บทที่ 7
อัคนีกับอัครามองน้องชายที่เดินเข้ามาในบ้านหลังงามด้วยความรู้สึกที่หดหู่ เมื่ออัครวัฒน์ดูเปลี่ยนไปมากจนแทบจะเป็นคนละคน น้องชายของพวกเขาพูดน้อยลง ทำงานหนักขึ้น อารมณ์เสียง่ายและค่อนข้างแปรปรวนจนพนักงานในบริษัทของเขาต่างพากันหวาดกลัวเจ้านายหนุ่มคนนี้ จากคุณโดมผู้ทรงเสน่ห์กลายเป็นคุณโดมจอมโหดและเผด็จการ หนึ่งปีผ่านไปหลังจากที่เขาได้สูญเสียคนรักทำให้อัครวัฒน์เปลี่ยนไปจนยากที่จะเรียกน้องชายคนเดิมของเขากลับคืนมา หรือพวกเขาต้องรอปาฏิหาริย์จากใครสักคนที่จะเข้ามาเปลี่ยนให้อัครวัฒน์เป็นคนเดิมกระนั้นหรือ...
เกือบสองปีแล้วหรือนี่ ที่น้องชายของพวกเขาจมอยู่กับความทุกข์... พี่ใหญ่และพี่รองแห่งดีแลนด์หันมามองสบตากันแล้วถอนใจออกมาช้าๆ
“ว่าไงไอ้เสือ สารรูปดูไม่ได้เลยนะเราน่ะ”
อัคราซึ่งพาลูกสาวกับภรรยาที่รักซึ่งกำลังตั้งครรภ์ที่สองได้สามเดือนเศษมาเยี่ยมบิดามารดาทักน้องชายยิ้มๆ พยายามสร้างบรรยากาศให้สดชื่นเหมือนดังวันวาน...
“สงสัยนายโดมมันจะกลายเป็นคนป่าแทนพี่แล้วล่ะมั้งพี่เด่น”
“ยังครับ ผมยังไม่อยากเป็นคนป่าเท่าไหร่หรอกครับพี่ๆ” อัครวัฒน์กล่าวพลางยิ้มเนือยๆ ให้พี่ชายทั้งสอง
“อาโดมมาแล้ว อาโดมคร้าบ มาเล่นชกมวยกัน”
“อาโดมขา มาเล่นขายของกับน้องนาเดียกับน้องดรีมดีกว่า...” เสียงเด็กๆ เจี๊ยวจ๊าวขึ้นมาทันที เมื่อหลานๆ ทั้งสามเห็นหน้าอาโดมสุดหล่อที่ไม่ว่าจะอย่างไร อาโดมก็หล่อเสมอในสายตาของพวกแก
ทั้งน้องบูม กับน้องนาเดียลูกสาวและลูกชายของอัคนีกับบารนี และ น้องดรีม ลูกสาวตัวน้อยวัยขวบเศษของอัครากับยอดรัก... เด็กๆ ต่างก็กระโดดโลดเต้นทั้งขี่คอเกาะแข้งเกาะขาอาหนุ่มเหมือนลูกลิงไม่มีผิด อัครวัฒน์หัวเราะเบาๆ แล้วหยอกเย้ากับหลานๆ ทั้งสามอย่างอารมณ์ดีไม่มีแววหมองเศร้าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลานๆ ท่าทางอ่อนโยนของเขาทำให้พี่ชายทั้งสองยังพอมีหวัง
หากอัครวัฒน์มีความรักหรือมีครอบครัว มีลูกตัวน้อยๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลับมาเป็นน้องชายที่น่ารักดังเดิมของพวกเขาแน่นอน ซึ่งพวกเขาทุกคนต่างก็ได้แต่รอความหวัง... การเห็นน้องชายปราศจากความสุขคือสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ปรารถนามันเลยแม้แต่นิดเดียว...
มนตราค่อนข้างแปลกใจเมื่อเพื่อนร่วมงานของเธอมาบอกว่ามีคนมาขอพบเธออยู่หน้าร้านอาหารกึ่งผับหรูชื่อดังซึ่งเธอกำลังขายเครื่องดื่มให้กับลูกค้ารายสุดท้ายสิ้นสุดลง...
“ขอบใจนะจ๊ะพราว”
“จ้า พราวก็ต้องขอบใจที่มนมาทำงานแทนช่วงที่พราวป่วย...” พราว เพื่อนร่วมงานของเธอกล่าวขอบอกขอบใจที่มนตราอุตส่าห์สละเวลาจากงานในหน้าที่พนักงานบัญชีมาขายเครื่องดื่มแทนเธอในวันหยุดซึ่งจริงๆ แล้วมนตราควรจะได้หยุดแต่กลายเป็นว่ามนตราต้องมาเป็นพนักงานเชียร์เบียร์แทนตนถึงสองวัน
“ไม่เป็นไรจ้ะ อาชีพเดิมน่ะ มันไม่ได้ยากสักเท่าไหร่หรอก” เธอบอกพราวยิ้มๆ แล้วเดินออกไปหาคนที่แจ้งความประสงค์ว่ามาพบเธอด้วยความสงสัย และทันทีที่เธอเห็นใบหน้าของคนที่มาขอพบมนตราถึงกับตาโตด้วยความคาดไม่ถึง
“พี่เมือง... พะ พี่มาได้ยังไง หายหน้าหายตาไปไหนมาตั้งเป็นปีๆ แล้วนี่...”
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดอย่าเพิ่งถามอะไรมากได้ไหม มนมีเงินสักสี่ห้าพันมั้ย พี่ต้องการใช้เงิน...” มิ่งเมืองไม่พูดพร่ำอะไรแต่บอกความประสงค์ของตนทันที
“เงินเดือนยังไม่ออกหรอกพี่ ยังไม่สิ้นเดือนเลย อีกอย่างช่วงนี้พ่อก็ป่วย มนต้องใช้เงินเยอะ...”
เธอบอกตามตรงแต่ดูพี่ชายของเธอไม่ใส่ใจสักนิด มิ่งเมืองก็ยังคงเป็นมิ่งเมืองคนเดิมคือเห็นแก่ตัวเองเป็นสำคัญ...
“อะไรวะ เงินแค่นี้ทำไมไม่มี...”
“ถ้าพี่เมืองคิดว่าเงินแค่นี้ แล้วพี่จะมาขอมนทำไม ทำไมพี่เมืองไม่หาใช้เองล่ะคะ”
มนตราถามซื่อๆ ตามที่คิด และค่อนไปทางไม่พอใจที่พี่ชายมาถึงก็จะมาขอเงินจากเธอตั้งสี่ห้าพัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มิ่งเมืองหายหน้าไปเป็นปีๆ เขาเพียงแค่โทร. มาหาบิดาบ้างและทุกครั้งที่โทร. มาก็จะขอเงินบิดาใช้โดยบอกว่าเขาถูกไล่ออกจากบริษัทเดิมและกำลังหางานใหม่ทำอยู่ หรือไม่ก็บอกว่างานที่ใหม่ไม่จ่ายค่าจ้างบ้างล่ะถูกเอาเปรียบบ้างล่ะแต่เธอรู้ดีว่าพี่ชายของเธอคงไม่ทำงานทำการเสียมากกว่า...
“นี่ยายมน พี่มาขอความช่วยเหลือเราแค่นี้อย่าบ่นเป็นแม่แก่ได้ไหมฮะ แกเป็นน้องฉันนะไม่ใช่แม่...”
“มนไม่มีจริงๆ ค่ะพี่เมือง พี่ต้องรออีกสักวันสองวัน”
“แต่พี่รอไม่ได้...”
“รอไม่ได้ มนก็ไม่รู้จะไปหาเงินมาให้พี่เมืองได้ยังไงนี่คะ... ก็มนบอกไปแล้วว่ามนต้องใช้เงินพาพ่อไปหาหมอด้วย” มนตราเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง
ตลอดเดือนนี้เธอทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด หากเป็นเมื่อก่อนที่เธอทำงานเฉพาะช่วงหลังเลิกเรียนเงินก็คงจะไม่พอใช้หรือมีเงินพาบิดาไปหาหมออย่างแน่นอน เงินเก็บของบิดาส่วนหนึ่งก็นำออกมาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลและโอนเงินให้พี่ชายของเธอไปใช้ในช่วงที่เขาหายหน้าไปแต่ยังโทรศัพท์มาขอเงินบิดาใช้อยู่เสมอๆ หลังจากที่ช่วงหนึ่งเขาหายหน้าไป เธอไม่รู้ว่าตอนนี้มิ่งเมืองนั้นเลิกยุ่งเกี่ยวกับการพนันแล้วหรือยัง แต่ที่แน่ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้บิดาป่วยและอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วนั้นส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของมิ่งเมืองนั่นเอง
บทที่ 61. อวสาน “ไม่อยากนอนค่ะอยากทำอย่างอื่น..” มนตราบอกสามีเสียงพร่าเล็กน้อยแล้วเผยอกายขึ้นผลักเขานอนลงแทนที่ตนก่อนจะก้มลงไล้เลียยอดอกของเขาอย่างที่เขาทำกับเธอเมื่อครู่อัครวัฒน์ถึงกับครางเสียงดังเลยทีเดียว..“โอ้ว มนจ๋ามนที่รัก... ดีเหลือเกินเมียจ๋า...” อัครวัฒน์ครางกระเส่าเร่าร้อน กายแกร่งปวดหนึบไปด้วยความต้องการอยากจะโจนจ้วงเข้าสู่โพรงร่างสาว อัครวัฒน์ร้อนจนไม่อาจจะรีรอให้หล่อนเล่นเกมเหนือเขาได้ ชายหนุ่มผลักร่างเล็กลงนอนแทนที่ตนเปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุก มนตราหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจเมื่อเห็นแววตาและความพรั่งพร้อมของสามี อัครวัฒน์ก้มลงไปยังกึ่งกายสาวแล้วแตะแต้มริมฝีปากเลียไล้ไปทั้งกลีบกายสาวสดฉ่ำชุ่มชื้น...“อ๊า โอ้ววว... พี่โดมขา...” มนตราครางกระเส่าแล้วแอ่นหยัดสะโพกเข้าหาปากร้ายของเขาเร่าๆ ด้วยความเสียว ก่อนที่สะโพกมนจะเกร็งค้างกับปากและลิ้นของเขาเมื่อพุ่งทะยานไปสู่ความสุขสมอัครวัฒน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจับร่างเล็กให้ก้มก้งโค้งในท่าคลา
บทที่ 60. มนตรามองสามีที่กำลังจูงมือลูกๆ มาหาตนในสวนผักปลอดสารพิษที่เธอกับลูกสาวฝาแฝดทั้งสองช่วยกันปลูก น้องมิ่งแก้ว กับ น้องมิ่งขวัญ ชอบกินผักซึ่งเธอพอใจมากที่เด็กๆ ชอบกินผัก ตอนนี้เด็กหญิงทั้งสองสี่ขวบแล้ว“คุณแม่ขา.. พวกเรามาแย้วววว..” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักวิ่งมาหาผู้เป็นแม่จนผมเปียปลิวไสว มนตรากางแขนรอรับลูกสาวทั้งสองแล้วหอมแก้มแดงๆ ของสองสาวจอมซนหนักๆ อย่างรักใคร่และมันเขี้ยว“เหงื่อท่วมมาเชียวไปเล่นอะไรกันมาคะเนี่ย”“วิ่งจับผีเสื้อค่า แต่จับไม่ได้สักตัว” เด็กหญิงมิ่งขวัญตอบเจื้อยแจ้ว“ผีเสื้อบินเร็วๆๆ แบบนี้ค่า” เด็กหญิงมิ่งแก้วทำท่าบินๆ ให้ผู้เป็นแม่ดู“ผีเสื้อบินน่ารักจัง”“ช่ายค่า น่ารักเหมือนแก้วเหมือนขวัญ” เด็กหญิงทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันแล้วกอดคอกันยิ้มแฉ่งให้บิดามารดาของตน“เซี้ยวจริงๆ เลยลูกพ่อ” อัครวัฒน์เดิน
บทที่ 59.“เมื่อคืนมนฝันถึงคุณชลิตาด้วยค่ะ” มนตราบอกสามีซึ่งซบหน้าหอบกระเส่าอยู่กับอกอวบใหญ่ของตนหลังจากที่เพลงรักเร่าร้อนที่ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่จบลง...แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ความรักที่พวกเขามีให้กันก็ยังคงฉ่ำหวานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้ลูกๆ ไม่อยู่ขัดความสำราญพวกเขาก็ยิ่งรักกันเหนียวแน่นมากขึ้น เพราะน้องมิ่งแก้วกับน้องมิ่งขวัญในวัยสองขวบนั้นไปเที่ยวพักผ่อนที่ไร่ของคุณลุงเด่นคุณป้ายอดรักกับคุณปู่คุณย่าที่ยังคงแข็งแรงสดใส ซึ่งยินดีจะเลี้ยงดูหลานๆ เพื่อให้โอกาสลูกชายลูกสะใภ้คนดีได้อยู่ด้วยกันลำพังบ้างมนตรากับอัครวัฒน์นั้นต่างช่วยกันเลี้ยงดูลูกๆ ฝาแฝดทั้งสองด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนพวกเขาก็จะยกกันไปทั้งครอบครัว มาดคุณโดมแฟมิลี่แมนจึงเป็นที่กล่าวขวัญและมนตราก็เป็นหญิงสาวที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาในความโชคดีของเธอที่ได้สามีที่ดีแสนน่ารักอย่างคุณโดม อัครวัฒน์ ดีแลนด์ คนนี้...“จริงเหรอ เหมือนพี่เลย พี่ก็ฝันว่าหนูเล็กมาเยี่ยม เธอดูมีความสุขมากทั้งที่พี่ไม่ได้ฝันถึงเธอมานานมากตั้งแต่เราแต่งงานกัน...”
บทที่58.“แล้วแก้แค้นเธอสำเร็จไหมคะ...” มนตราถามล้อๆ พลางยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์...“ก็ไม่รู้สินะ รู้แต่ว่ามันทำให้พี่ได้ทั้งเมียและลูกมาพร้อมๆ กัน...”อัครวัฒน์ยิ้มกว้างพอๆ กับเธอที่ยิ้มไม่หุบ รอยยิ้มสดใสของมนตราดังมีมนต์ขลังที่ทำให้เขาถอนสายตาจากใบหน้านวลไม่ได้เลย ชายหนุ่มมองเธออย่างหลงใหลจนมนตรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับแววตาที่เริ่มจะพราวพรายของเขา“เราทานข้าวกันดีกว่าค่ะ มนอยากจะไปเดินเล่นในไร่...” หญิงสาวตัดบทและหาทางเอาตัวรอดจากเปลวเสน่หาของเขาไปก่อนในเช้านี้อัครวัฒน์รู้ทันความคิดเธอจึงคีบจมูกเล็กๆ นั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วนั่งลงเคียงข้างกัน... หนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันและคุยกันด้วยความรักและเข้าใจ ความบาดหมางความแค้นเคืองขึ้งโกรธมลายหายไปจากใจของพวกเขาจนหมดสิ้นมีเพียงความรักอ่อนหวาน ที่โอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยรักแท้ที่ต่างอภัยให้กันและกัน...หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้วอัครวัฒน์ก็จดทะเบียนกับมนตราไว้ก่อนแล้วจัดงานแต่งงานใ
บทที่57.พระมิ่งเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเต็มไปด้วยเมตตาธรรมซึ่งมนตราสัมผัสได้ น้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นออกจากดวงตางามช้าๆ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือคนคนเดียวกันที่เคยทำร้ายเธออย่างเลือดเย็นมาก่อน...“ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่หรอกนะโยมน้องมน... อะไรที่ดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ควรจะคว้าไว้ โดยเฉพาะความสุขเพราะมันอาจจะอยู่กับเราไม่นาน หรือ เราอาจจะไม่ได้อยู่จนพบเจอมัน หากให้มิจฉาทิฐิบดบังจิตใจ... หลวงพี่จะบอกกล่าวเพียงเท่านี้...” มนตรารู้สึกเหมือนมีใครเขี่ยผงเล็กๆ ออกจากตาทั้งที่รู้แต่เธอกลับเขี่ยมันออกเองไม่ได้“ไหนแบมือมาสิโยมน้องมน...” หญิงสาวยื่นมือออกไปตามที่หลวงพี่บอก แล้วพระมิ่งเมืองก็วางของสิ่งหนึ่งลงบนมือของเธอด้วยการปล่อยให้มันตกลงมาเบาๆ มนตรามองของตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ“ฝากไปให้โยมโดมด้วย บอกว่าเป็นของขวัญจากหลวงพี่ให้เป็นของขวัญแต่งงาน... เจริญพร...”“สาธุค่ะหลวงพี่...” มนตราสาธุการด้วยความซาบซึ้งมองตามหลังพระมิ่งเมืองไปด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยควา
บทที่ 56.“หากไม่ยุ่งกับเมียจะไปยุ่งกับใครล่ะครับ ไม่เอาไม่ทะเลาะกันนะ เดี๋ยวลูกเราจะหน้ายุ่ง...”“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปคะ”“ทำไมน้องมนพูดแบบนี้ล่ะครับ เมียอยู่ที่ไหนผัวก็ต้องอยู่ที่นั่นสิครับ”“ฉันจำได้ว่าไม่เคยแต่งงานกับคุณนะคะ และเราก็ไม่ได้มีสถานะอะไรที่เกี่ยวข้องกันแล้ว แม้แต่แฟน หรือคนรัก เราก็ไม่เคยใช้มันร่วมกันมาก่อน...” คำพูดของเธอทำให้อัครวัฒน์สะอึกถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว...“พี่...”“พอเถอะค่ะ หากคุณจะทำทุกอย่างให้ฉันเพื่อไถ่โทษ หรือเพราะรู้สึกผิดที่หลอกใช้ฉันเพื่อนแก้แค้น เราจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันยกโทษให้คุณ เราเป็นอิสระต่อกัน... ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ถือว่าเราให้โอกาสกันและกัน ให้อิสระกันและกัน ฉันอาจจะได้เจอผู้ชายสักคนที่รักฉันจริงและพร้อมจะดูแลฉันกับลูก คุณเองก็อาจจะเจอผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมกับคุณทุกๆ ด้าน ผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกสาวพ่อบ้านกระจอกๆ อย่างฉัน...”มนตราตัดสินใจพูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองมีหวังอะไรลมๆ แล้ง