เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น คนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง
“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”
กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป
“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมารจะเป็นอย่างไรต่อ “ชีวิตของนางในชาตินั้นจบสิ้นลงไปแล้ว ตัวตนที่เจ้าเคยพบเจอย่อมไม่มีอีก มารร้ายอย่างเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
“ข้าบอกพวกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือว่าข้าต้องการตัวนาง” เขายังยืนยันคำเดิม “แค่ส่งนางมาให้ข้า ถือว่าจบกัน”
เหล่าเทพเซียนที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ แค่เขาได้ตัวเทพดาราทุกอย่างก็จะจบอย่างนั้นหรือ
ทว่า ภพสวรรค์คงไม่อาจส่งตัวนางให้กงจื่อเย่ได้ ในเมื่อนางคือความหวังหนึ่งที่จะทำลายจอมมาร
ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียงกันไปมาเพราะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา ข่าวคราวด้านล่างก็แพร่สะพัดไปถึงลานลงทัณฑ์ด้านบนยอดเขาอย่างเสียมิได้
สวีลู่ชิงถอนหายใจไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาถึงเร็วเพียงนี้ เดิมทีคิดว่าจะค่อย ๆ รับอสนีบาตทีละครั้งสะสมเรื่อย ๆ แต่ในเมื่อจอมมารปรากฏตัวคงไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป
นางหันไปทางเทพสายฟ้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ประสานสายตาอย่างรู้กันว่าใครต้องทำเช่นไรพลันเมฆครึ้มเปลี่ยนสีหมุนวนราวกับพายุเหนือยอดเขา
เสียงคำรามและสายฟ้าทะลุเมฆหนาพุ่งผ่านร่างเทพดารา แม้จะเม้มปากกัดฟันไว้แน่นแต่ความเจ็บนั้นทำให้นางสั่นสะท้าน แก่นวิญญาณที่กำลังจะปริแตกทำให้ความทรมานเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
ดวงตาสีม่วงแดงจ้องขึ้นไปยังด้านบน กระวนกระวายโดยไม่รู้สาเหตุเรียกอาวุธประจำกายออกมาถือ แววตาน่ากลัวระคนร้อนรนฉายออกมา
“ถอยไป!” เขาตวาดเสียงดังก้อง ทำทีจะพุ่งเข้ามายังเขตแดนสวรรค์ด้านในแต่ถูกเทพปฐพียิงธนูสกัดเอาไว้ห้ามไม่ให้เขาย่างกรายแม้แต่ก้าวเดียว
เวลานั้น เสียงกระหึ่มของฟ้าด้านบนยังคงไม่หยุดลงง่าย ๆ กงจื่อเย่มองเห็นแสงสว่างที่ใครบางคนกำลังปั่นป่วนเมฆหนาในวงพายุเพื่อเร่งให้ฟ้าพิโรธ
“ข้าบอกให้ถอยไป” เขาโพล่งออกมาราวกับย้ำเตือนเทพเซียนเหล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย ใจล่องลอยไปถึงที่หมายแต่กายยังอยู่ที่เดิมไปไหนไม่ได้
“ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไป!”
“...” ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้ว่าจอมมารเล่นเล่ห์อันใด “เจ้าน่ะหรือจะปล่อยให้ผู้ใดรอดชีวิต” หนึ่งในนั้นแสยะยิ้ม
“...” คิ้วหนาขมวดไม่สบอารมณ์ นึกอยากจะเปลี่ยนใจแล้วจัดการสิ่งกีดขวางให้สิ้นซาก
“เจ้าสังหารนางในชาติก่อน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เทพวายุออกมายืนขวางทางเอาไว้
คำพูดของเขาทำให้กงจื่อเย่ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเขาเสมอมา อีกทั้งยังรู้ด้วยว่านางเจ็บปวดมากเพียงไร
เปรี้ยง!
อสนีบาตครั้งที่สองเพิ่งสาดลงมาจากเบื้องบนอย่างรุนแรง คราวนี้เสียงร้องของสวีลู่ชิงสะท้อนมาถึงข้างล่างเขตแดนศักดิ์สิทธิ์จนทำให้หัวใจของจอมมารสั่นระริกไปด้วย
สุดท้ายแล้ว เขาจึงร่ายอาคมเปิดภพมารพร้อมสั่งการปีศาจใต้อาณัติให้ถล่มใครก็ตามที่คิดขวางทางโดยไม่ไว้หน้า ในขณะที่สายตาเหลือบมองไปยังที่แห่งนั้นตลอดเวลา มือข้างหนึ่งร่ายอาคมสู้กับเทพปฐพี ส่วนอีกข้างตวัดดาบเขี้ยวอสูรบังคับให้มันทำลายม่านเขตแดนสวรรค์
เขาเร่งมือโดยไม่สนว่าจะต้องผลาญพลังมารปีศาจของตนไปเท่าไหร่เพราะทนรอไม่ไหว ท่าทางของเขาอยู่ในสายตาของเทพวายุที่รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
ครั้งแรกที่ปะทะกัน แววตาของจอมมารเย็นชาถึงขนาดที่ฆ่าผู้ใดไปก็ไม่รู้สึกอันใดจึงมักจะได้เห็นรอยยิ้มสนุกสนานของเขาเวลาที่เลือดของเหล่าเทพเซียนสาดกระเซ็น
ครั้งนี้เขาตั้งสมาธิจดจ่อกับการทำลายม่านเขตแดนเพียงอย่างเดียว ไม่สนใจว่าคมหอกสามง่ามของเทพปฐพีจะบาดร่างกายของเขามากเท่าใด
เปรี๊ยะ!
ครั้นได้ยินเสียงม่านเขตแดนปริร้าว จอมมารยิ้มกว้างแล้วรวบรวมพลังไว้ในมือทั้งสองข้างเล็งเป้าหมายไว้เป็นอย่างดีแล้วปล่อยพลังมารออกมา
ทำลายปราการที่กั้นไม่ให้เขาเข้าไปข้างในจนราบในคราวเดียวแล้วใช้ช่วงเวลาชุลมุนนั้นหายตัวไป เหลือทิ้งไว้ก็เพียงแต่ลูกสมุนปีศาจที่กำลังกรูเข้ามาปะทะกับกองทัพสวรรค์อย่างหิวกระหาย
ก่อนที่อสนีบาตครั้งที่สามจะถล่มลงมา กงจื่อเย่ฝืนแทรกร่างมารปีศาจเข้าไปอยู่ใจกลางลานลงทัณฑ์โดยไม่สนสายตาของผู้ใดที่กำลังตกตะลึงไม่คิดว่ามารอย่างเขาจะเข้ามาถึงที่แห่งนี้ได้ มิหนำซ้ำยังกล้านำพาตัวเองเข้าสู่แดนประหารราวกับคนโง่เขลา
เทพวายุตามหลังมาทันทีจึงได้เห็นว่าจอมมารไร้ใจกำลังกอดร่างของสวีลู่ชิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังใช้พลังมารห่อล้อมตัวนางเอาไว้ สายตาลึกล้ำที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทำให้เทพวายุแทบไม่เชื่อเลยว่า “เขาเป็นห่วงนางอย่างนั้นหรือ”
สวีต้าเฟิงพยายามฝ่าเข้าไปใจกลางลานแต่กลับถูกเหล่าเทพอื่น ๆ ห้ามเอาไว้ก่อนเพราะอสนีบาตไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้าม หากไม่ใช่เวลาผ่านด่านเคราะห์ สุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปเวลานี้มีแต่จะเร่งเวลาตายมากขึ้น
ไม่ทันที่จะได้ทำอันใด ฟ้าร้องคำรามลั่นก่อนจะเกิดแสงแปลบปลาบและสายฟ้าครั้งที่สามฟาดลงมาอย่างแรง
เปรี้ยง!
สีหน้าจอมมารยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้รับผลกระทบอันใดแต่แววตากลับไม่อาจปิดบังได้ น้ำเสียงเอ่ยถามคนในอ้อมกอดที่เพิ่งได้กลับมาพบกันอีกครั้งในรอบหนึ่งร้อยปี
“เยว่ชิง เจ็บที่ใดหรือไม่” เสียงกระซิบแผ่วเบาด้วยความห่วงใยทำให้สวีลู่ชิงงงงวยว่าเขาคือผู้ใด แต่เพราะเห็นพลังมารมืดดำแผ่ออกมารอบตัวจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงตรงหน้าคือมารผู้นั้นอย่างแน่นอน
“ปล่อยข้า!” นางผลักอกเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี สีหน้าและแววตายามนี้ทำราวกับเขาคือศัตรูของนาง
“เยว่ชิง” กงจื่อเย่เรียกนางเหมือนอย่างเคยพลางจับมือที่พยายามดันตัวเขาเอาไว้ “เหตุใดจึงมีท่าทีห่างเหินเพียงนี้”
“...” นางขมวดคิ้วเรียวดิ้นรนจะหนีจากอ้อมแขนจอมมารแต่ทำไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงถูกสายฟ้ากลืนกินไปหลายส่วน
กงจื่อเย่ยังกอดรัดร่างบางเอาไว้เหมือนอย่างเดิม ในใจคิดแต่เพียงว่าเทพดาราคงจะกลับมายังลานลงทัณฑ์อีกครั้งเพื่อรับอสนีบาตให้ครบ
ดังนั้นแล้ว เขาจึงไม่อาจปล่อยให้นางหนีไปได้และถ้าเป้าหมายของนางคือการกำจัดมารปีศาจอย่างเขา เห็นทีวิธีที่เขาตัดสินใจคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์หยั่งรากลึกกว่าเดิมหรืออย่างไร กงจื่อเย่จึงสัมผัสได้ว่าแก่นวิญญาณของนางกำลังจะสลายหายไปก่อนที่จะรับสายฟ้าครบสิบเก้าครั้ง
หากเป็นเช่นนั้น จอมมารคงจะยอมไม่ได้ ร้อยปีที่ผ่านมาไม่อาจสัมผัสได้ว่านางอยู่แห่งหนใดก็ทรมานแทบขาดใจ ถ้าแก่นวิญญาณนางแหลกสลายไป เขาจะอยู่ได้อย่างไร
“เยว่ชิง หน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเจ้า ข้าจะทำให้มันสำเร็จเองเพราะฉะนั้นแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งผลักไสข้าเลยนะ อย่างน้อยให้ข้าได้กอดเจ้านานกว่านี้ก็ยังดี อสนีบาตพาดผ่านร่างข้าครบเมื่อใด ข้าจะไม่มาก่อกวนเจ้าอีก” เขาหยุดพูดฝืนยิ้มออกมาเพราะรู้ดีแก่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น “หากข้าจะต้องหายไปก็ขอให้เจ้ายังคงอยู่”
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง