เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อ
นกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไร
สวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิด
เขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้า
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)
“...” เทพวายุนิ่งเงียบรู้สึกได้ว่าพลังมารจากตัวนกน้อยกำลังแพร่ออกมา จึงเอื้อมมือไปจับเจ้าถ่านออกมาห่างกายสวีลู่ชิงเพราะกลัวว่าไอมารจะรบกวนการฟื้นฟูของนาง
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (ปล่อยข้านะ อย่ามาจับ)
เสียงร้องแสบแก้วหูราวกับใครบางคนบ่นระงมทำให้สวีลู่ชิงลืมตามองจึงได้เห็นว่าพี่ชายกำลังถูกเจ้าถ่านจิกมืออยู่
“ท่านพี่ อย่าบีบเจ้าถ่านอย่างนั้นสิเจ้าคะ” นางยื่นมือออกไป ส่งสายตาบอกพี่ชายเป็นนัยว่าให้คืนนกน้อยตัวนั้นให้นาง
“อย่าบอกนะว่า อยู่ด้วยกันไม่กี่วัน เจ้าก็รู้สึกผูกพันกับปีศาจน้อยเสียแล้ว” เทพวายุส่ายหน้าหนักใจที่น้องสาวใจดีจนเกินเหตุ
“เจ้าถ่านเป็นปีศาจน้อยก็จริง แต่ว่าเขาไม่ได้มีพิษภัยอันใด” นางแก้ตัวแทนนกน้อย “ท่านพี่ดูสิ น่ารักออกปานนี้ ข้าจึงรู้สึกผูกพัน”
“เฮ้อ” เขาถอนหายใจแล้วพูดต่อ “เจ้ารู้หรือไม่กลิ่นมารปีศาจโอบล้อมตัวเจ้ามากเพียงใด”
“รู้สิเจ้าคะ พวกเราอยู่ในเขตแดนเดียวกันกับพวกเขานี่ แถมอีนั่วยังอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา ไม่แปลกอันใด”
“สวีลู่ชิง” เทพวายุเรียกนางด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าแยกไม่ออกหรืออย่างไรว่านกปีศาจน้อยของเจ้ามีกลิ่นที่แตกต่างออกไป ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง เจ้าไม่สังเกตบ้างหรือ”
ดวงตาสีม่วงแดงจ้องมองคนตรงหน้าแล้วส่งเสียง จิ๊บ จิ๊บ พลางกระโดดเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของสวีลู่ชิง ใช้ศีรษะถูไถฝ่ามือของนางออดอ้อนขอความเอ็นดู
จังหวะนั้น อีนั่ววิ่งเข้ามาหามารดาที่ใต้ต้นดอกท้อพลางกอดนางเอาไว้แน่นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เป็นอันใดไปหรือ” นางถามไถ่บุตรชาย อุ้งมือข้างขวาพยายามประคองไม่ให้เจ้าถ่านตกลงมา
“เปล่าขอรับ ข้าเพียงอยากกอดท่านแม่” เขาบอกนางด้วยท่าทีสบาย ๆ “ท่านลุง ไม่ต้องห่วงเรื่องเจ้าถ่านหรอกขอรับ ข้ารับปากว่าจะไม่ปล่อยให้มันมาทำอะไรท่านแม่ได้อีกเด็ดขาด”
มารน้อยยิ้มมุมปากเพราะรู้ว่าเวลานี้พลังมารของเขากล้าแกร่งกว่าบิดาหลายเท่า เสียงหัวเราะคิกคักมีเลศนัยทำให้สมุนจอมมารที่ยืนอยู่นอกประตูรั้วแอบยิ้มขบขัน
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
นกน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว คำพูดเหล่านั้นมีเพียงอีนั่วเข้าใจคนเดียวจึงหัวเราะร่าอย่างมีความสุข
“เจ้าถ่านบอกอันใดหรือ ถึงได้ยิ้มจนแก้มแดง” สวีลู่ชิงลูบศีรษะมารน้อยอย่างรักใคร่ รู้สึกผูกพันกับเขาโดยไม่รู้ตัว เวลานี้เชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าเขาคือลูกของนางจริง ๆ
“ความลับขอรับ” เขาเอ่ยปากสีหน้าระรื่นพลางยักคิ้วให้นกน้อยตรงหน้า
“อีนั่ว เจ้าช่างร้ายกาจนัก” กงจื่อเย่ส่งกระแสจิตพูดคุยกับบุตรชาย “แต่เอาเถอะ อย่างไรเจ้าก็เป็นลูกข้าจะร้ายกาจก็คงเหมือนข้ากระมัง”
คืนนั้น
อีนั่วนำเจ้าถ่านไปไว้ในห่อผ้ากองใหญ่ตรงมุมหนึ่งของห้องอันเป็นที่ประจำแม้จะรู้ว่ากลางดึกนกน้อยตัวนั้นมักย่องมานอนข้างมารดาของตนก็ตาม
แม้จะต่อต้านเพราะยังไม่หายโกรธ แต่เมื่อได้อยู่ร่วมกันแบบนี้ก็ทำให้เขานึกถึงวันวานที่สงบสุขจนมองข้ามเรื่องที่บิดาชอบแอบอุ้มมารดาไปนอนอีกห้องหนึ่งเพียงสองคนก็ตาม
ดวงตาสีฟ้ากลมใสมองนกน้อยในกองผ้าแล้วบอกว่า “คืนนี้ข้าอยากนอนกับท่านแม่ ท่านพ่อห้ามพาท่านแม่ไปที่ใด”
“อีนั่ว อีกไม่นานข้าต้องไปแล้ว เจ้าไม่เห็นใจข้าบ้างหรือ ข้าต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมา” กงจื่อเย่เรียกร้องความเห็นใจจากบุตรชาย
เขาได้ข่าวมาว่าภพมารกำลังปั่นป่วน พวกมารปีศาจที่อยู่กันมานานพยายามช่วงชิงอำนาจกันและเวลานี้ไม่รู้ว่าพวกมันดำเนินการไปถึงไหนแล้วบ้าง
ในฐานะผู้ปกครองภพมาร เขาจำเป็นต้องฟื้นพลังที่สูญเสียไปทั้งหมดให้กลับมาโดยเร็ววันเพราะไม่อย่างนั้นแล้ว อีนั่วอาจจะตกอยู่ในอันตรายเพราะถูกพวกมันตามล่าชิงพลังมารของเขา
อีกทั้งยังไม่รู้ว่าพวกเทพเซียนบนสวรรค์จะล่วงรู้หรือไม่ว่าสายเลือดจอมมารยังคงมีชีวิตอยู่
หากผู้ใดบังเอิญรู้เข้าว่าอีนั่วมีพลังร้ายกาจแฝงอยู่ อาจจะทำให้พวกนั้นกลัวจนลอบมาสังหารอีนั่วอย่างที่เคยทำกับเขาก็เป็นได้
ทางเลือกเดียวที่กงจื่อเย่จะทำได้ในเวลานี้คือเร่งทำทุกอย่างให้กลับสู่ภาวะปกติ ถ้าจอมมารทรงพลังอย่างเขายังคงอยู่ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าหือ
“อีนั่ว ขอเวลาข้าอีกสักห้าหกวันได้หรือไม่ ให้ข้าได้อยู่กับนางนาน ๆ ตอนที่ข้าอยู่คนเดียวจะได้ไม่เดียวดายเกินไป” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามบุตรชายขอความเห็นใจ
“...”
แววตาสีม่วงแดงของนกน้อยเศร้าสลดลง คอตกราวกับสิ้นหวังที่บุตรชายไม่อนุญาตให้นอนข้างสวีลู่ชิง
“ก็ได้” อีนั่วเอ่ยกับเขา “ท่านพ่ออยากทำอันใดก็ตามใจเถิด ช่วงนี้ข้านอนคนเดียวก็ได้”
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
นกน้อยส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ สองขาเล็ก ๆ กระโดดเหยง ๆ วนไปวนมาอยู่ตรงนั้น
หลังจากทุกคนเข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว ร่างเงามืดก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นร่างเดิมของจอมมาร เอื้อมมือช้อนตัวสวีลู่ชิงที่หลับใหลออกไปนอนอีกห้องโดยที่นางไม่รู้ตัวเพราะถูกอาคมหลับฝันสะกดเอาไว้
ไม่กี่วันต่อมา เวลาที่ผ่านร่วงโรยไปทำให้กงจื่อเย่นึกเสียดายไม่น้อยเพราะเขาอยากอยู่กับครอบครัวให้นานกว่านี้
ร่างนกน้อยมีท่าทีอาลัยอาวรณ์จนสวีลู่ชิงอดไม่ได้ที่จะลูบปีกสีดำแผ่วเบา
“ข้าอยู่ที่แห่งนี้เสมอ หากเจ้าอยากกลับมาเมื่อใด ข้าก็ยินดี”
จิ๊บ จิ๊บ
“เจ้าถ่านบอกว่าทำธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับมาขอรับ”
อีนั่วบอกนางไปตามตรง แล้วเสริมอีกว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ไม่มีผู้ใดทำอันตรายมันได้หรอก” ก่อนจะพูดต่อในใจว่า ท่านแม่ควรจะห่วงผู้ที่กล้ามีเรื่องกับจอมมารอย่างท่านพ่อมากกว่า
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงนกน้อยดูจริงจังขึ้นมาทันใด สวีลู่ชิงและคนที่เหลือจึงอยากรู้ว่าเจ้าถ่านพูดอะไร
อีนั่วจึงบอกไปว่า “เจ้าถ่านบอกว่าลาก่อนขอรับ หากวันข้างหน้าได้พบกันอีกจะต้องตอบแทนที่ท่านแม่ช่วยเหลือ”
ดวงตาสีม่วงแดงมองบุตรชาย นกน้อยถอนหายเฮือกใหญ่ “ข้าบอกว่าข้ารักนาง เหตุใดจึงพูดผิดเพี้ยนไปเล่าอีนั่ว”
รอยยิ้มหยอกล้อปรากฏบนใบหน้ามารน้อย พวกเขาพ่อลูกมักจะเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ชอบแข่งกับอีกฝ่ายว่าสวีลู่ชิงรักตนเองมากกว่า
จุดเริ่มต้นของเรื่องพวกนี้ก็มาจากกงจื่อเย่ทั้งนั้น เมื่อก่อนทำไปโดยไม่รู้ความ แต่เวลานี้นึกเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสวีลู่ชิงได้เมื่อใดก็มักจะโอ้อวดให้อีนั่วฟังเสมอ อย่างเช่นคำพูดที่มักจะพูดบ่อย ๆ “นางรักเจ้า แต่รักข้ามากกว่า”
ครั้งนี้อีนั่วจึงได้ทีแกล้งบิดาให้หายหงุดหงิดใจเพราะเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าใจคำพูดของเจ้าถ่าน
“บอกนางไปตามตรงไม่ได้หรือ อีนั่ว” น้ำเสียงขอร้องเอ่ยกับคนตรงหน้าก่อนจะจากไปเพราะถึงเวลาแล้ว
หากแต่บุตรชายเข้าใจความรู้สึกบิดาของตนเป็นอย่างดี ถึงจะอยากแกล้งเขาบ้างแต่ก็เห็นใจอยู่หนึ่งส่วนจึงพูดไปว่า “ท่านพ่อกลับมาครั้งหน้าก็บอกรักท่านแม่เองเถิด”
ดวงตาสีม่วงแดงของนกน้อยกระพริบปริบ ๆ “หายโกรธข้าสักหนึ่งส่วนแล้วใช่หรือไม่ ระหว่างนี้ดูแลแม่เจ้าดี ๆ อย่าซุกซน เชื่อฟังพวกเขาด้วย ข้าจะรีบกลับมาหา” กงจื่อเย่ฝากฝังทั้งคู่ไว้กับสมุนจอมมารทั้งสามพลางร่ายพลังมารที่มีอยู่ทั้งหมดปกป้องคนสำคัญของตัวเองโดยไม่รีรอก่อนจะส่งเสียงร้องจิ๊บ จิ๊บแล้วโบยบินสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
ช่วงเวลานั้นเกิดเสียงหวีดร้องและเสียงปะทะพลังของทั้งสองฝ่ายกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณเซียนหนุ่มหันไปมองสหายด้วยสายตากังวล“ไม่เป็นอันใดหรอก เลี่ยงหวง” เซียนสาวบอกศิษย์ร่วมสำนักด้วยท่าทีใจเย็นเพราะมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้มามาก “จำที่อาจารย์สอนเจ้าได้หรือไม่”เลี่ยงหวงพยักหน้าแล้วรวบรวมพลังเซียนวิชาหนึ่งของสำนักตนเอง พลันแสงสีขาวก่อตัวพองโตเป็นลูกกลม ๆ ขึ้นทีละนิด เขาขมวดคิ้วกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”เฉินซือหยางมัวแต่วอกแวกเพื่อกวนประสาทเซียนทั้งสองจึงไม่ทันระวังตัวโดนพลังเซียนขั้นสูงสาดใส่ร่างปีศาจเข้าเต็มเหนี่ยวกระเด็นทะลุบ้านเรือนไปหลายหลังเขายันตัวลุกขึ้นเอียงคอจัดกระดูกที่หักไปหลายท่อนกลับมาดังเดิมแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากพลางปัดฝุ่นดินบนเสื้อผ้า แสยะยิ้มที่ไม่ได้เจอผู้ใดมีฤทธิ์เดชรุนแรงเท่าสองคนข้างหน้ามานานมากแล้ว“เฉินซือหยาง เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขามิใช่เซียนธรรมดา”มังกรดำเอ่ยปากเตือนเพราะไม่อยากให้สหายเพลี่ยงพล้ำจนเสียการงาน
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง