป้องตัวเองหลินจื่อตงก็โกรธขึ้นทันที และพูดออกไปเสียงดัง “ใช่แล้ว เป็นนายน้อยหลิวนั่นแหละ คุณรู้ไหมว่านายน้อยหลิวเป็นใคร เขาเป็นถึงนายน้อยของตระกูลหลิว เป็นนายน้อยของฉีเฟยกรุ๊ป กล้ายั่วโมโหเขา ฉันว่าแม้แต่คำว่าตายแกยังสะกดไม่ถูกด้วยซ้ำ”เวรเอ้ย!ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หลิวเจี๋ยก็เกือบจะทรุดตัวลง เขาจึงพูดด้วยความกลัว “ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้น...... ”“นายน้อยหลิว คุณเป็นอะไรไป ทำไมคุณต้องกลัวเขาด้วย เขาทำให้พวกเราไม่พอใจขนาดนี้ คุณก็แค่เชิญคนใหญ่คนโตมา ในพวกเขาได้รู้ว่ายังมีคนที่อยู่เหนือกว่าพวกเขาอยู่”หลินจื่อตงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ“หุบปาก ฉันสั่งให้แกหุบปากเดี๋ยวนี้! ”หลิวเจี๋ยแทบจะจะหลั่งน้ำตาออกมา เขาจึงตะคอกด้วยความโกรธนายท่านหลินเองก็พูดอย่างเร่งรีบ “จื่อตง หยุดพูดได้แล้ว ท่านนี้คืออาจารย์ซา เป็นถึงปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่”“เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แล้วยังไง ตอนนี้เราอยู่ในสังคมแบบไหนกันแล้ว ทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาน่าทึ่งมากรึไง แค่โทรศัพท์จากนายน้อยหลิวเพียงสายเดียว ก็ทำให้เขาตายฝังดินได้ภายในไม่กี่นาที”หลังจากพูดจบ
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป