“คะ คุณชายขอรับ” เขาเอ่ยเรียกคนในรถม้าเสียงสั่น
“มีอันใด” น้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นชาเอ่ยถามขึ้น
“คะ คือว่า พวกเราจะ…เจอดีเข้าให้เสียแล้วขอรับ” เขาได้แต่โอดครวญในใจว่าไม่น่าเลย ไม่ตามใจผู้เป็นนายเลยที่เลือกเดินทางตอนกลางคืนเช่นนี้
“เจอดีอันใดของเจ้า” น้ำเสียงเย็นชาเปลี่ยนเป็นรำคาญทันทีก่อนจะเปิดประตูรถม้าออกมาดูบ่าวรับใช้ของตนเอง ก็เห็นจ้องมองออะไรบางอย่างตาค้างอยู่ เมื่อมองตามชายหนุ่มก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่พอเพ่งดูดีดีแล้วนั้น
“นั้นคนนี่ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า เจ้าลงไปดู” เขาสั่งบ่าวของตนเองให้ลงไปดู
“ขะ…ข้าหรือขอรับ” บ่าวผู้นั้นชี้นิ้วเข้าหาตนเองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“แล้วจะให้ข้าลงไปหรืออย่างไร” เขาถามบ่าวรับใช้ของตนเองหน้าตาย
“ขะ…ขอรับ” บ่าวผู้นั้นกระโดดลงจากรถม้าเดินกล้า ๆ กลัว ๆ เข้าไปหาหญิงสาว มู่ตานมองคนที่เดินเข้ามาหาอย่างเย็นชาแม้จะมีความหวาดระแวงอยู่บางแต่ก็ไม่ได้ถอยหนีไปไหน
“เอ่อ เจ้า…เป็นคนใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถามนางอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“…..”
“ฮือ พูดกับข้าหน่อยเถอะ จะได้รู้ว่าต้องอยู่ต่อหรือต้องไป” ชายหนุ่มโอดครวญด้วยความกลัวนิด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องอยู่ตรงนั้นกับหญิงสาว
“เป็นคนแล้วอย่างไร อยู่ก็เหมือนตายไปแล้ว” มู่ตานตอบเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาสวยยังคงเหม่อลอยไร้ชีวิต
“เอ่อ แล้วเจ้าจะไปที่ไหนหรือ คือ…เจ้าขว้างทางรถม้าคุณชายข้าอยู่นะ”
“อืม” มู่ตานตอบเสียงแผ่วก่อนจะขยับเดินไปที่รถม้าของคนผู้นั้น
“เดี๋ยว ๆ นั้นเจ้าจะทำอะไร!!” เขารีบเอ่ยเรียกนางทันทีพร้อมกับวิ่งเข้าไปห้ามเอาไว้ก่อนที่มู่ตานจะเดินไปถึงรถม้า
ปึก!!
“เห้ย!! เจ้าทำอันใด!!” ร่างแบบบางคุกเข่าลงข้างรถม้าอย่างแรงจนแม้แต่บ่าวรับใช้ผู้นั้นยังตกใจ จะเข้าไปพยุงขึ้นก็ไม่กล้า
“คุณชาย ท่านรับข้าเอาไว้ได้หรือไม่ ให้ข้าทำอะไรก็ได้ ขอแค่พาข้าไปด้วยก็พอ”
น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยขอร้องคนในรถม้าอย่างสิ้นหวัง นางไม่เหลือใครแล้วนางอย่างตามท่านปู่ของนางไป แต่คำขอสุดท้ายของเขานางยังจำมันได้จึงมีแต่ต้องอยู่ต่อไปใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างที่ท่านปู่หวังเอาไว้
“ข้าไม่ต้องการภาระเพิ่ม” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นจากในรถม้า
“ข้าทำได้ทุกอย่าง ขอแค่ท่านสั่งมา” มู่ตานเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด
“ทุกอย่างงั้นหรือ ฆ่าเขาให้ข้าสิ” น้ำเสียงคล้ายล้อเล่นแต่ก็แฝงความเด็ดขาดเอ่ยสั่งขึ้น มู่ตานมองบ่าวรับใช้คนนั้นทันทีด้วยสายตาน่ากลัว ภาพของโจรสองคนนั้นปรากฎขึ้นมาในหัวของนางก็ที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วมาก
“คุณชาย ท่านจะล้อเล่นเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ นางมองข้าน่ากลัวยิ่ง อ้ากก!!!”
มู่ตานพุ่งเข้าใส่ร่างบ่าวรับใช้คนนั้นเต็มแรงจนเขาล้มลงแล้ว ร่างบางขึ้นคร่อมกดทับทั้งร่างเขาเอาไว้ สองมือเรียวบีบเต็มแรงเข้าที่คอ
“แค่ก อึก คะ…คุณชาย ช่วย…ด้วย” มือหนาพยายามดึงมือของหญิงสาวออกแต่ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาแรงมาจากไหนถึงได้บีบแน่นและแกะไม่ออกเช่นนี้
“หืม โอ้ว” ใบหน้าหล่อเหลาคมคายชะโงกออกจากรถม้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นบ่าวรับใช้คนสนิทถูกหญิงสาวกำลังบีบคอเอาไว้อย่างแรง
“คะ…คุณชาย ช่วยข้าด้วย” เสียงแหบแห้งพยายามร้องให้ผู้เป็นนายช่วย แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มดูจะพอใจกับเหตุการณ์ตรงมากเป็นอย่างมาก
“ใช้ได้เลยนี้ พอแล้ว” เมื่อสิ้นเสียงคำสั่ง มู่ตานยอมปล่อยมือออกจากคนของบ่าวผู้นั้นแล้วลุกออกจากตัวเขา ใบหน้างดงามที่เปื้อนด้วยเลือดเงยขึ้นสบตากับชายหนุ่ม ราวกับว่าเวลาถูกหยุดเอาไว้ตรงนั้น สายตาสองคู่ที่สอดประสานกันมีบางอย่างที่ถูกเชื่อมกันเอาไว้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
“ขึ้นมา” เขาบอกนางเสียงเรียบก่อนจะถอยกลับเข้าไปในรถม้า มู่ตานจึงปีนขึ้นรถม้าไปแต่ไม่ได้เข้าไปนั่งในรถม้าแต่อย่างไร
“แค่ก แค่ก เอ่อ…คุณชาย” ปาเฉิน บ่าวรับใช้เอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงแหบอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แล้วอะไรคือการที่สั่งให้นางฆ่าเขาอย่างไม่ไยดีกันเลยเล่า
“ขึ้นมาได้แล้ว จะไปหรือไม่”
“โถ่คุณชาย ท่านเพิ่งจะสั่งให้นางฆ่าบ่าวนะขอรับ ใจร้ายเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตัดพ้อเสียงอ่อยแต่ก็ต้องยอมเดินขึ้นรถม้ามานั่งข้างหญิงสาวอย่างหวาดระแวง
“เจ้าเป็นบุรุษกลัวอะไรกับสตรีตัวเท่านั้น” น้ำเสียงกั้วหัวเราะเอ่ยขึ้นจากในรถม้าเมื่อเห็นอาการระแวงของบ่าวรับใช้ตนเอง
“ท่านก็พูดได้นี้ ไม่ใช่คนที่โดนนางกระโดดเข้าใส่” ปาเฉินบ่นพึมพำในลำคอ มือข้างหนึ่งจับคอตนเองเอาไว้อย่างหวาดระแวง อีกข้างบังคับม้าให้วิ่งไป
“ขออภัยเจ้าค่ะ” มู่ตานเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว เมื่อเห็นคอของชายหนุ่มขึ้นรอยแดงอย่างน่ากลัว
“ช่างเถอะ เจ้าทำเพราะต้องการความอยู่รอดของตนเอง ถ้าจะโทษก็เป็นข้าเองที่สู่แรงเจ้าไม่ได้” ปาเฉินบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เขาสั่งมา” เหมือนจะหาคนโยนความผิด มู่ตานบอกว่าทำตามที่คนในรถม้าสั่ง
“เหอะ!” ปาเฉินส่งเสียงไม่พอใจออกมาทันทีเมื่อหญิงสาวพูดจบ รู้สึกเคืองผู้เป็นนายอยู่เล็กน้อย อยู่กันมาตั้งนานสั่งให้คนอื่นฆ่ากันได้ลงคอถึงจะเป็นการทดสอบก็เถอะ
“หึหึ เจ้าอ่อนแอเองจะโทษข้าได้อย่างไร” เสียงในรถม้าเอ่ยขึ้นไม่ยอมรับความผิดที่ตนก่อขึ้นแต่กลับโยนมันไปให้กับบ่าวรับใช้คนสนิทของตนเองแทน ที่ไม่สามารถเอาตัวรอดจากหญิงสาวได้
การเดินทางท่ามกลางหิมะในตอนกลางคืนช่างหนาวเหน็บและทรมานเหลือเกิน ปาเฉินเหลือบมองคนด้านข้างเป็นระยะ ด้วยเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้หนาแต่อย่างไรทั้งยังเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ผมเผ้ายุ่งเหยิง นั่งกอดเข่าร้องไห้เงียบ ๆ มาตลอดทาง
ก่อนแสงแรกของยามเช้ามาเยือนพวกเขาก็ถึงเมืองที่ต้องการจะมา รถม้าวิ่งเข้าไปในเมืองอย่างเชื่องช้าเพราะหิมะที่หนาขึ้น พวกคนภายในเมืองนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากเมืองที่มู่ตานจากมาเลย มีผู้คนหิวโหย หนาวตายเป็นจำนวนมาก โดยที่การช่วยเหลือจากทางการยังมาไม่ถึง
“ถึงแล้วขอรับคุณชาย” รถม้าจอดลงที่หน้าประตูจวนหลังใหญ่แห่งหนึ่ง คนเฝ้าประตูที่เห็นว่าเป็นใครรีบเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนทันที
“คุณชาย” พวกเขาทำความเคารพชายหนุ่มที่เดินนำเข้าไปอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะมองหญิงสาวที่เดินตามเข้ามาด้วยอย่างรู้สึกไม่ดีนัก
“พานางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยให้มาพบข้าที่ห้องโถง” เสียงทุ้มบอกสาวใช้ในเรือนก่อนจะเดินจากไปพร้อมบ่าวรับใช้คนสนิท
“เชิญทาง” สาวใช้คนนั้นพามู่ตานไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่ผู้เป็นนายสั่ง ในขณะที่ชายหนุ่มเองก็กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน
“คุณชายคิดยังไงถึงยอมในนางมาด้วยขอรับ” ปาเฉินเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยความสงสัย
“คนที่จนตรอกสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองอยู่รอด คนแบบนี้หากยื่นมือเข้าช่วยเขาจะจดจำเป็นบุญคุณไปทั้งชีวิต ไม่ทรยศหักหลัง ใช้งานได้ทุกอย่าง” เขากล่าวอย่างสบายใจเพราะทุกอย่างถูกคิดมาดีแล้ว
“แต่คุณชายเล่นให้นางฆ่าข้าเช่นนั้น ถ้าในมือนางตอนนั้นมีอาวุธอยู่ข้าไม่ตายจริงหรือขอรับ” ปาเฉินทำหน้างอนผู้เป็นนาย
“หึ อย่าทำเหมือนข้าไม่รู้จักเจ้าสิ อย่างเจ้าน่ะหรือจะยอมตายง่าย ๆ พูดอะไรก็นึกถึงฐานะผู้คุ้มกันลับของข้าหน่อยเถอะ จ้าวปาเฉิน” ชายหนุ่มเอ่ยเย้าบ่าวคนสนิทเล่น
“โถ่คุณชาย”
“ไปกันเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นแล้วว่านางจะถูกลอกคราบออกมาเป็นคุณหนูผู้งดงามหรือนางมารที่ล่อลวง หึ” ขนาดอยู่ใสชุดที่สกปรกเช่นนั้นเขายังมองเห็นความงดงามของนางได้ หากถูกทำให้สะอาดขึ้นจะเป็นเช่นไรกันนะ
โถงจวนขนาดใหญ่บัดนี้มีร่างแบบบางในชุดสีฟ้าอ่อนของสาวใช้ เส้นผมถูกเก็บรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยมีหวีไม้แกะสลักอันหนึ่งปักเอาไว้ดูสะอาดตายิ่ง ใบหน้างดงามไร้การแต่งแต้ม แต่กลับสามารถทำให้ผู้ที่พบเห็นหลงใหลได้ไม่ยาก
เหวินฟงหนาน เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เห็นคนยืนหันหลังให้ก็ไม่ได้ทักท้วงอันใด เพียงแค่เดินผ่านไปเท่านั้นแต่เมื่อหันกลับมาเห็นก็ให้ตกตะลึงในความงามที่แม้แต่ดอกไม้ยังต้องเอียงอายทั้งที่ยังไม่ได้แต่งแต้มอันใดเลย
“งะ…งดงามยิ่ง” ปาเฉินถึงกับเผลอละเมอพูดออกมาเมื่อได้มองหญิงสาวเต็ม ๆ ตาในตอนนี้
“แฮ่ม แล้วเหตุใดจึงใส่ชุดนี้” เหวินฟงหนานเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดหญิงสาวถึงอยู่ในชุดสาวใช้ พร้อมกับมองไปยังคนที่ตนให้พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณชาย ข้าน้อยคิดว่านางเป็นสาวใช้ที่คุณชายรับมาจึงให้ใส่ชุดสาวใช้ในจวนเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นรีบคุกเข่าขอโทษผู้เป็นนายทันที
“ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก็ได้ เจ้าให้คนไปซื้อชุดมาไว้ให้นาง ต่อจากนี้นางจะเป็นผู้ช่วยข้าอีกคน”
“ห๊ะ” ปาเฉินมองหน้าผู้เป็นนายเป็นเชิงถามว่าเอาจริงหรือ
“เจ้าชื่ออะไร อ่านหนังสือออกหรือไม่” ชายหนุ่มถามขึ้นพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“โถ่คุณชาย หญิงสาวชาวบ้านอ่านหนังสือได้ที่ไหนกันขอรับ” ปาเฉินส่ายหน้าให้กับคำถามของผู้เป็นนาย แต่เหวินฟงหนานไม่คิดเช่นนั้น แววตาท่าทางของนางไม่เหมือนหญิงสาวชาวบ้าน ความรู้สึกเขาบอกว่าสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
“ข้าชื่อ มู่ตาน แซ่ อวิ๋น เจ้าค่ะ อ่านและเขียนหนังสือได้” เสียงนุ่มเย็นชาเอ่ยขึ้น ดวงตาสวยมองสบชายหนุ่มอย่างไม่เกรงกลัวเลยสักนิด
“ดี ข้าจะให้เจ้ามาช่วยงานข้า ทำบัญชีเป็นหรือไม่”
“ไม่เป็นเจ้าค่ะ” มู่ตานตอบตามความจริง นางไม่เคยทำบัญชี
“ข้ามีเวลาให้เจ้าสองวัน เรียนรู้การทำบัญชีเสีย หากทำไม่ได้ก็ออกไปจากที่นี่ได้เลย เพราะข้าไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์” เหวินฟงหนานเอ่ยอย่างเย็นชา
“เจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่เอ่ยรับช่างเย็นชาไม่เข้ากับหน้าตาเอาเสียเลยในความคิดของชายหนุ่ม
อายุครรภ์ของมู่ตานตอนนี้ห้าเดือนแล้ว ท้องของนางใหญ่มากเวลาลุกนั่งหรือเดินต้องมีคนคอยประคองอยู่ตลอด ท่านหมอแจ้งว่าในท้องของนางอาจมีถึงสามชีวิตที่อยู่ในนั้น สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เหวินฟงหนานดีใจเลยสักเมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านหมอก็บอกแล้วหากดูแลตัวเองให้ดีข้ากับจะต้องปลอดภัยแน่นอนท่านอย่ากังวลนักเลย”มู่ตานพยายามเอ่ยปลอบผู้เป็นสามีที่ตอนนี้เอาแต่ตามติดนางไม่ห่างเลย“อืม ข้าเชื่อว่าเจ้ากับลูกจะต้องปลอดภัยแน่” แม้ปากจะบอกเช่นนั้นแต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว มือหนาลูบท้องของฮูหยินตนเองเบา ๆ ราวกับต้องการจะสื่อสารกับเจ้าตัวเล็กในท้องจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามู่ตานไม่ได้มีอาการใดที่น่าเป็นห่วงเลยสักนิดจนกระทั่งวันนี้ นางรู้สึกเจ็บหน่วงตั้งแต่เช้าจึงรีบให้คนไปตามท่านหมอมาดูอาการ เมื่อตรวจดูแล้วกลับพบว่านางกำลังจะคลอดแล้วซึ่งนั้นก็ไม่แปลกอะไรสำหรับท้องแฝดที่จะคลอดก่อนกำหนดด้วยระยะอายุครรภ์กว่าแปดเดือนถือว่าผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายมาได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการคลอดบุตรแต่ละครั้งก็ถือว่าอันตรายมากอยู่ดีเหวินกงอวิ๋นเชิญ
“ตำแหน่งของนางงั้นหรือ ข้าให้ท่านพูดอีกครั้ง ตำแหน่งของใครนะ” ดวงตาแข็งกร้าวของฟางมู่ตานจ้องมองคนมองอย่างน่ากลัว“ขะ…ของเจ้า” จางหวั่นเมี่ยวม่คิดเลยว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะมีแรงกดดันมากถึงเพียงนี้“เจ้าค่ะ ของข้า” ฟางมู่ตานกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสามคนอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่อยากระบายมานาน“เรื่องนี้พวกท่านโทษข้าไม่ได้นะเจ้าคะ นิสัยของคนเราส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับคนที่เลี้ยงดูมา มารดาเป็นเช่นไร บุตรก็ไม่ต่างกัน พวกท่านตามใจนาง อยากได้อะไรก็เพียงชี้นิ้วสั่ง อยากทุบตีใครก็มีบิดาช่วยปิดเรื่องให้ การที่ข้าถูกนำไปทิ้งนั้นถือเป็นโชคดีของข้ามากทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านว่าหรือไม่”มู่ตานมองสบตากับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด แต่กลับเป็นฟางหมิงชิงเสียเองที่ต้องหลบตานาง“หากวันนั้นท่านไม่ติดนิสัยชอบสั่งให้คนอื่นทำงานให้ ข้าก็คงไม่รอด เรื่องนี้คงต้องขอบคุณท่านแล้ว ต่อจากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนตระกูลฟางอีกแล้ว ข้าแต่งเข้าตระกูลเหวินแล้ว จะเป็นหรือตาย ก็เป็นคนตระกูลนี้ อย่าคิดจะด่าข้าว่าอกตัญญูเพราะฟางมู่ตานตายไปตั้งแต่ที่ท่านให้คนเอานางไปฆ่าทิ้งแล้ว”มู่ตานชี้หน้าฟางหมิงชิงทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปาก วัน
อาภรณ์สีแดงสดถูกปลดออกทีละชิ้นอย่างเบามือจนเผยให้เห็นร่างบางขาวเนียนผ่องของหญิงสาว เหวินฟงหนานถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อสัดส่วนที่สมบรูณ์แบบปรากฏอยู่ตรงหน้าฟางมู่ตานหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยิ่งเห็นสายตาของเหวินฟงหนานที่มองมา นางยิ่งทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจก้าวลงอ่างน้ำไปเพื่อให้มันช่วยอำพรางร่างกายของนาง แต่นั้นกลับเป็นความคิดที่ผิดยิ่ง เหวินฟงหนานยกยิ้มมุมปากก่อนจะสลัดเสื้อผ้าออกจากตัวอย่างรวดเร็วระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักของคนที่พึ่งลงอ่างน้ำมาทำเอาฟางมู่ตานนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อถูกฝ่ามือร้อนแตะเข้าเบา ๆ ที่ไหล่เนียนมือหนาวักน้ำขึ้นพร้อมกับลูบไล้เบา ๆ ตั้งแต่ไหล่ขาวลงไปที่ต้นแขนเล็ก ริมฝีปากร้อนกดจูบลงที่ไหล่นวลอย่างแผ่วเบาทำเอาหญิงสาวถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อถูกสัมผัส เขาปัดผมยาวของหญิงสาวออกแล้วกดจูบลงอีกครั้งที่หลังคอระหงจนมู่ตานเผลอปล่อยเสียงที่น่าอายออกมาเหวินฟงหนานก็ยกยิ้มอย่างพอใจทันที“ไม่ต้องกลัว ข้าจะถนอมเจ้าอย่างถึงที่สุดเด็กดี” เสียงกระซิบข้างหูแผ่วเบาทั้งมือที่ลูบไล้ไปตามร่างกายยิ่งทำให้ฟางมู่ตานสะท้านร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน นา
ชายหนุ่มลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวในทันทีด้วยใบหน้าอิ่มความสุขจนทุกคนสัมผัสได้ เขามองหญิงสาวไม่วางตาก่อนจะรับมือนางมาจากชิงหมิงแล้วส่งขึ้นรถม้าด้วยตนเองอย่างใส่ใจเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วขบวนรับตัวเจ้าสาวก็ออกเดินทางจากจวนแห่งนี้เคลื่อนไปยังจวนตระกูลเหวินที่ไม่อยู่ไกลกันนัก ขบวนเจ้าสาวยาวเหยียดสุดสายตาทั้งสินเดิมของมารดาทที่ได้กลับมาแม้ไปทั้งหมดก็ตาม สินเดิมพระราชทาน และเดิมที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเติมเข้ามาให้ ทำเอาคนที่เห็นถึงกับอิจฉาตาร้อนโดยเฉพาะคนที่แอบหนีมาอย่างฟางถิงอิงมองทุกอย่างตรงหน้าอย่างคับแค้นใจยิ่งพิธีมากมายที่ต้องทำแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะยังยิ้มได้ด้วยใบหน้าอิ่มเอม ฟางหมิงชิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจนักเพราะก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลายกน้ำชาเขายังนั่งนิ่งไม่ยอมรับน้ำชาจากบ่าวสาวจนเหวินฟงหนานเงยหน้าขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มว่าเขาเป็นอันใด แต่สายตาที่ฟางหมิงชิงได้สบนั้นกลับเยือกเย็นจนสามารถแช่แข็งเขาได้เลยมืออันสั่นเทายื่นออกไปรับน้ำชาจากบ่าวสาวช้า ๆ มันสั่นจนน้ำชาหกออกจากถ้วยเล็กน้อยแต่ก็ต้
ฟางถิงอิงยืนนิ่งไม่กล้าขยับไปไหนมือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นมันมีทั้งความรู้สึกอับอาย ทั้งโมโห ที่แค้นเคืองตีกันวุ่นไปหมดในหัวของนาง ดวงตากลมโตเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะมีน้ำใสไหลอาบลงมาอย่างไม่อาจห้าม“อิงเอ๋อร์!! เกิดอะไรขึ้น!!” จางหวั่นเมี่ยวที่เห็นว่าบุตรสาวออกจากจวนมานานแล้วยังไม่กลับเสียที่จึงออกมาตาม เห็นผู้คนมุงอยู่ตรงนี้หลายคนจึงเดินเข้ามาดูด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นบุตรสาวยืนอยู่กลางวงล้อมของผู้คนในสภาพน้ำตานองหน้า ทั้งยังตื่นตระหนกมากด้วย“พวกเจ้าทำอะไรนาง!! ฟางมู่ตานเจ้าทำอะไรลูกข้า!!” จางหวั่นเมี่ยวตวาดลั่นพร้อมกับรั้งบุตรสาวมาไว้ด้านหลังอย่างปกป้อง“แม่รองถามผิดหรือไม่ ท่านไม่ลองถามบุตรสาวสุดที่รักของท่านดูก่อนเล่า ว่ามาหาเรื่องข้าด้วยเหตุใด มาพูดจาให้ร้ายข้า ฮึก ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวที่เลวร้าย ทั้งที่ข้าต้องการลืมมันไป ฮึก ข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ ฮึก ฮือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็มาจากท่านไม่ใช่หรือ ที่เอาข้าไปทิ้งไว้เช่นนั้น ฮืออ!!”นอกจากจะเรียกจางหวั่นเมี่ยวว่าแม่รองแล้ว มู่ตานยังทำในสิ่งที่พวกเขาต้องตกตะลึงตาค้างยิ่งกว่า จะมีอะไรเรียกความเห็นใจจากทุ
เมื่อกลับมาถึงจวนสิ่งที่ฟางมู่ตานเห็นเป็นอย่างแรกเลยนั้นคือความวุ่นวายของบ่าวไพร่ที่กำลังขนย้ายต้นกล้วยไม้ขึ้นรถม้า“จะย้ายมันไปที่ไหนกันหรือ” มู่ตานเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านนางไป“คุณชายให้คนย้ายไปที่จวนใหญ่ที่เมืองหลวงขอรับ” เมื่อได้คำตอบแล้วมู่ตานก็ถามหาคนสั่งการต่อก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มตามที่บ่าวรับใช้บอกมาร่างสูงสง่าของเหวินฟงหนานกำลังนั่งอ่านสมุดบัญชีของเดือนนี้อย่างตั้งใจ แต่พอรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในห้องเขาก็เงยหน้าขึ้นมาดูทันที“ข้าได้ยินว่าท่านสั่งให้บ่าวรับใช้ขนต้นกล้วยไม้ไปที่เมืองหลวง จะทำอะไรหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งในห้อง“เจ้าลืมงานแต่งของเราหรือ” เหวินฟงหนานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองหญิงสาวไปด้วย“ไม่ลืมเจ้าค่ะ ท่านจะให้มันในงานหรือเจ้าคะ”“ใช่ กล้วยไม้นั้นถือว่าหาได้ยากยิ่งน้อยคนนักที่จะสามารถเลี้ยงมันได้เช่นนี้ อีกอย่างเจ้าก็ชอบมันมากไม่ใช่หรือ ข้าจึงให้คนใช้มันร่วมกับดอกโบตั๋นประดับในงาน”“ท่านช่างใส่ใจยิ่งนัก” ฟางมู่ตานเอ่ยยิ้ม ๆ แต่หากฟังให้ดีมันแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันอยู่เล็กน้อยไม่จริงจังนักนางรู้ดีว่าเจตนาของชายหนุ
“เจ้าจะนอนเช่นนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ พวกข้าไม่ได้มีเวลามาเลี้ยงดูคนที่ไม่มีประโยชน์หรอกนะ หากยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ข้าคงต้องปล่อยให้เจ้าสองคนแม่ลูกเผชิญชะตากรรมกันเองแล้ว”น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยกับคนเจ็บ แต่มือกลับยังคอยป้อนยาให้คนที่หลับอยู่อย่างใจเย็น ข้างกายมีร่างเล็กของหลี่เมิงนั่งมองหน้าคนพูดอยู่อย่างไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตมองมารดาสลับกับหญิงสาวก็จะกะพริบตาปริบ ๆ แล้วหันไปมองเหวินฟงหนานตาใสแป๋วราวกับมีคำถามจนชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมาไม่ได้“มานี้สิ” เหวินฟงหนานกวักมือเรียกเด็กหญิงตัวน้อยให้เข้าไปหา ร่างเล็กก็ไม่รอช้าลุกเดินไปหาคนเรียกทันนี้ มือหนาจัดการอุ้มเด็กน้อยขึ้นนั่งบนตักก่อนจะกระซิบบอกนาง“สิ่งนี้เรียกว่าใช้ความโหดร้ายมากระตุ้นให้คนสู้ต่ออย่างไร นางหลับอยู่เช่นนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง หากบอกเล่าความโหดร้ายที่เจ้าต้องเจอหลังจากที่นางจากไปให้ฟังทุกวันเช่นนี้ บางที่มารดาของเจ้าอาจกำลังต่อสู้เพื่อกลับมาอยู่ก็ได้”“จริงหรือเจ้าคะ” หลี่เมิงถามเสียงแผ่ว ดวงตากลมสุกสกาวมองคนพูดเป็นประกาย เหวินฟงหนานจึงพยักหน้าให้นางพร้อมกับส่งยิ้มให้ร่างเล็กไถลลงจากตักของเหวินฟงหนานก
ร่างสูงนั่งนิ่งไม่ไหวติงเพราะบนตักมีร่างเล็กของหลี่เมิงอยู่ ตั้งแต่ที่คุณชายพาตัวว่าที่นายหญิงไป แล้วเขาต้องเข้ามาดูแลสองแม่ลูกนี้แทนนี้ก็ผ่านไปเกือบครึ่งวันแล้วหลี่เมิงตื่นขึ้นมาเห็นเพียงปาเฉินนั่งอยู่ก็ไม่ได้ร้องไห้แต่อย่างไร สิ่งแรกที่นางทำคือมองดูมารดาว่ายังอยู่กับนางหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามารดายังอยู่ถึงแม้จะยังไม่ตื่นขึ้นมา นางก็ยิ้มออกมาได้แล้วก่อนจะปีนลงจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำเพื่อเช็ดตัวให้มารดา“เหตุใดไม่เรียก” ปาเฉินรีบเข้าไปรับเอาอ่างมาถือไว้เองก่อนจะนำไปวางที่ข้างเตียงคนเจ็บให้เด็กน้อย“ข้าทำได้เจ้าค่ะ” เสียงเล็กน่าฟังเอ่ยตอบก่อนจะปีนกลับขึ้นไปบนเตียง ปาเฉินจึงช่วยเอาผ้าชุบน้ำและบิดผ้าหมาด ๆ ก่อนจะส่งให้ร่างเล็กนั้นมือน้อย ๆ เช็ดผ้าไปตามใบหน้าซีดเชียวของมารดาอย่างเบามือ ก่อนเช็ดมือกับแขนให้ด้วย ปาเฉินจึงออกไปตามหมอมาทำแผลให้ ถึงจะบอกว่าไม่มีทางรอดแล้วแต่ตนยังไม่ตายจากไปอย่างไรก็ยังมีหวัง หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็พาเจ้าตัวน้อยไปกินข้าวก่อนจะกลับขึ้นมานั่งเฝ้ามารดานางกันจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้“พี่ชายเล่าเจ้าค่ะ” หลี่เมิงถามหามู่ตานที่หายไป
ตระกูลมู่ในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดร้องโวยวายของทั้งเหล่าเจ้านายและบ่าวไพร่ มู่หลานฟง มู่หวายเอินและมู่หวาเถียนรวมทั้งบ่าวไพร่ทั้งหมดถูกจับให้คุกเข่าอยู่ตรงลานกว้างในจวนโดยมีร่างสูงใหญ่ของเหวินจินไห๋ยืนมองดูอยู่เงียบ ๆ“ครบแล้วขอรับใต้เท้า” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งเข้ามารายงาน ก่อนที่เหวินจินไห๋จะเดินออกไปตรงหน้าคนเหล่านั้น“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำกับพวกข้าเช่นนี้ เป็นขุนนางแล้วคิดว่าจะรังแกกันเช่นไรก็ได้หรือ”มู่หลานฟงกล่าวอย่างเดือดดาลที่ตนถูกปฏิบัติเช่นนี้ ทั้งยังมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่อย่างเคียดแค้นชิงชัง“มีสิทธิ์หรือไม่เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้รู้ เห็นว่ากำลังเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวงใช่หรือไม่ พอดีเลย เดี๋ยวข้าเป็นคนพาไปเองก็แล้วกัน แต่จะไปอย่างไร สภาพไหนนั้นก็อีกเรื่อง อ่อ มีสิ่งนี้ให้เจ้าลงนามด้วย”เหวินจินไห๋รับเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาจากคนของตนก่อนจะเดินเข้าไปให้คนจับมือมู่หลานฟงประทับรอยนิ้วมือลงไปเป็นอันเสร็จสิ้น“เจ้าทำอันใด” มู่หลานฟงมองกระดาษแผ่นนั้นอย่างตื่นตระหนก เขาไม่รู้เลยว่ามันเขียนว่าอันใดแต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่และก็เป็นอย่าง