เช้าวันต่อมา
องครักษ์ส่งข่าวให้ทุกคนในวังหลวงได้รับรู้ว่านักพรตชราผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ความสิ้นหวังจึงมาเยือนคนในตำหนักจันทรายิ่งนัก
อู๋เยว่ชิงกอดอีนั่วเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเพราะนางสัมผัสได้ว่ายามที่อีนั่วอยู่กับนาง อาการทรมานจะไม่แสดงออกมา หากแต่เมื่อใดที่นางเผลอหลับใหล พลังมารของอีนั่วกลับปะทุขึ้นมาทีละนิดจนมิอาจกลั้น
นับวันยิ่งควบคุมไม่ได้ อู๋เยว่ชิงอดนอนฝืนตัวเองดูแลอีนั่วจนหลินซีเวยรู้สึกเป็นห่วงนางไม่แพ้กัน แต่เขากลับโทษตัวเองที่ทำอันใดเพื่อช่วยคนที่เขารักทั้งสองคนไม่ได้เลย
“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางลูบใบหน้าซูบเซียวของหลินซีเวยทั้งที่มือของนางแทบไม่มีแรงเหลือ
เขาแนบใบหน้ากับฝ่ามืออบอุ่นนั้น สายตาห่วงใยฉายชัดแต่ก็จำต้องแอบให้นางดื่มสมุนไพรเพื่อพักผ่อนร่างกายบ้าง แม้ช่วงที่นางหลับพลังมารของอีนั่วจะรุนแรงแต่เขาก็พยายามดูดกลืนมันเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของบุตรชายเท่าที่จะทำได้
มารน้อยจึงสามารถนอนหลับอยู่เคียงข้างมารดาของตนเองได้แม้จะรู้สึกฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นอยู่หลายครา
แต่แล้ววันหนึ่งกลับมีเซียนจากสำนักหานหลิ่งเดินทางมาที่วังหลวงตามคำร้องขอของฮ่องเต้เมืองไท่หยาง
ท่าทางของเขาดูไม่เป็นมิตรทันทีที่ก้าวเท้าเข้าใกล้ตำหนักจันทราราวกับสัมผัสได้ถึงพลังมารอันรุนแรง
ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างหวังว่าเซียนผู้นี้จะช่วยรักษาโอรสขององค์ชายสามเหมือนนักพรตชรา หากแต่เขากลับไม่ทำอย่างนั้น
เซียนสำนักหานหลิ่งมาวังหลวงเมืองไท่หยางเพื่อกำจัดต้นตอมารร้าย
หลินซีเวยได้เห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเซียนสำนักจึงรีบกันอู๋เยว่ชิงและอีนั่วไว้ข้างหลังตนเอง นึกไม่พอใจที่เวลานี้จะไม่สามารถใช้พลังมารได้อย่างเต็มที่เพราะอยู่ในร่างมนุษย์ของหลินซีเวย
ถึงอย่างนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมากำจัดอีนั่วได้ง่าย “เฮอะ ลูกข้าทั้งคน เจ้าคิดว่าจะลงมือได้ง่าย ๆ หรือ”
“หนทางอาจไม่ง่าย” เขาปรายตามองคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ทั้งฝั่งราชวงศ์และสกุลอู๋ของแม่ทัพใหญ่ รวมถึงบรรดาขุนนาง ขันทีและนางกำนัล “หากปล่อยไว้ โอรสขององค์ชายสามจะต้องเป็นภัยกับชาวเมืองไท่หยางเพราะอาการเจ็บป่วยของเขามิใช่โรคร้ายธรรมดาแต่เป็นพลังมารที่เกิดจากแก่นวิญญาณส่วนลึก”
“พลังมารอย่างนั้นหรือ พูดพร่ำเพ้ออันใดของเจ้า” น้ำเสียงของหลินซีเวยไม่พอใจคนตรงหน้า
“ข้าสัมผัสได้ เด็กน้อยที่หลบอยู่หลังองค์ชาย หากมิใช่มารถือกำเนิดใหม่คงจะเป็นบุตรมารร้ายสักตนที่แฝงตัวอยู่ในแดนมนุษย์” เขามองเห็นชาติกำเนิดของอีนั่วอย่างแจ่มแจ้ง สีหน้ายังคงเรียบเฉยราวกับว่าหากมิมีผู้ใดร้องขอ เขาคงต้องปล่อยให้คนในเมืองนี้เผชิญกับชะตากรรมของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านเซียน บุตรชายของข้าไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านกล่าวหา เขาเพียงแค่ไม่สบายเท่านั้น” อู๋เยว่ชิงกล่าวกับเซียนสำนักหานหลิ่ง นางกอดอีนั่วเอาไว้ราวกับกลัวว่าจะถูกพรากจาก
“ข้ากล่าวความจริง เซียนหานหลิ่งมิอาจมุสาโป้ปด” เขายืนยันคำเดิม “เวลานี้พวกท่านอาจไม่เชื่อสิ่งที่ข้าได้กล่าวไปเมื่อครู่ แต่จงไตร่ตรองพิจารณาดูเอาเถิดเพราะไม่กี่วันต่อจากนี้ พลังมารปีศาจในร่างเด็กคนนั้นจะออกอาละวาดทำร้ายผู้คนในวังหลวง”
คำพูดของเขาทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นเริ่มหวาดกลัวตัวสั่นเพราะหลายวันมานี้ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ป่าทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งบรรยากาศยังเย็นยะเยือกราวกับเปลี่ยนวังหลวงเป็นป่าช้าวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าเองมิได้อยากตัดชีวิตของผู้ใดนัก ยิ่งคนในวังหลวงต่างปกป้องเด็กน้อยผู้นั้นแล้ว ข้าคงมิอาจก้าวก่าย” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อเขียนยันต์ติดที่หน้าประตูตำหนักจันทรา “หากต้องการความช่วยเหลือจากข้าเมื่อใดก็จงจุดไฟยันต์แผ่นนี้เสียแล้วข้าจะรีบมาทันที”
เซียนสำนักหานหลิ่งหันหลังไม่มองกลับมาแล้วเดินจากไปทิ้งให้ทุกคนนิ่งเงียบอยู่ในความกลัวกับสิ่งที่เขาเคยกล่าวเอาไว้
อู๋เยว่ชิงมองไปรอบตัวนางแลเห็นสายตาที่จับจ้องอีนั่วไม่วางตา ความหวาดหวั่นสะท้อนออกมาโดยไม่ปิดบัง นางเอ่ยปากเรียกคนที่อยู่ข้างกาย “เสด็จพี่ อีนั่วมิใช่มารปีศาจ”
“...” หลินซีเวยไม่ตอบอันใดเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ อีนั่วคือมารที่เขาให้กำเนิด
ทว่า ความนิ่งของเขาทำให้อู๋เยว่ชิงรู้สึกกลัว “ทรงลืมไปแล้วหรือว่าอีนั่วเป็นลูกของเรา” น้ำเสียงของนางเศร้าสร้อยผิดหวัง
หากแต่หลินซีเวยรีบแก้ความเข้าใจผิดของนางทันควัน “มิใช่อย่างนั้นเยว่ชิง ข้าเพียงกำลังคิดหาวิธี จะต้องมีผู้ใดสักคนช่วยอีนั่วได้” หลินซีเวยโอบกอดทั้งคู่อย่างอ่อนโยนพลางปรายตามองคนอื่น ๆ
ฝ่ายฮ่องเต้และแม่ทัพใหญ่ปรึกษาหาทางช่วยหลานของตนเอง ทั้งยังกำชับให้อัญเชิญเซียนสำนักอื่น ๆ มาที่เมืองไท่หยางในเร็ววัน
กระนั้น ความรู้สึกของมนุษย์ไม่มีวันเป็นไปในทางเดียวกัน หากครอบครัวของทั้งคู่ต้องการปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ยังมีอีกหลายคนในที่แห่งนั้นคิดว่าไม่ควรปล่อยให้อันตรายย่างกรายมาทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องอันใดด้วย
หลินซีเวยเก็บยันต์ที่เซียนคนนั้นแปะไว้ที่ประตูมาถือไว้ประกาศก้อง “อีนั่วเพียงแค่เจ็บป่วยเหมือนที่ข้าเคยเป็น เขาไม่เคยทำร้ายผู้ใด เพราฉะนั้นแล้วอย่าได้บังอาจคิดแว้งกัด ไม่อย่างนั้นแล้วข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าเอาไว้”
เขาพูดจบแล้วพาอู๋เยว่ชิงและอีนั่วกลับเข้าไปในตำหนักโดยไม่สนใจผู้ใดอีกต่อไป
ฮ่องเต้สั่งให้องครักษ์อารักขาตำหนักองค์ชายสามเป็นพิเศษ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามเข้ามาใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต คนเหล่านั้นจึงพากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
เพียงแต่ว่าคำบอกกล่าวของเซียนหานหลิ่งกลับมีเค้าความจริงขึ้นมา
กลางดึกคืนนั้น บรรยากาศแปรเปลี่ยนไปคนละขั้ว สายลมนิ่งสงบแม้แต่ใบไผ่ยังไม่กระดิก
อู๋เยว่ชิงกำลังหลับใหลตกอยู่ในภวังค์เพราะฤทธิ์ยา พลังมารของอีนั่วระเบิดออกมาโดยที่ร่างกายของหลินซีเวยเองก็ไม่อาจทนได้
เขากัดฟันอดกลั้นเอาไว้ เลือดแดงสดไหลเปื้อนริมฝีปาก “อีนั่ว เจ้าทนไว้อีกนิดได้หรือไม่” เขาพยายามปลอบบุตรชายตนเอง หากแต่มันกลับสะท้อนมาทำร้ายเขาอยู่ร่ำไป
จู่ ๆ พลังมารปีศาจดวงหนึ่งก็พุ่งออกมาจากตัวของอีนั่ว มันลอยล่องออกไปฝังอยู่ในร่างขององครักษ์ผู้หนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักจันทรา
หลินซีเวยไม่ทันได้สังเกตว่ามีอันใดเกิดขึ้นเมื่อครู่จึงไม่รู้เลยว่าหายนะกำลังคืบคลานมาหาคนที่เขารัก
องครักษ์ที่โดนมารปีศาจเข้าสิงมีดวงตาสีแดงก่ำเดินออกมาจากจุดที่ประจำการอย่างไร้จุดหมาย สายตาล่องลอยเพราะถูกควบคุม เขาชักดาบจากฝักแล้วเดินลากปลายดาบไปตามกำแพง
เสียงครูดของคมดาบทำให้คนอื่น ๆ สังเกตได้ว่าคนของตนเองมีบางอย่างที่แปลกไป องครักษ์ผู้นั้นหยุดยืนอยู่หน้าตำหนักองค์ชายห้าพลางแสยะยิ้มปองร้าย
“หยุดอยู่ตรงนั้น” องครักษ์ประจำตำหนักตะโกนก้องเมื่อเห็นองครักษ์ตำหนักองค์ชายสาม ในมือถือดาบคู่กายเอาไว้พร้อมปกป้องเจ้านายของตนเอง
เขามองเห็นไอดำครอบคลุมกายคนผู้นั้นแล้วนึกถึงข่าวลือจากตำหนักจันทรา
บุตรขององค์ชายสามหล่อเลี้ยงมารปีศาจในแก่นวิญญาณ
จู่ ๆ องครักษ์ที่ถูกมารปีศาจควบคุมก็หัวเราะลั่นปั่นประสาทก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปปะทะกับองครักษ์ตำหนักองค์ชายห้าอย่างบ้าคลั่งจนกลิ่นเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่ววังหลวงสร้างความโกลาหลในชั่วข้ามคืน
หลินซีเวยสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเขาจึงปลุกให้อู๋เยว่ชิงตื่นจากหลับฝัน เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาถึงตำหนักจันทราจนทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนไปด้วยดวงตาสีฟ้ามองอีนั่วที่กำลังหลับแล้วสบตากับหลินซีเวย “ไม่จริงใช่หรือไม่เพคะ ไม่ใช่ฝีมือของลูก”เขาส่ายหน้าปิดบังความจริง “อย่ากังวลไปเลย ลูกเราไม่มีทางทำอันใดเช่นนั้นได้หรอก เชื่อข้าเถอะนะเยว่ชิง”“เพคะ หม่อมฉันเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรอีนั่วก็เป็นลูกของเรา ไม่มีทางเป็นมารปีศาจอย่างแน่นอน”ใบหน้าของหลินซีเวยซีดเผือดเพราะพลังมารของอีนั่ว เขาจึงหลบหน้าชายาตนเองเพราะไม่อยากให้เป็นห่วงก่อนจะอุ้มอีนั่วขึ้นมา “เยว่ชิง วังหลวงคงไม่ปลอดภัยแล้ว เรารีบหนีออกไปหลบอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเถิด”
หลินซีเวยหมดท่าไม่อาจโต้กลับเหล่าเซียนสำนักหานหลิ่งได้อีกทั้งยังถูกตรึงด้วยผนึกเพื่อทำลายพลังมารปีศาจที่ควบคุมร่างเขาอยู่“ท่านเซียน ช่วยเขาไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้เอ่ยปากถามเพราะยังมีความหวังว่าจะได้บุตรชายกลับคืน หากแต่เหล่าเซียนกลับตอบว่า “พลังมารปีศาจหลอมรวมเข้าแก่นวิญญาณของเขาแล้วมิอาจถอดถอนได้เฉกเช่นคนทั่วไป หนทางเดียวที่จะหยุดหายนะในเมืองไท่หยางคือสังหารเขาไปพร้อมกับมัน”“...” ทุกคนนิ่งเงียบ สายตามองปีศาจร้ายด้วยความหวาดกลัว เพียงแค่หนึ่งก้านธูป วังหลวงกลับนองเลือดราวกับมีสงครามครั้งใหญ่ หากคิดปล่อยไว้มีหวังทั้งเมืองไท่หยางคงกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนเป็นแน่“ข้าไม่ได้ขอความเห็นพวกท่าน มาวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง มารปีศาจตนนี้ร้ายกาจนักหากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คงทำลายผู้คนในเมืองอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน&r
Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนักรถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลมพวกเขาหย
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหาสวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไปแม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นใน
หลังจากอู๋เยว่ชิงผนึกเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงได้แล้ว ร่างมนุษย์ของนางจึงแตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ววิญญาณเทพดาราควรกลับแดนสวรรค์เพราะนางได้ผ่านด่านเคราะห์อันแสนสาหัสไปเรียบร้อยหากแต่เวลานี้ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าวิญญาณของเทพดาราหายไปอยู่ที่ใดราวกับนางไม่มีตัวตนสิ่งที่นางหลงเหลือไว้มีเพียงความทรงจำและความเจ็บปวดที่ฝังลึกในเมล็ดพันธุ์ที่ปริแตกในแก่นวิญญาณของจอมมาร คนที่กำลังทรมานกับสิ่งที่ตนเองกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมากงจื่อเย่เพิ่งสัมผัสได้ว่านางทุกข์ทน ผิดหวังและเศร้าโศกมากเพียงใด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่อาจกำจัดความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงออกไปได้“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ทำลายมันทิ้งไป พลังของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ดีหรือขอรับ” โจวเหวินหลงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไม่ได้มีกำลังมากมายที่
กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปีเหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขาขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียง
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง