Trigger Warning (TW 18+) = มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่อาจทำให้สะเทือนใจ
ห่างไปอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลนัก รถม้าของอู๋เยว่ชิงหยุดพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชานเมือง นางพยายามรวบรวมสติของตนเองเอาไว้แล้วปกป้องอีนั่ว
“เสด็จแม่ เราอยู่ที่ใดกันหรือ” อีนั่วเอ่ยปากถามทันทีที่ลืมตาหลังจากนอนหลับยาวนาน “เสด็จพ่อเล่า...”
เมื่อถูกถามไถ่ถึงหลินซีเวย น้ำตาของนางก็เอ่อคลอแต่พยายามกลั้นใจเอาไว้ “พ่อของเจ้าจะรีบตามมา อีนั่วอย่าได้กังวลไปเลยนะ”
มารน้อยพยักหน้าแล้วซบเข้าอ้อมกอดของมารดาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของอู๋เยว่ชิง มือน้อย ๆ ลูบใบหน้าของนางราวกับต้องการปลอบประโลม
พวกเขาหยุดพักรอคนของแม่ทัพใหญ่ที่ส่งมานำทาง หากแต่จนแล้วจนรอดผ่านไปเกือบสามวันแล้วยังไม่มีผู้ใดโผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา
อู๋เยว่ชิงหันไปบอกกับมารดา “ท่านแม่ ท่านรออยู่ที่ห้องกับอีนั่วก่อนได้หรือไม่ ข้าจะออกไปสืบหาข่าวคราว”
“อย่าเพิ่งไปเลย แม่ว่ารออีกสักนิดเถิด” อู๋ฮูหยินเป็นห่วงบุตรสาว รู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดแปลกไปเพราะคนของสามีไม่เคยผิดนัดเนิ่นนานเพียงนี้
“เสบียงที่มีอยู่ใกล้จะหมดแล้ว อย่างไรลูกก็ต้องออกไปที่ตลาดอยู่ดี ท่านแม่วางใจเถอะเจ้าค่ะ ลูกจะรีบกลับมา” นางกุมมือของผู้เป็นมารดาและบุตรชายเอาไว้ “อีนั่ว อยู่กับท่านยาย อย่าดื้อนะลูก”
มารน้อยพยักหน้าเชื่อฟังเป็นอย่างดี สามวันมานี้ไม่มีออกอาการร้อนรนดั่งไฟเจ็บป่วยเหมือนเวลาที่อยู่ในวังหลวง อีนั่วกลับมาสดใสแข็งแรงเหมือนอย่างเคยจนนางพลอยโล่งใจจึงกล้าปล่อยให้อยู่กับอู๋ฮูหยินเพียงลำพัง
อู๋เยว่ชิงสวมชุดสีพื้นโพกผ้าปิดศีรษะพลางมองซ้ายมองขวาตลอดทาง ทั้งบ้านเรือน ผู้คน บรรยากาศรอบตัวดูปกติ นางแวะที่ร้านค้าเพื่อซื้อวัตถุดิบมาเตรียมทำอาหารที่บ้านแล้วหลบไปรอคนของแม่ทัพใหญ่ตรงจุดนัดพบในตลาดอย่างที่บิดาเคยบอกไว้
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม นางยังคงไม่เห็นร่องรอยของผู้ใดผ่านมาแถวนี้ ทั้งยังฟ้าเริ่มมืดค่ำจึงตัดสินใจกลับบ้านไปหาลูกน้อยและมารดาด้วยความผิดหวัง
เพราะหวังที่จะได้ข่าวของแม่ทัพใหญ่ ทั้งอยากสอบถามเรื่องของหลินซีเวยว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายกลับมามือเปล่าจนไม่รู้จะไปต่อ
อย่างไร คิดแต่เพียงว่าวันพรุ่งนี้นางคงต้องออกมารอที่จุดนัดหมายตั้งแต่รุ่งเช้าและหวังว่าจะได้ยินข่าวดีบ้าง
ทว่า ระหว่างทางเดินกลับมายังบ้านหลังเล็ก อู๋เยว่ชิงสังเกตเห็นว่าบ้านเรือนบริเวณนั้นเงียบสงัด มืดมนและวังเวงต่างจากตอนที่นางออกมา
เสียงหมาป่าหอนเกรียวจนขนลุกซู่เสียวสันหลังวาบ นางจำความรู้สึกนี้ได้ทันทีเพราะมันช่างเหมือนกับตอนที่เกิดเรื่องในวังหลวงไม่ผิดเพี้ยน
อู๋เยว่ชิงนึกถึงอีนั่ว กลัวจนสุดใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจึงรีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกลับไปยังบ้านหลังเดิม
ยิ่งเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้น กลิ่นเลือดยิ่งเข้มข้นจนน่าสะอิดสะเอียน สีหน้าของนางซีดเผือด ภาวนาให้ไม่มีเรื่องราวใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างที่นางไม่อยู่
ทว่า พอเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงเห็นว่ามีร่างไร้วิญญาณของชาวบ้านที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของนางนอนจมกองเลือดรายทาง ดวงตาเบิกโพลงราวกับกลัวจนสุดขีด
อู๋เยว่ชิงเร่งฝีเท้า ตัวสั่นกลัว น้ำตาร่วงเผาะไม่อาจกลั้นจนมาถึงหน้าบ้านของตนเอง ประตูถูกผลักอย่างแรงจนกระทบขอบเสียงดังปัง
ภาพที่เห็นทำให้นางแน่นิ่งไปชั่วขณะ อู๋ฮูหยินนอนหงายเลือดท่วม เพียงแต่ไม่ทันจะได้อาลัยอาวรณ์ให้กับมารดา
หางตาของนางเห็นภาพจาง ๆ อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องพร้อมเสียงเรียกที่คุ้นเคยของอีนั่ว “เสด็จแม่...” เสียงนั้นแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง
อู๋เยว่ชิงหันไปมองตามเสียงพลันได้เห็นว่าบุตรชายกำลังถูกใครบางคนบีบลำคอเล็ก ๆ ยกขึ้นสูงจากพื้น นางยกขาก้าวได้เพียงหนึ่งก้าวคิดจะรีบช่วยอีนั่วออกมาแต่ความเร็วกลับสู้คนผู้นั้นไม่ได้
กร๊อบ!!! เสียงกระดูกคอของมารน้อยหักเป็นสองท่อน
ดวงตาสีฟ้าของอู๋เยว่ชิงเบิกโตตะลึงงัน กรีดร้องลั่นแทบบ้า น้ำตาไหลพรากมิอาจกั้นได้อีกต่อไป
“...”
“...”
“...”
แล้วทันใดนั้นคนที่สังหารอีนั่วก็หัวเราะลั่นก่อนจะโยนร่างไร้วิญญาณมาทางนาง
“อีนั่ว...อีนั่ว” อู๋เยว่ชิงไม่สนใจว่านางอาจจะเป็นรายต่อไป นางอังมือที่ปลายจมูกของเขา ก้มลงเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจ หากแต่ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เวลานี้แววตาเศร้าโศกมองคนที่จากไปด้วยความเจ็บปวด อุ้มร่างของเขาขึ้นมากอดแนบอก “ลูกแม่...อีนั่ว แม่อยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าอย่าเพิ่งจากแม่ไป”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังก้อง สายตามองไปยังอู๋ฮูหยิน หัวใจของนางเจ็บแปลบเหลือคณา
เสียงฝีเท้าของคนอีกผู้หนึ่งเดินเข้าหานางพลันถุงหอมสีม่วงแดงร่วงหล่นลงมาตรงหน้า อู๋เยว่ชิงจำได้ทันทีว่าเป็นของผู้ใด นางจึงเงยหน้ามองคนผู้นั้น
“...” ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าหาเจ้าตัวจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดได้ ทั้งสับสน สงสัย โศกเศร้า เจ็บปวด
คนผู้นั้นยื่นมือข้างที่บีบคออีนั่ว มือที่เปื้อนเลือดของเขาโอบแก้มอู๋เยว่ชิงพลางแสยะยิ้มแววตาชั่วร้าย กระซิบพึมพำกับคนตรงหน้า “ชายาของข้า เหตุใดจึงร้องไห้เช่นนี้เล่า”
“...”
“สามวันผันผ่านจำหน้าสามีของเจ้าไม่ได้แล้วหรือ” ใบหน้าคุ้นเคย น้ำเสียงอ่อนโยนที่นางเคยได้ยินเรียกสติที่แตกกระเจิงกลับมา
อู๋เยว่ชิงกอดอีนั่วไว้แน่น “เจ้าเป็นผู้ใด มารปีศาจจากแห่งหนไหนถึงได้มาเลียนแบบเสด็จพี่”
คำพูดของนางเรียกเสียงหัวเราะจากคนผู้นั้น ดวงตาสีม่วงแดงจ้องกลับไม่วางตา “มารปีศาจหน้าไหนจะกล้ามาเลียนแบบผู้ปกครองมารปีศาจทั้งปวงอย่างข้า”
“เจ้ามิใช่เสด็จพี่ของข้า เลิกตลบตะแลงเสแสร้งเสียที” อู๋เยว่ชิงกล่าวไม่นึกเกรงกลัวเขาอีกต่อไป
“ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาตั้งสามปีแต่กลับทำเหมือนจำข้าไม่ได้ น้อยใจยิ่งนัก” เขาเอ่ยพลางทำสีหน้าตามอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ “ชายาของข้า เยว่ชิง ของขวัญชิ้นใหญ่ที่ข้าเตรียมไว้ให้ถูกใจหรือไม่”
“...”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้ารอวันนี้มานานเท่าใดแล้ว ต้องแกล้งทำเป็นรักเจ้า ความรู้สึกนั้น... มันช่างน่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน” หลินซีเวยพรั่งพรูสิ่งที่คิดวางแผนมาเนิ่นนานให้นางได้รับรู้ “เนื้อตัวอันน่ารังเกียจของเจ้า แค่คิดว่าจะต้องสัมผัสก็สะอิดสะเอียน ยิ่งอาศัยร่วมวันร่วมคืน ยิ่งคลื่นไส้จนอยากสำรอกออกมาให้ได้ แต่ข้าอดทนเก่งใช่หรือไม่ ดูสิ เจ้าเชื่อข้าสนิทใจจนยอมทุกอย่างเลยนี่”
“...”
“อืม ตอนที่เจ้าหนีมาที่นี่ ข้าจัดการให้หมดแล้วนะ คนในวังหลวง พ่อของเจ้า เมืองไท่หยาง อ้อ เซียนสำนักหานหลิ่งก็ด้วย ถึงจะรู้สึกขอบคุณพวกมันอยู่บ้างก็เถอะที่ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากร่างมนุษย์ของหลินซีเวยมาได้”
“ท่านพ่อ...” นางพึมพำน้ำตาเอ่อคลออีกครั้ง
“ข้าจัดการให้สาสมกับที่เป็นบิดาของเจ้าเลยล่ะ” จอมมารแสยะยิ้ม “ตอนที่เขารู้ว่าข้าเป็นผู้ใดก็ทำหน้าเหมือนเจ้าเวลานี้เลย น่าขันยิ่งนัก”
สติของอู๋เยว่ชิงเลือนลาง “ร่างมนุษย์ของหลินซีเวย...”
“อืม เป็นเพราะเจ้า ข้าถึงได้มาติดอยู่ในร่างเขาตั้งแต่กำเนิด น่ารำคาญจริง ๆ” เจ้าตัวนิ่วหน้าแต่กลับรู้สึกอารมณ์ดีที่ครานี้กลับสู่ร่างมารต้นกำเนิดของตัวเองแล้ว
อู๋เยว่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเมื่อไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้ว นางจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม “เจ้าอยากฆ่าข้าหรือ”
“อยากสิ ข้ารอวันนี้มาตั้งนาน”
“เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม ตัวข้าก็อยู่ตรงนี้แล้ว” นางหลับตาลงไม่นึกถึงสิ่งใดอีกต่อไป
จอมมารยิ้มแสยะพลางเลิกคิ้ว นึกถึงคำเล่าขานที่ได้ยินมาจากดวงวิญญาณของเทพเซียนในสุสานอันซี
เมื่อใดที่เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตปริแตก ไม่ว่าจะเทพเซียนหรือจอมมาร ความรู้สึกทั้งเจ็ดถาโถมโหมกระหน่ำในคราวเดียวจะทำให้แก่นวิญญาณของพวกเขาอ่อนแอ
แม้พลังน้อยนิด ดาบกระบี่ของมนุษย์ก็สามารถคร่าชีวิตอมตะให้แหลกสลายไปตลอดกาล
มือหนาของจอมมารบีบลำคอเรียวระหงของนาง ในใจคิดว่าถึงเวลาสะสางเสียที พลังมารหนักหน่วงก่อตัวขึ้น เขาไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน
หากแต่ผลที่ได้ไม่เป็นอย่างคาดคิดเพราะพลังมารที่เขาส่งออกไปสะท้อนกลับเข้าหาตัวเหมือนอย่างเคยกงจื่อเย่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!!!”เขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ของชาตินี้ที่อยู่ในแก่นวิญญาณของนางต้องได้รับความเสียหายจนปริแตกแล้วจึงได้ลงมือ แต่กลับทำอันใดนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อยครั้นลองร่ายพลังมารใส่อู๋เยว่ชิงอีกครั้ง พลังรุนแรงนั้นยังคงสะท้อนกลับมาหาเขาไม่เคยเปลี่ยนกงจื่อเย่กระอักเลือดออกมากองใหญ่ คิ้วขมวดเป็นปม เอ่ยถามนางด้วยความสงสัย “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าหรือ”นั่นเพราะเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรักมักจะทำให้มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งรักมากเท่าใดยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกคนท
หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหาสวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไปแม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นใน
หลังจากอู๋เยว่ชิงผนึกเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงได้แล้ว ร่างมนุษย์ของนางจึงแตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ววิญญาณเทพดาราควรกลับแดนสวรรค์เพราะนางได้ผ่านด่านเคราะห์อันแสนสาหัสไปเรียบร้อยหากแต่เวลานี้ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าวิญญาณของเทพดาราหายไปอยู่ที่ใดราวกับนางไม่มีตัวตนสิ่งที่นางหลงเหลือไว้มีเพียงความทรงจำและความเจ็บปวดที่ฝังลึกในเมล็ดพันธุ์ที่ปริแตกในแก่นวิญญาณของจอมมาร คนที่กำลังทรมานกับสิ่งที่ตนเองกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมากงจื่อเย่เพิ่งสัมผัสได้ว่านางทุกข์ทน ผิดหวังและเศร้าโศกมากเพียงใด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่อาจกำจัดความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงออกไปได้“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ทำลายมันทิ้งไป พลังของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ดีหรือขอรับ” โจวเหวินหลงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไม่ได้มีกำลังมากมายที่
กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปีเหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขาขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียง
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง