ในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังจะหมดลมหายใจนางได้ซ่อนของสิ่งหนึ่งเอาไว้ในอกเสื้อของบุตรสาว ความลับของตระกูลเมิ่งจำเป็นต้องถูกส่งต่อให้ตู๋กูรั่วหวาแล้ว เพราะนางคงไม่สามารถอยู่ดูแลบุตรสาวได้อีกต่อไป
จิ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ
เสียงร้องของนกน้อยหลายตัวที่เกาะอยู่ริมหน้าต่างทำให้หญิงสาวรู้สึกรำคาญใจก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ แสงสว่างภายนอกทำให้ร่างบางรู้สึกแสบตาจนต้องขยี้ตาเบา ๆ หว่านหว่านรู้สึกแปลกใจที่เธอยังไม่ตายแต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อบรรยากาศโดยรอบนั้นช่างไม่คุ้นตา ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลหากแต่ว่าเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง สภาพเรือนที่กลางเก่ากลางใหม่ที่ดูเหมือนถูกดูแลอย่างดีจนสะอาด ต่อมาเมื่อก้มลงมองดูที่ร่างของตนเองก็ต้องตื่นตกใจหนักขึ้นเมื่ออยู่ ๆ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่กลับไม่ใช่เสื้อผ้าของคนยุคปัจจุบันแต่เป็นเสื้อผ้าของคนยุคโบราณ
"นะ นี่! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" หว่านหว่านรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาก่อนที่อยู่ ๆ ประตูจะถูกเปิดออก หญิงวัยกลางคนที่แต่งกายคล้ายกับสาวใช้อาวุโสในละครย้อนยุคก้าวเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่น ที่นางรู้ว่ามันอุ่นเพราะในอ่างยังมีละอองควันพวยพุ่งขึ้นมาไม่ขาดสาย
"นายหญิง! ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ"
"นายหญิงงั้นหรือ? คุณเป็นใครกัน"
"บ่าวเป็นคนของนายท่านเจ้าค่ะ นายท่านสั่งให้บ่าวมาคอยอยู่ดูแลนายหญิง หากว่าท่านฟื้นแล้วพวกเราจะเดินทางไปยังเรือนที่ซื้อใหม่ในอีกหมู่บ้านเจ้าค่ะ"
"นายท่านของคุณคือใคร? แล้วฉันคือใคร?" หว่านหว่านรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก หากคาดเดาไม่ผิดนี่คือการทะลุมิติแล้วนางมาอยู่ในร่างของผู้ใดกัน นายท่านที่กล่าวมานั้นคือสามีของนางงั้นหรือ? ให้ตายเถอะ ฟื้นขึ้นมาก็มีหลัวแล้วหรือนี่ หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
"เอ่อ ท่านจดจำสิ่งใดมิได้เลยหรือเจ้าคะ?" แม้ว่าบ่าวรับใช้เช่นนางจะได้รับการกำชับมาบ้างว่าหญิงสาวนั้นได้รับบาดเจ็บยามที่ฟื้นขึ้นมาหญิงสาวอาจจะไม่ปกติ นางจึงมิได้ตกใจมากนักและเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าส่ายหัวแทนคำตอบ นางก็ทำได้เพียงถอนหายใจเหตุใดสตรีที่งดงามปานนี้จึงได้อาภัพนัก
"นายหญิงมีนามว่า เมิ่งจิ่วซือเจ้าค่ะ บุตรสาวของท่านคือคุณหนูรั่วหวา"
"อะไรนะ! เมิ่งจิ่วซืองั้นหรือ" เหตุใดชื่อนี้จึงคุ้นยิ่งนัก หว่านหว่านพยายามทบทวนว่าเธอเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหน คิดอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้จากชื่อของรั่วหวา ตู๋กูรั่วหวา นางร้ายอันดับหนึ่งที่อันตรายที่สุดในแผ่นดิน สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งสกุลตู๋กู รั่วหวาที่สังหารทุกคนในสกุลจนกระทั่งเหลือเพียงนางเท่านั้น เพื่อล้างแค้นให้กับมารดาที่ถูกบิดาสังหารอย่างเหี้ยมโหด
นะ นี่เธอ! มาอยู่ในร่างของเมิ่งจิ่วซือที่ควรจะตายไปแล้วงั้นหรือ? แล้วนายท่านที่ว่านี่คือ ตู๋กูหรงเซ่อ ใช่หรือไม่? ถ้าใช่ เธอควรหอบเสื้อผ้าหนีเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ผู้ชายคนนั้นโหดเหี้ยมมาก สังหารได้หมดไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง สตรี คนชราก็ไม่เว้น
แง ๆ แง ๆ แง ๆ
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดสิ่งใดต่อ เสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งก็ดังขึ้น หว่านหว่านจำได้ว่านางน่าจะเป็นบุตรสาวของเมิ่งจิ่วซือ เด็กน้อยที่น่ารักเติบโตมาด้วยความลำบาก ความเหนื่อยยากของนางขัดเกลาให้นางกลายเป็นคนร้ายกาจและโหดเหี้ยมมากขึ้นเมื่อนางนั้นคือผู้ครอบครองความลับของตระกูลเมิ่งเอาไว้ ในนิยายนั้นตู๋กูรั่วหวาเป็นผู้สังหารบิดาด้วยมือของนางเอง ก่อนจะครอบครองบัลลังก์แล้วสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดินี เสียดายที่ในตอนสุดท้ายเพราะนางไปหลงรักศัตรูทำให้ถูกสังหารในที่สุดและบุรุษผู้นั้นก็ครองรักกับนางเอกซึ่งเป็นคนที่ตู๋กูรั่วหวาไว้ใจมาตลอด ถูกต้องแล้วหญิงสาวผู้นั้นก็คือนางเอกในเรื่อง ที่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับนางร้ายเพื่อแผนการบางอย่าง ทั้งคนที่รักและสหายที่ไว้ใจต่างหักหลังจนหมดสิ้นหนทาง นางจึงใช้ความลับของตระกูลเมิ่งทำลายทุกอย่างรวมถึงวิญญาณของตนเองให้สูญสลายหายไป
สุดท้ายแล้วความรักของพระเอกนางเอกกลับช่วยกอบกู้แผ่นดินเอาไว้ เหอะ! ตลกมากจริง ๆ นี่มันนิยายบ้าอะไรกัน! ความรักช่วยกอบกู้โลก โถ ๆ หว่านหว่านอยากจะกลอกตามองบนอีกหลาย ๆ รอบ หากไม่เป็นเพราะนิยายเรื่องนี้ดังมากทำให้เธอต้องรีบหาซื้อมาอ่าน พออ่านแล้วก็ต้องอ่านจนจบถ้าอ่านไม่จบก็จะนอนไม่หลับ นิยายเรื่องยาวสิบเล่มจึงถูกอ่านติดต่อกันสามวันสามคืนจนจบในเวลาต่อมา บางฉากของพระนางก็ถูกเปิดข้ามไป เพราะเหม็นความรักของทั้งคู่ เอาละจะอะไรก็ช่างในตอนนี้นางมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลแม่นางร้ายตัวน้อยที่พึ่งจะเป็นเจ้าตัวเปี๊ยกที่ยังไม่โต ให้เติบโตมาอย่างมีความสุขจะได้ไม่ต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับในนิยาย ส่วนเนื้อเรื่องเดิมจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัว... ตอนนี้นางคือเมิ่งจิ่วซือมารดาของตู๋กูรั่วหวา หน้าที่และภารกิจอันยิ่งใหญ่ต่อจากนี้คือปฏิบัติการเปลี่ยนนางร้ายให้กลายเป็นคนที่ทุกคนรัก นางอยากจะให้ทุกคนรักและเอ็นดูนางร้ายตัวน้อยผู้นี้ ชีวิตต่อจากนี้ของเด็กน้อยไม่ควรจะมีชีวิตที่ยากลำบากอีกต่อไป
"เจ้าไปพานางมาที่นี่เถิด"
"เจ้าค่ะ"
เจ้าตัวเปี๊ยกถูกพาตัวมาหามารดาในเวลาต่อมา เมื่อเด็กน้อยมองเห็นมารดาก็เงียบเสียงหยุดร้องไห้ในทันที ก่อนจะโผเข้ากอดที่ลำคอขาวระหงของผู้เป็นมารดาอย่างคุ้นเคย เสียงร้องไห้กระซิก ๆ เบา ๆ ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจิตวิญญาณในร่างนี้จะไม่ใช่มารดาของเด็กน้อยแล้วหากแต่สัญชาตญาณในความเป็นแม่ของร่างเดิมก็ดูเหมือนจะเริ่มทำงานเสียแล้ว มือเรียวตบที่ก้นของเด็กน้อยเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเงียบเสียงลงพร้อมกับหลับไปในที่สุด
"นี่คือสิ่งที่บ่าวพบในเสื้อของคุณหนูเจ้าค่ะ" บ่าวอาวุโสยื่นถุงผ้าที่ถูกปักอย่างประณีตส่งให้กับหว่านหว่าน หญิงสาวรับมาก่อนจะพลิกมันดูอยู่หลายครั้ง
"ที่เจ้ากล่าวว่านายท่าน? นายท่านที่ว่าคือผู้ใดงั้นหรือ สามีของข้าหรือ?" หญิงชราส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยต่อ
"นายท่านให้แจ้งแก่ท่านว่าเขาเคยได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเมิ่ง ครั้งนี้พบท่านกำลังเดือดร้อนจึงไม่อาจละเลยได้ หากว่ามีโอกาสคงได้พบกันเจ้าค่ะ" หว่านหว่านถอนหายใจอย่างโล่งอกนางนึกว่าเป็นคนผู้นั้นเสียอีก ยังคิดอยู่ว่าจะหาทางหนีทีไล่อย่างไร นางไม่รู้จักที่ใดเลย ทั้งที่นี่ก็ไม่ได้มีรถไฟฟ้าพอที่จะหอบลูกหนีได้เช่นยุคปัจจุบันเสียด้วย
"เช่นนั้นเรือนที่เจ้าว่า..."
"นายท่านกล่าวว่าต่อไปเรือนแห่งนั้นเป็นสิทธิ์ของนายหญิงเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องกังวลอันใดทั้งนั้น"
"เช่นนั้น ก็ไปกันเลยหรือไม่"
"แต่คุณหนูยังหลับอยู่นะเจ้าคะ"
"ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจะอุ้มนางเองนางเป็นคนนอนง่ายตื่นยาก" ต่อให้ฟ้าถล่มหากไม่คิดจะตื่นก็จะไม่ตื่นเด็ดขาด มิเช่นนั้นในยามที่มารดาผูกร่างเด็กน้อยเอาไว้แนบอกแล้วควบม้าหนีมือสังหาร นางจะหลับปุ๋ยได้อย่างสบายใจหรือ
หน้าเรือนมีรถม้ามารอรับสองแม่ลูกทั้งยังสาวใช้อาวุโสผู้นั้น หว่านหว่านสังเกตเห็นชายบังคับม้ารูปร่างของเขาปราดเปรียวสูงใหญ่ทั้งยังคล่องแคล่วไม่น้อยเหมือนกับคนที่เป็นวรยุทธ์ ทั้งรถม้าที่นางใช้ก็ยังเป็นรถม้าคันใหม่เอี่ยมดูท่าจะราคาแพงไม่น้อยจริง ๆ ใช้เวลาเดินทางราวสองชั่วยามก็มาถึงยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง รอบ ๆ มีแต่ทุ่งนาสีเหลืองอร่าม มีภูเขาลำธารแม้ว่าจะดูชนบทไปมากหากแต่ดูปลอดภัยยิ่ง ห่างไกลถึงเพียงนี้นางก็หวังว่าจะปลอดภัยจริง ๆ หว่านหว่านไม่รู้ว่านายท่านผู้นั้นแท้จริงแล้วคือใครกันแน่ เขารู้จักกับตระกูลเมิ่งทั้งยังสมอ้างว่าเคยได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลของนาง เช่นนั้น... เขาจะรู้เรื่องความลับของตระกูลเมิ่งด้วยหรือไม่การช่วยเหลือนางในครั้งนี้แน่นอนว่าหว่านหว่านมิได้วางใจในตัวเขาแต่อย่างใด อย่างไรก็ต้องระแวงเอาไว้ก่อนหากสิ่งที่เขาต้องการคือความลับของตระกูลเมิ่งจริง ๆ แล้วละก็ เช่นนั้นนางจะได้หอบบุตรสาวหลบหนีไปได้อย่างทันท่วงที
รถม้าเคลื่อนตัวมาจอดยังบริเวณหน้าเรือน เรือนหลังใหม่ขนาดเล็กน่ารัก ประตูเรือนที่ทำจากไม้อย่างดีบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของเรือน แม้ว่าเรือนจะเล็กไปหน่อยหากแต่ไม่ใช่ปัญหา นางอยู่กับบุตรสาวเพียงสองคนจะเอาเรือนใหญ่ ๆ มาทำสิ่งใดกัน
"ถึงแล้วเจ้าค่ะ"
"คารวะนายหญิง ต่อไปข้าน้อยจะคอยดูแลท่านตามคำสั่งของนายท่านขอรับ" แน่ะ คิดยังไม่ทันไรก็ส่งคนมาคอยจับตาดูนางถึงสองคนแล้วงั้นหรือ?
"แต่ดูเหมือนเรือนจะหลังเล็กเกินไป" หญิงสาวเอ่ย
"มีเรือนบ่าวไพร่ อยู่ด้านท้ายจวนขอรับข้าน้อยจะพักที่นั่น"
"อ้อ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด" นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อยก่อนจะไม่ใส่ใจอีก แล้วพาเจ้าตัวเปี๊ยกเข้าเรือน
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาภายในเรือนนางก็ต้องแปลกใจ ที่นี่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างดี แม้จะเรียบง่ายไปบ้างหากแต่ทุกอย่างล้วนเป็นของใหม่ทั้งสิ้น ยามที่เดินเลยไปยังห้องนอน ในห้องนอนยังเป็นเตียงเตาขนาดใหญ่ที่แม่ลูกสามารถหลับนอนด้วยกันได้ แล้วข้าง ๆ ยังมีเตียงนอนเด็กที่มีล้อเลื่อนดูก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้จำเป็นต้องสั่งทำเท่านั้น เมื่อเห็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับครบครัน หว่านหว่านก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นไปอีก
คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เขาดูเหมือนจะรอบคอบเกินไปแล้วไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง
ทางด้านหรูเจิ้งหยวนและซิ่วจื่อหลิงก็เดินมาถึงตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้โดยที่มีคนของเขาที่ปลอมเป็นขันทีอยู่ที่ตำหนักรอต้อนรับอยู่ ทั้งคู่เพียงส่งสัญญาณด้วยสายตาก็เป็นที่รับรู้ได้ในทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะแสร้งทำเป็นให้คนมาคอยควบคุมโดยรอบตำหนักในทันที ซึ่งคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนของหรูเจิ้งหยวนทั้งหมด ก่อนที่ตนจะเป็นผู้นำทางชายหนุ่มเข้าไปยังด้านในเสวียนอู่ฮ่องเต้ทรงบรรทมอยู่บนเตียงโดยที่ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เป็นซิ่วจื่อหลิงที่เดินเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าเตียงก่อนที่จะหยิบเข็มเงินของนางออกมาจากห่อผ้าพร้อมกับจิ้มลงไปบนหน้าของของเขาแล้วค่อย ๆ ดึงออกมาแล้วพบว่าเข็มเงินของนางได้เปลี่ยนเป็นสีดำในเวลาต่อมา"จะ เจ้าเป็นผู้ใด" เสียงแหบแห้งของเสวียนอู่ฮ่องเต้ที่ในตอนแรกนอนนิ่งเป็นผักอยู่นั้นดังขึ้นเบา ๆ"เสด็จพ่อ... " หรูเจิ้งหยวนก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียง และเมื่อเสวียนอู่ฮ่องเต้ได้เห็นหน้าโอรสของเขาอีกครั้งก็ได้แต่หลั่งน้ำตาออกมา"หยวนเอ๋อ...""เสด็จพ่อนางเป็นคนรักของลูกเอง องค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงที่ลูกเคยเล่าให้ท่านฟัง" เสวียนอู่ฮ่องเต้หันไปมองหน้าซิ่วจื่อหล
หลายวันต่อมาซิ่วจื่อหลิงลุกขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นางได้เตรียมมาด้วย นางตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะปลอมตัวเป็นสาวใช้ของหรูเจิ้งหยวน เมื่อตอนที่ยังเล็กมารดามักชอบเล่านิทานประโลมโลกให้นางกับน้องชายฟัง เคยมีเรื่องราวของคุณหนูผู้ร่ำรวยคนหนึ่งต้องการตามหารักแท้จึงได้ปลอมตัวเป็นสาวใช้หน้าตาอัปลักษณ์เข้าไปอยู่ในจวนท่านแม่ทัพผู้หนึ่ง นางเองก็อยากจะลองเล่นสนุกเช่นนั้นดูบ้าง ครั้งนี้ก็นับว่าได้มีโอกาสแล้วหญิงสาวลงทุนทาตัวด้วยยางไม้ชนิดหนึ่งเพื่อให้สีผิวที่ขาวนวลกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ ก่อนที่จะทาไปบนใบหน้าและติดเม็ดไฝสักสองสามเม็ดบนหน้าของนางให้ดูสมจริงมากขึ้น เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของสาวใช้ สำเนียงที่พูดก็เปลี่ยนให้เหน่อเล็กน้อย เมื่อแต่งตัวเสร็จจึงได้เดินออกมาจากห้องในขณะที่ชายหนุ่มเองก็นั่งรออยู่เมื่อเห็นซิ่วจื่อหลิงที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างชัดเจน หรูเจิ้งหยวนที่กำลังยกชาขึ้นดื่มก็ถึงกับสำลักและไอออกมาเสียงดังแค่ก ! แค่ก ! แค่ก !"นี่ข้างามมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ย
หลังจากที่พูดคุยกันแล้วซิ่วจื่อหลิงก็ลงมือรักษาชายหนุ่มในทันที ฝีมือการรักษาพิษแม้ว่านางจะไม่เก่งกาจเท่ากับมารดาหากแต่เมื่อเทียบกับหมอหลวงโดยทั่วไปย่อมเหนือชั้นกว่า อีกอย่างนางมีของวิเศษและการมาในครั้งนี้ก็พาเจ้าจิ้งจอกน้อยมาด้วย ซิ่วจื่อหลิงนำเจ้าจิ้งจอกน้อยออกมาจากช่องว่างในมิติของวิเศษก่อนจะให้มันดูดซับพลังไม่ดีจากร่างกายเขา ก่อนที่นางจะลงมือฝังเข็มนับร้อยเล่มบนร่างกายของชายหนุ่มพิษที่ชายหนุ่มได้รับนั้นเป็นพิษของทางชนเผ่าหน้าด่านที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนัก ทำให้หมอทั่วไปมิอาจรักษาได้ หากแต่ไม่ใช่กับวิชาเข็มพิฆาตพิษที่เป็นวิชาตกทอดมาจากท่านตาทวดของนางอย่างแน่นอนในยามที่ฝีเข็มถูกทิ่มแทงลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังเพียงไม่กี่อึดใจก็มีเลือดสีดำซึมออกมาในทุกรูขุมขนที
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน"อาเป่า ช่วงนี้ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับคุณชายเสิ่นส่งกลับมาบ้างเลยหรือ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิท"ไม่มีเลยเพคะ จะว่าไปก็แปลกยิ่งนักเหตุใดจึงได้เงียบไปเช่นนี้""นั่นสิ แล้วข่าวเกี่ยวกับวังหลวงแคว้นหนานเฉินเล่า ?""ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะคุกรุ่นอยู่ไม่น้อยเลยเพคะ"
วังหลวงแคว้นหนานเฉินกำลังจะลุกเป็นไฟหลังจากที่คนของตระกูลหวังของหวังฮองเฮาถูกคนเล่นงานอยู่หลายครั้งจนกระทั่งอำนาจเริ่มเสื่อมถอย เสวียนอู่ฮ่องเต้เองก็ป่วยกระเสาะกระแสะมานานหลายเดือน ในยามที่หรูเจิ้งหยวนส่งคนของเขาไปตรวจร่างกายพระองค์ก็ดูเหมือนจะปกติ เพียงแต่อาการนั้นไม่ปกติยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ต้องไม่เป็นการดีแน่ในขณะที่ในช่วงค่ำคืนหนึ่งที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบสงบอย่างผิดปกติ อยู่ ๆ ตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้ก็ถูกล้อมด้วยคนของไท่จื่อหรูโจว แน่นอนว่าการก่อกบฏในครั้งนี้มีคนที่ร่วมมือกับเขาอยู่ไม่มาก ขุนนางเหล่านั้นอยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลหวังทั้งยังสนับสนุนให้ไท่จื่อหรูโจวกระทำการช่วงชิงราชบัลลังก์จากเสวียนอู่ฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าฝ่าบาทมิอาจออกว่าราชกิจได้เนื่องจากทรงพระชวรหนัก จึงจำเป็นจะต้องให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเช่นองค์รัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์แทนหลังจากที่พวกเขาบุกยึดวังหลวงได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังฮองเฮาที่สวมอาภรณ์สีแดงงดงามก็เดินเข้ามาในห้องบรรทมของผู้เป็นสามี นางมองเสวียนอู่ฮ่องเต้ด้วยแววตาสมเพช เดิมทีนางนั้นหลงรักเขาหมดหัวใจ เพียงแต่อีกฝ่า
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นด้วยความดุเดือด ก่อนที่ซิ่วจื่อหลิงจะหันไปเห็นหลิวอี้หลันที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณสนามฝึกแห่งนี้ ได้ข่าวว่านางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปได้ไม่นานก็รีบออกมาแสดงตัวเสียแล้วหลิวอี้หลันเดินมาพร้อมกับท่านหญิงซูฉี ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมากกว่าที่เคย อาจเพราะพระชายาเจิ้งอ๋องผู้เป็นมารดาของหลิวอี้หลันได้แต่งเข้าตำหนักเจิ้งอ๋องทำให้หลิวอี้หลันเองก็เปรียบเป็นคนในราชวงศ์กึ่งหนึ่ง เพราะเจิ้งอ๋องนั้นรับนางและน้องชายเป็นบุตรบุญธรรม แต่จะชูคอได้นานอีกสักเท่าใดก็ต้องคอยดูกันต่อไป ทั้งคู่เดินเข้ามาในกระโจมที่นางและน้องชายนั่งอยู่ก่อนทั้งสองจะยอบกายคารวะนางและน้องชายแล้วหันไปมองจินเยว่ที่นั่งข้าง ๆ"เหตุใดคุณหนูจินจึงมานั่งในกระโจมนี้ได้เล่า" เป็นท่า