นับตั้งแต่นั้นมา กงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้ว
เมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม
ครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น
แต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้
เฉินซือหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองหน้าสหายราวกับต้องการที่ระบาย “นายท่านจะปล่อยให้พวกเกิดใหม่ย่ามใจไปจนถึงเมื่อใด หากพวกมันคิดยึดอำนาจผู้ปกครองภพมารไปเล่า”
หลิวอิงอิงเลิกคิ้วทำสีหน้าเย็นชาเหมือนอย่างเคย “ถึงอย่างไรนายท่านก็มีพลังมากกว่าพวกนั้น ไม่มีใครคิดทำอันใดได้หรอก”
พวกเขามองเข้าไปยังตำหนักอันแสนมืดมัวอึมครึมของจอมมารผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้
“นายท่านมีคำสั่งว่าห้ามรบกวน เจ้าอยากเข้าไปรายงานหรือไม่เล่าเฉินซือหยาง” โจวเหวินหลงเอ่ยปากเพราะทนเขาพร่ำบ่นมานานมากแล้ว
“แล้วพวกเราจะต้องรอไปจนถึงเมื่อใด นี่มันผ่านไปสิบปีแล้วนะ” เฉินซือหยางทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์ “แอบหนีไปตอนนี้ดีหรือไม่ ถ้าพวกมารเกิดใหม่ตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมา ปีศาจอย่างข้าคงโดนจับกินก่อนใคร”
หลิวอิงอิงหัวเราะร่ากับความคิดของสหายพลางย้ำเตือนให้เขาได้รู้ว่า “ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจ้าเป็นของผู้ใด หากนายท่านไม่ถอนตราประทับในตัวเจ้า ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ เจ้าก็ยังต้องตามมารับใช้นายท่านอยู่วันยังค่ำ”
กุกกัก กุกกัก
เสียงบางอย่างดังมาจากข้างในตำหนักทำให้ลูกน้องจอมมารหูผึ่งขึ้นมาทันใดหลังจากข้างในนั้นสงบนิ่งมานับสิบปี
ใบหูข้างขวาของพวกเขาแนบชิดประตูอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นพลางมองหน้ากันคาดเดาต่าง ๆ นานา
กุกกัก กุกกัก
“เจ้าว่ามันคืออันใด” เฉินซือหยางกระซิบถามสหายทั้งสอง
“ข้าก็อยู่กับเจ้าตรงนี้ จะไปรู้ได้อย่างไร” หลิวอิงอิงขมวดคิ้วชนกันกรอกตาด้วยความเบื่อหน่ายนิสัยของเขาแล้วหันไปตั้งใจฟังเสียงอีกครั้ง ในขณะที่มังกรดำอย่างโจวเหวินหลงสัมผัสถึงพลังมารที่ไม่เคยรู้สึกถึงมาก่อนได้แต่ยังคงนิ่งเงียบเอาไว้
ข้างในนั้น กงจื่อเย่มองร่างที่อยู่ตรงหน้าพลางจับมือน้อย ๆ เอ่ยพึมพำ “อีนั่ว ตื่นได้แล้ว”
เด็กน้อยในวันวานยังคงนิ่งเฉยราวกับปฏิเสธไม่ฟังคำของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่
“ข้าขอโทษที่ทำร้ายเจ้าในวันนั้น แต่เจ้าเป็นครึ่งมาร ความเจ็บนั้นเทียบเท่ามดกัดยังไม่ได้เลย” จอมมารกำลังทำบางอย่างเพื่อปลุกให้บุตรชายตื่นจากภวังค์
คำพูดเปรียบเทียบทำให้ร่างตรงหน้าตงิดใจ ทั้งโกรธ เสียใจและน้อยใจที่บิดาทำกับเขาแบบนั้นจนไม่อยากฟื้นขึ้นมา
อันที่จริงแล้ว หลังจากที่กงจื่อเย่ฆ่าเขาด้วยมือของตัวเอง อีนั่วตกใจสุดขีดจนวิญญาณกระเด็นหายไปชั่วคราว
ทว่า ร่างกายครึ่งมารปีศาจของเขาแข็งแกร่งเหนือผู้ใด นั่นก็เพราะคนเป็นบิดาตั้งใจสร้างเขาขึ้นมาอย่างประณีต ทั้งร่างกายและวิญญาณจึงไม่สูญสลาย
อีกทั้งหลิวอิงอิงยังคอยร่ายกระแสพลังมารให้ตลอดเวลาร่างมารจึงยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
ยิ่งเมื่อได้รับพลังจากจอมมารโดยตรงแล้ว ร่างของอีนั่วยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม วิญญาณที่หลุดลอยไปหลายปีจึงถูกดึงกลับมายังร่างว่างเปล่าโดยปริยาย
เด็กตัวน้อยจดจำทุกอย่างในวันนั้นได้ เขาอุตส่าห์ดีใจที่บิดากลับมาหา แต่เวลานั้นจอมมารบ้าคลั่งกระหายเลือดอยากเอาชนะจึงคิดทำลายสิ่งที่มีค่าของอู๋เยว่ชิง
อีนั่วจึงถูกกระทำเหมือนเหยื่อคนอื่น ๆ สายตาของเขาที่มองกงจื่อเย่ตอนนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้
“เสด็จพ่อ ข้าเจ็บ...” เขาพยายามดิ้นรนหนีไปแต่สู้แรงไม่ได้ น้ำตาคลอเบ้าเพราะหวาดกลัวคนตรงหน้าที่กำลังแสยะยิ้ม
ความเจ็บในครั้งนั้นแม้จะน้อยกว่ามดกัดอย่างที่พูดแต่ก็อดทำให้เขาทรมานใจไม่ได้จึงไม่ยอมกลับร่างตนเองมานานนับสิบปี
ใครต่อใครต่างคิดว่ามารน้อยตายจากไปแล้ว มีเพียงแค่กงจื่อเย่ที่รู้ว่าบุตรชายเพียงแค่หลบหน้าหนีหายจากเขาเท่านั้น
“แม่ของเจ้าคงรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้ากระมังจึงไม่ยอมมาพบข้าบ้างเลย” จอมมารกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสำนึกผิด
เขาร่ายพลังทั้งหมดตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเรียกวิญญาณของลูกชายกลับคืนร่างเดิมแต่ไม่อาจบังคับให้เด็กน้อยฟื้นได้หากเจ้าตัวไม่เต็มใจ
เวลานี้ทำได้แค่โน้มน้าวเพราะรู้ว่าอีนั่วเป็นคนเดียวที่จะสามารถช่วยเขาตามหาคนรักได้
“เจ้าไม่คิดถึงมารดาหรือ” น้ำเสียงกงจื่อเย่เศร้าสร้อย “คงไม่ใช่เช่นนั้นสินะ เจ้าคงโกรธข้ามากกว่า”
อีนั่วยังคงนิ่งเฉยไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นและเวลานี้ยังไม่รู้เลยว่าบิดาของเขากำลังพร่ำพูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจ
เสด็จแม่ไม่อยู่ด้วยหรือ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสด็จพ่อตรัสเช่นนั้น นี่มันเรื่องอันใดกัน
ความคิดเหล่านั้นวนเวียนในใจของอีนั่วจนนึกอยากกลับเข้าร่างแล้วถามไถ่ให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ความรู้สึกปวดร้าวกับเหตุการณ์ในอดีตยังอยู่จึงอดทนเอาไว้แล้วหาคำตอบด้วยตัวเอง
“ช่างเถอะ” กงจื่อเย่ถอนหายใจรู้ความผิดของตัวเองดีจึงบีบมือน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน “หากข้าพานางมาหา เจ้าจะยกโทษให้ได้หรือไม่”
จอมมารไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมผู้ยิ่งใหญ่อย่างตนต้องเอาใจครึ่งมารที่อยู่ตรงหน้าขนาดนี้ แต่รับรู้บางสิ่งอย่างแน่ชัดว่าอีนั่วคือสัญญาของความรักระหว่างเขากับอู๋เยว่ชิง
หากอีนั่วยังมีชีวิตอยู่ บางทีนางอาจจะยอมให้อภัยเขา ยกโทษให้แล้วกลับมาหากัน อยู่ด้วยกันเหมือนเช่นในวันวาน
ท้ายที่สุดแล้ว กงจื่อเย่จึงตัดสินใจปล่อยให้อีนั่วได้พักผ่อนเพียงลำพัง คิดในใจว่าคนผู้เดียวที่จะปลุกบุตรชายได้คงจะเป็นมารดาที่เขารัก จอมมารลูบศีรษะอย่างแผ่วเบาบอกกับเขาว่า “ข้าจะพามารดาของเจ้ามาที่แห่งนี้ อดทนรอหน่อยเถิด เมื่อถึงวันนั้นแล้วหวังว่าเจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”
“...” อีนั่วนิ่งเฉย ไม่รับรู้สิ่งใดจนกระทั่งกงจื่อเย่หายตัวไปจากที่แห่งนั้นแล้วลูกน้องทั้งสามเข้ามาข้างในแทนที่
เฉินซือหยางยังคงไม่เข้าใจคำสั่งของเจ้านายจึงเอ่ยถามคนที่เหลือ “นายท่านออกมาข้างนอกครานี้เพื่อไปตามหาวิญญาณของนางหรือ ทำไมกันเล่าหรือว่าหลงรักศัตรูที่จะฆ่าตัวเองอย่างนั้นหรือ”
“เหตุใดเจ้าจึงสงสัยนักหนา ไม่รู้สักเรื่องจะได้หรือไม่” หลิวอิงอิงที่เป็นคู่ปรับถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ร่างของอีนั่วที่ถูกผนึกเอาไว้ เอ่ยพึมพำ “หน้าที่เดิมของข้ากลับมาแล้วสินะ”
โจวเหวินหลงเอื้อมมือสัมผัสร่างเด็กน้อยด้วยความอยากรู้เพราะพลังมารที่รู้สึกได้มีต้นกำเนิดมาจากตัวเขา “ยังไม่ตายหรอกหรือ”
คำพูดของเขาทำให้สหายทั้งสองมองหน้ากัน “หมายความอย่างไร เป็นไปไม่ได้หรอก”
โจวเหวินหลงยังคงยืนยันคำเดิม “ยังมีชีวิตอยู่อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากด้วยเพียงแต่ไร้วิญญาณ”
“ร่างไร้วิญญาณก็หมายความว่าตายไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงพูดอะไรให้ซับซ้อน” เฉินซือหยางขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นลองสัมผัสเหมือนอย่างที่โจวเหวินหลงทำพลันเบิกตาโตตกใจ “ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ด้วย”
หลิวอิงอิงนึกถึงคำพูดของเจ้านายเมื่อครั้งก่อนจึงยิ้มมุมปาก “เห็นทีคงจะไม่ต้องกังวลเรื่องมารปีศาจที่เกิดใหม่นั่นแล้วล่ะ ในเมื่อตัวแทนของนายท่านอยู่ตรงนี้แล้ว อีกทั้งยังเป็นครึ่งมารปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา สงสัยนายท่านจะตั้งใจสร้างเขาขึ้นมาจริง ๆ”
“เสียดายก็แต่มีครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ แม้ร่างมารดาที่ให้กำเนิดจะเป็นเทพจุติมาแต่ก็ไม่มีพลังนั้นด้วย มิอย่างนั้นแล้วคงมีเรื่องสนุกน่าดู” เฉินซือหยางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “หากคนในภพสวรรค์รู้เข้าจะทำอย่างไรกัน จะมาฆ่าเจ้าเด็กน้อยหรือว่าฆ่านางที่ให้กำเนิดมารปีศาจหรือไม่”
โจวเหวินหลงส่ายหน้าพลางเดาใจจอมมารผู้เป็นเจ้านาย “ในเมื่อตั้งใจเรียกวิญญาณเขากลับมาถึงเพียงนี้ นายท่านคงไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องเขาหรอก เจ้าเองระวังความคิดเอาไว้หน่อยเถิด คิดก่อนพูดเสียบ้าง มิเช่นนั้นอาจตายเพราะปากได้”
“ยังไม่ทันได้เห็นพลังครึ่งมารปีศาจ พวกเจ้าก็ตีตนกลัวไปก่อนไข้แล้วหรือ อ่อนหัดเสียจริง ๆ” เฉินซือหยางยิ้มร่า “เจ้าเด็กน้อยอาจจะกลัวนายท่านจนไม่กล้ากลับเข้าร่างแล้วก็ได้”
ทั้งสามผลัดกันแสดงความเห็นไปมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามารน้อยกำลังฟังคำพูดอย่างจริงจังจนจับใจความได้ว่าหลังจากที่จอมมารทำร้ายเขา มารดาก็เสียใจที่ถูกทรยศหักหลังจนแตกสลาย
วิญญาณอีนั่วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนิ่วหน้าเอ่ยเสียงดัง “ทำกับเสด็จแม่ถึงขนาดนั้นแล้วคิดจะให้ข้ายกโทษให้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด!”
วันนั้น ลูกน้องจอมมารทั้งสามได้เห็นพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างของมารน้อยในพริบตาพลันได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวดังลั่นจนนิ่งงันโดยไม่รู้ตัว
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง