“ชิงหมิง” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนผู้หนึ่งเข้ามาในโถง ชายรูปร่างสูงโปร่งจะหญิงก็ไม่ใช่จะชายก็ไม่เชิงในชุดอาภรณ์สีเขียวอ่อนเดินเข้ามาในมือถือพัดลวดลายงดงามพร้อมบทกวีของอาจารย์เลื่องชื่อเอาไว้
“คุณชาย” น้ำเสียงหวานใสไม่แพ้สตรีเอ่ยทำความเคารพผู้เป็นนายทันทีเมื่อก้าวเข้ามา
“อืม ฝากนางด้วย ภายในสองวันนี้นางต้องเรียนรู้บัญชีการค้าทั้งหมดและต้องทำงานได้”
“ขอรับ แต่ข้าไม่รับปากว่านางจะทำได้ เวลาสองวันนั้นน้อยเกินไป” ชิงหมิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้
“หากไม่สามารถทำได้ก็ให้นางไปใช้แรงงานแทน” คำพูดที่ไร้ความปรานีเช่นนี้ทุกคนล้วนชินชาเสียแล้วทุกสายตาจึงแอบเหลือบมองไปที่หญิงสาวผู้มาให้เพื่อดูปฏิกิริยาของนาง แต่ก็ต้องแปลกใจกับความนิ่งเฉยไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดนั้นของคนสั่งการเลยสักนิด
“เจ้าตามข้ามา” ชิงหมิงบอกหญิงสาวก่อนจะเดินนำออกจากห้องโถงไป
“คุณชายขอรับ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เดินทางมาตลอดทั้งคืนข้าอยากพักสักหน่อย” เหวินฟงหนานลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปทันที เขาเหนื่อยจากการเดินทางร่างกายอยากพักเต็มทีแล้ว
“เฮ้อ! จะไหวหรือ ขนาดชิงหมิงที่ว่าเก่งกาจยังใช้เวลานับเดือนกว่าเรียนรู้บัญชีการค้าทั้งหมดได้ นี่แค่สองวัน คุณชายจะฆ่าคนหรืออย่างไร” ปาเฉินได้แต่บ่นพึมพำกับตนเอง
ชิงหมิงพามู่ตานมายังเรือนที่ใช้ทำงาน ในนี้มีบัญชีมากมายของการค้าที่อยู่ในมือเหวินฟงหนาน หรือคุณชายรองตระกูลเหวิน ที่สนด้านการค้ามากกว่าการเป็นขุนนาง และเขาก็ประสบความสำเร็จในด้านนี้เป็นอย่างมาก มีร้านค้าในมือกว่าร้อยแห่ง มีที่ดินในครอบครองมากกว่าห้าพันหมู่รอบเมืองหลวงและเมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างแคว้น
“หากให้เจ้าอ่านทั้งหมดนี้คงเป็นไปไม่ได้ เจ้าอ่านของชั้นนี้ก่อน เป็นบัญชีของเมื่อสองปีก่อนจนถึงตอนนี้ หากไม่เข้าใจให้มาถามข้า” ชิงหมิงถือว่าตนเองได้ช่วยหญิงสาวแล้ว ถึงแม้มันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ก็ยังดีกว่าให้อ่านทั้งหมดตั้งแต่ที่เริ่มทำการค้าละนะ
“เจ้าค่ะ” มู่ตานเริ่มอ่านเล่มแรกของเมื่อสองปีก่อนแล้วค่อยไล่มาเรื่อย ๆ ชิงหมิงยืนดูการอ่านของหญิงสาวแล้วได้แต่ส่ายหน้า เขาเห็นนางเพียงเปิดผ่านไปเท่านั้น ไม่ได้ทำความเข้าใจเลยสักนิด เขาจึงคิดว่าหญิงสาวคงไม่ได้อยากทำงานแต่แรกแต่คงอยากใช้ความงดงามที่มีตนเองมากกว่า เมื่อคิดแบบนั้นเขาก็ไม่สนใจนางอีกต่อไป เดินไปนั่งทำงานของตนเองแล้วไม่ได้สนใจหญิงสาวอีก จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงพลบค่ำ มู่ตานจึงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ชิงหมิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าเฉยชายิ่ง
“ข้าอ่านจบแล้วเจ้าค่ะ” ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ชั้นเก็บบัญชีหยิบออกมาเล่มหนึ่งแล้วถามมู่ตาน
“กำไรของเดือนสามปีที่แล้ว”
“กำไรของเดือนสาวปีที่แล้ว สามหมื่นตำลึงทองกับอีกสองร้อยอีแปะ มาจากการค้าผ้าไหมที่นำมาจากแคว้นเป่ยเป็นหลัก มีจากสินค้าตัวอื่นบ้างแต่ไม่มาก เครื่องหอมได้กำไรน้อยที่สุด เพราะเป็นที่นิยมเฉพาะสตรีและยังต้องเป็นคุณหนูที่พอจะมีเงินซื้อถึงจะใช้เจ้าค่ะ ส่วนสินค้าเกษตรขาดทุนไปบางส่วนเพราะภัยแล้ง…”
เสียงนุ่มใสกล่าวอย่างไหลลื่นจนชิงหมิงเปิดอ่านตามแทบไม่ทัน ทั้งตัวเลขทั้งชื่อสินค้าไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว ทำเอาร่างสูงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นจนหญิงสาวเอ่ยจบ
“นะ…นี่ เป็นไปไม่ได้ นี่เจ้าอ่านเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
“…..”
ไม่มีเสียงตอบจากหญิงสาวแต่เพียงเท่านี้ก็เป็นคำตอบได้แล้ว เทพเซียนดลบันดาลหรืออย่างไร คุณชายไปเก็บตัวอะไรกลับมาเนี่ย ชิงหมิงได้แต่มองหญิงสาวตาปริบ ๆ ก่อนจะเดินเร็ว ๆ ออกจากห้องไป ปล่อยให้มู่ตานยืนงงอยู่คนเดียวตรงนั้น ก่อนจะตามชิงหมิงออกไป
ประตูห้องนอนของเหวินฟงหนานถูกเปิดออกอย่างเสียมารยาทโดยฝีมือของชิงหมิง สองนายบ่าวมองคนมาใหม่อย่างไม่เข้าใจโดยเฉพาะเจ้าของห้องที่ควบตำแหน่งเจ้านายด้วย
“มีอะไร ทำไมไม่เคาะเรียกก่อน” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจกับความไร้มารยาทของคนมาใหม่
“ท่านบอกข้ามา ท่านไปเก็บนางมาจากที่ใด!!” ชิงหมิงถามผู้เป็นนายหน้าตาตื่น ไม่สนด้วยซ้ำว่าตนเองอาจถูกลงโทษที่ทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าชายหนุ่ม
“เกิดอะไรขึ้นชิงหมิง เจ้าใจเย็นก่อน” ปาเฉินรีบเข้ามาห้ามแล้วถามเรื่องที่เกิด
“เจ้ารู้หรือไม่ นางสามารถอ่านบัญชีทั้งหมดนั้นได้เพียงชั่วข้ามคืนแน่ ข้าให้นางดูบัญชีย้อนหลังไปสองปีจนถึงบัญชีล่าสุด นางใช้เวลาจากเช้าถึงเย็นก็อ่านได้จนหมด แค่นั้นยังไม่พอ นางยังสามารถจดจำรายละเอียดทุกอย่างได้ไม่ผิดไปแม้แต่ตัวเดียว ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขหรือรายชื่อสินค้าที่บันทึกไว้ ไม่ผิดเลย” ชิงหมิงแทบไม่หายใจด้วยซ้ำตอนพูดทำเอาถึงกับหอบกันเลยทีเดียว
“ได้อย่างไร” ปาเฉินไม่เชื่อในสิ่งที่ชิงหมิงพูดสักนิดใครมันจะเก่งกาจถึงเพียงนั้นได้ ทั้งชีวิตนี้เขายังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ
“นางอ่านเพียงครั้งเดียวเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ของเหวินฟงหนานเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่อ่านด้วยซ้ำ เรียกว่ากวาดตามองน่าจะใช่มากกว่า” ชิงหมิงบอก เพราะการกระทำเช่นนั้นของนางนั่นแหละที่ทำให้เขามองข้ามไปในตอนแรกคิดว่านางไม่ได้จริงจังกับการเรียนรู้งาน แต่ถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ เพียงแค่ปรายตามองนางก็สามารถจดจำทุกอย่างได้แล้ว
“ให้คนไปตามนางมา” ปาเฉินเตรียมจะออกจากห้องแต่ก็เจอกับคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเข้าเสียก่อน
“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องอย่างสงบไม่มีท่าทีตื่นตระหนกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองแต่อย่างไร นั้นหมายความว่านางรู้จักความสามารถของตนเอง สิ่งนี้ทำให้เหวินฟงหนานหรี่ตามองนางอย่างไม่ไว้ใจทันที
“อธิบายมา” น้ำเสียงเย็นชานั้นทำเอามู่ตานใจคอไม่ดีเลยแต่เมื่อตั้งใจจะเปิดเผยความสามารถนี้ให้เขาได้รู้อยู่แล้วจึงบอกกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“ข้ารู้ว่าตนเองสามารถจดจำทุกอย่างได้เพียงการมองหรือได้ยินในครั้งเดียวเจ้าค่ะ”
“…..”
ชิงหมิงกับปาเฉินมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เชื่อหูตนเองกับสิ่งที่ได้ยิน
“ข้ารู้ว่าเจ้าปิดบัง มีเรื่องอะไรอีก ข้าต้องการรู้ทั้งหมด” เหวินฟงหนานมองหน้าหญิงสาวนิ่งราวกับต้องการค้นหาสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ในตัวของนาง
“ข้าไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึงเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอื้อนเอ่ยอย่างเย็นชา
“แต่ข้าต้องการรู้ จะอยู่กับข้า ห้ามมีเรื่องปิดบัง” เหวินฟงหนานก็ไม่ยอมเช่นกัน สองคนจ้องตากันนิ่งอย่างวัดใจไม่มีใครยอมถอยให้ใคร ชิงหมิงเห็นเรื่องท่าทางน่าสนใจจึงเขยิบตัวไปนั่งที่เก้าอี้เงียบ ๆ โดยข้างกันมีปาเฉินยืนนิ่งรอดูเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น…” มู่ตานหันมองทั้งสองคนที่อยู่ข้างกัน ก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่ม
“พวกเจ้าออกไป”
“ไม่ ข้าต้องเป็นคนสอนนางทุกอย่างเรื่องนี้ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้” ชิงหมิงเองก็ไม่ยินยอมเช่นกัน เรื่องสนุกเช่นนี้อย่างไรเขาก็ต้องรู้ให้ได้
“ข้าเป็นบ่าวท่านนะขอรับ แม้แต่ความลับของคุณชายข้ายังรู้เลย”
“แต่นี่เป็นเรื่องของข้า” น้ำเสียงหวานนุ่มบัดนี้เย็นชายิ่งกว่าเดิม เหตุใดนางต้องมาเล่าชีวิตของนางให้คนอื่นฟังด้วยไม่ยุติธรรมกับนางสักนิด กับเหวินฟงหนานนางไม่สามารถปิดบังได้เพราะตัดสินใจเป็นคนของเขาแล้วแต่กับคนอื่นนางไม่จำเป็นต้องบอก
“ใช่ว่าข้าอยากรู้ แต่เรื่องบางอย่าง ข้าเองก็จำเป็นต้องรู้ หากว่าในวันหน้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันได้” ชิงหมิงเอ่ยอย่างจริงจังไม่มีร่องรอยของการล้อเล่นอีกต่อไป
“งั้นเอาเช่นนี้ บอกเรื่องของเจ้ามาแล้วข้าจะให้พวกเขาบอกความลับของตนเองกับเจ้าถือว่าแลกกันอย่างเท่าเทียม” เหวินฟงหนานหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ให้ทุกคน มู่ตานมองพวกเขาอย่างตัดสินใจ
“หากเรื่องของพวกท่าน ไม่ใช่ความลับสำคัญที่มีผลกับชีวิต ข้าก็ไม่สามารถทำอันใดได้”
“เช่นนั้นให้พวกเขาเล่าก่อน เจ้าค่อยตัดสินใจ” ข้อเสนอนี้ถือว่าใช้ได้ มู่ตานจึงยอมรับมัน
คนแรกที่เริ่มก่อนคือชิงหมิง ชายหนุ่มร่างเพรียวบาง มู่ตานได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นขันทีที่หลบหนีออกมาจากในวังเนื่องจากไม่รู้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจึงถูกตามฆ่า ถึงแม้จะสามารถหนีออกมาได้แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ได้เหวินฟงหนานช่วยเอาไว้เมื่อห้าปีก่อนและอยู่รับใช้ถวายชีวิตมาจนถึงตอนนี้
ปาเฉินนั้นไม่มีอะไรมาก อย่างไรก็เป็นบ่าวรับใช้ของเหวินฟงหนานแต่อีกสถานะหนึ่งที่พึ่งได้รับรู้คือเขาเป็นผู้คุ้มกันของชายหนุ่มด้วยเรื่องนี้แม้แต่ชิงหมิงยังไม่รู้ นั้นทำให้นางสงสัยว่าเหตุใดถึงปล่อยให้นางเข้าประชิดตัวได้
“ไม่ต้องมองข้า ข้ารู้ว่าคุณชายต้องการทดสอบเจ้าเท่านั้นว่าสามารถทำทุกอย่างตามที่สั่งได้หรือไม่” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ทันทีว่าเพราะเหตุใดจึงปล่อยให้นางทำร้ายได้ นี้หากนางคิดฆ่าเขาให้ตายจริงคงโดยฆ่าตายตรงนั้นเป็นแน่
“ถึงตาเจ้าแล้ว” สายตาที่มองมาของแต่ละคน ดูไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของนางเลยจริง ๆ สาบานให้เปล่า
“…..” มู่ตานยืนนิ่งก่อนจะมองทุกคนในห้องนี้อย่างตัดสินใจ
“ข้าชื่อ มู่ตาน แซ่ ฟาง เจ้าค่ะ”
“แซ่ ฟาง แล้วอย่างไร” ชิงหมิงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวจะสื่อ แซ่ฟางในแคว้นนี้มีมากมายแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นตระกูลไหน
“ฟางชิงหมิง คือบิดาของข้า”
“ฟางชิงหมิง เสนาบดีกรมการคลังฟาง” ปาเฉินเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใด
“เขารู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นลูก” เหวินฟงหนานเอ่ยถามอย่างสนใจ ความเป็นมาของหญิงสาวเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขามากทีเดียว
“รู้เจ้าค่ะ”
“พูดมาให้หมดเถอะ พวกข้าลุ้นจะแย่แล้วเนี่ย” ชิงหมิงที่เริ่มทนความอยากรู้ของตนเองไม่ไหวเอ่ยขึ้น
“ท่านก็ใจเย็นหน่อยไม่ได้หรือ ข้าเป็นบุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกจวนตระกูลฟาง ฟางมู่ตาน เจ้าค่ะ”
อายุครรภ์ของมู่ตานตอนนี้ห้าเดือนแล้ว ท้องของนางใหญ่มากเวลาลุกนั่งหรือเดินต้องมีคนคอยประคองอยู่ตลอด ท่านหมอแจ้งว่าในท้องของนางอาจมีถึงสามชีวิตที่อยู่ในนั้น สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เหวินฟงหนานดีใจเลยสักเมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านหมอก็บอกแล้วหากดูแลตัวเองให้ดีข้ากับจะต้องปลอดภัยแน่นอนท่านอย่ากังวลนักเลย”มู่ตานพยายามเอ่ยปลอบผู้เป็นสามีที่ตอนนี้เอาแต่ตามติดนางไม่ห่างเลย“อืม ข้าเชื่อว่าเจ้ากับลูกจะต้องปลอดภัยแน่” แม้ปากจะบอกเช่นนั้นแต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว มือหนาลูบท้องของฮูหยินตนเองเบา ๆ ราวกับต้องการจะสื่อสารกับเจ้าตัวเล็กในท้องจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามู่ตานไม่ได้มีอาการใดที่น่าเป็นห่วงเลยสักนิดจนกระทั่งวันนี้ นางรู้สึกเจ็บหน่วงตั้งแต่เช้าจึงรีบให้คนไปตามท่านหมอมาดูอาการ เมื่อตรวจดูแล้วกลับพบว่านางกำลังจะคลอดแล้วซึ่งนั้นก็ไม่แปลกอะไรสำหรับท้องแฝดที่จะคลอดก่อนกำหนดด้วยระยะอายุครรภ์กว่าแปดเดือนถือว่าผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายมาได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการคลอดบุตรแต่ละครั้งก็ถือว่าอันตรายมากอยู่ดีเหวินกงอวิ๋นเชิญ
“ตำแหน่งของนางงั้นหรือ ข้าให้ท่านพูดอีกครั้ง ตำแหน่งของใครนะ” ดวงตาแข็งกร้าวของฟางมู่ตานจ้องมองคนมองอย่างน่ากลัว“ขะ…ของเจ้า” จางหวั่นเมี่ยวม่คิดเลยว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะมีแรงกดดันมากถึงเพียงนี้“เจ้าค่ะ ของข้า” ฟางมู่ตานกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสามคนอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่อยากระบายมานาน“เรื่องนี้พวกท่านโทษข้าไม่ได้นะเจ้าคะ นิสัยของคนเราส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับคนที่เลี้ยงดูมา มารดาเป็นเช่นไร บุตรก็ไม่ต่างกัน พวกท่านตามใจนาง อยากได้อะไรก็เพียงชี้นิ้วสั่ง อยากทุบตีใครก็มีบิดาช่วยปิดเรื่องให้ การที่ข้าถูกนำไปทิ้งนั้นถือเป็นโชคดีของข้ามากทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านว่าหรือไม่”มู่ตานมองสบตากับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด แต่กลับเป็นฟางหมิงชิงเสียเองที่ต้องหลบตานาง“หากวันนั้นท่านไม่ติดนิสัยชอบสั่งให้คนอื่นทำงานให้ ข้าก็คงไม่รอด เรื่องนี้คงต้องขอบคุณท่านแล้ว ต่อจากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนตระกูลฟางอีกแล้ว ข้าแต่งเข้าตระกูลเหวินแล้ว จะเป็นหรือตาย ก็เป็นคนตระกูลนี้ อย่าคิดจะด่าข้าว่าอกตัญญูเพราะฟางมู่ตานตายไปตั้งแต่ที่ท่านให้คนเอานางไปฆ่าทิ้งแล้ว”มู่ตานชี้หน้าฟางหมิงชิงทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปาก วัน
อาภรณ์สีแดงสดถูกปลดออกทีละชิ้นอย่างเบามือจนเผยให้เห็นร่างบางขาวเนียนผ่องของหญิงสาว เหวินฟงหนานถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อสัดส่วนที่สมบรูณ์แบบปรากฏอยู่ตรงหน้าฟางมู่ตานหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยิ่งเห็นสายตาของเหวินฟงหนานที่มองมา นางยิ่งทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจก้าวลงอ่างน้ำไปเพื่อให้มันช่วยอำพรางร่างกายของนาง แต่นั้นกลับเป็นความคิดที่ผิดยิ่ง เหวินฟงหนานยกยิ้มมุมปากก่อนจะสลัดเสื้อผ้าออกจากตัวอย่างรวดเร็วระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักของคนที่พึ่งลงอ่างน้ำมาทำเอาฟางมู่ตานนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อถูกฝ่ามือร้อนแตะเข้าเบา ๆ ที่ไหล่เนียนมือหนาวักน้ำขึ้นพร้อมกับลูบไล้เบา ๆ ตั้งแต่ไหล่ขาวลงไปที่ต้นแขนเล็ก ริมฝีปากร้อนกดจูบลงที่ไหล่นวลอย่างแผ่วเบาทำเอาหญิงสาวถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อถูกสัมผัส เขาปัดผมยาวของหญิงสาวออกแล้วกดจูบลงอีกครั้งที่หลังคอระหงจนมู่ตานเผลอปล่อยเสียงที่น่าอายออกมาเหวินฟงหนานก็ยกยิ้มอย่างพอใจทันที“ไม่ต้องกลัว ข้าจะถนอมเจ้าอย่างถึงที่สุดเด็กดี” เสียงกระซิบข้างหูแผ่วเบาทั้งมือที่ลูบไล้ไปตามร่างกายยิ่งทำให้ฟางมู่ตานสะท้านร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน นา
ชายหนุ่มลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวในทันทีด้วยใบหน้าอิ่มความสุขจนทุกคนสัมผัสได้ เขามองหญิงสาวไม่วางตาก่อนจะรับมือนางมาจากชิงหมิงแล้วส่งขึ้นรถม้าด้วยตนเองอย่างใส่ใจเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วขบวนรับตัวเจ้าสาวก็ออกเดินทางจากจวนแห่งนี้เคลื่อนไปยังจวนตระกูลเหวินที่ไม่อยู่ไกลกันนัก ขบวนเจ้าสาวยาวเหยียดสุดสายตาทั้งสินเดิมของมารดาทที่ได้กลับมาแม้ไปทั้งหมดก็ตาม สินเดิมพระราชทาน และเดิมที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเติมเข้ามาให้ ทำเอาคนที่เห็นถึงกับอิจฉาตาร้อนโดยเฉพาะคนที่แอบหนีมาอย่างฟางถิงอิงมองทุกอย่างตรงหน้าอย่างคับแค้นใจยิ่งพิธีมากมายที่ต้องทำแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะยังยิ้มได้ด้วยใบหน้าอิ่มเอม ฟางหมิงชิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจนักเพราะก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลายกน้ำชาเขายังนั่งนิ่งไม่ยอมรับน้ำชาจากบ่าวสาวจนเหวินฟงหนานเงยหน้าขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มว่าเขาเป็นอันใด แต่สายตาที่ฟางหมิงชิงได้สบนั้นกลับเยือกเย็นจนสามารถแช่แข็งเขาได้เลยมืออันสั่นเทายื่นออกไปรับน้ำชาจากบ่าวสาวช้า ๆ มันสั่นจนน้ำชาหกออกจากถ้วยเล็กน้อยแต่ก็ต้
ฟางถิงอิงยืนนิ่งไม่กล้าขยับไปไหนมือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นมันมีทั้งความรู้สึกอับอาย ทั้งโมโห ที่แค้นเคืองตีกันวุ่นไปหมดในหัวของนาง ดวงตากลมโตเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะมีน้ำใสไหลอาบลงมาอย่างไม่อาจห้าม“อิงเอ๋อร์!! เกิดอะไรขึ้น!!” จางหวั่นเมี่ยวที่เห็นว่าบุตรสาวออกจากจวนมานานแล้วยังไม่กลับเสียที่จึงออกมาตาม เห็นผู้คนมุงอยู่ตรงนี้หลายคนจึงเดินเข้ามาดูด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นบุตรสาวยืนอยู่กลางวงล้อมของผู้คนในสภาพน้ำตานองหน้า ทั้งยังตื่นตระหนกมากด้วย“พวกเจ้าทำอะไรนาง!! ฟางมู่ตานเจ้าทำอะไรลูกข้า!!” จางหวั่นเมี่ยวตวาดลั่นพร้อมกับรั้งบุตรสาวมาไว้ด้านหลังอย่างปกป้อง“แม่รองถามผิดหรือไม่ ท่านไม่ลองถามบุตรสาวสุดที่รักของท่านดูก่อนเล่า ว่ามาหาเรื่องข้าด้วยเหตุใด มาพูดจาให้ร้ายข้า ฮึก ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวที่เลวร้าย ทั้งที่ข้าต้องการลืมมันไป ฮึก ข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ ฮึก ฮือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็มาจากท่านไม่ใช่หรือ ที่เอาข้าไปทิ้งไว้เช่นนั้น ฮืออ!!”นอกจากจะเรียกจางหวั่นเมี่ยวว่าแม่รองแล้ว มู่ตานยังทำในสิ่งที่พวกเขาต้องตกตะลึงตาค้างยิ่งกว่า จะมีอะไรเรียกความเห็นใจจากทุ
เมื่อกลับมาถึงจวนสิ่งที่ฟางมู่ตานเห็นเป็นอย่างแรกเลยนั้นคือความวุ่นวายของบ่าวไพร่ที่กำลังขนย้ายต้นกล้วยไม้ขึ้นรถม้า“จะย้ายมันไปที่ไหนกันหรือ” มู่ตานเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านนางไป“คุณชายให้คนย้ายไปที่จวนใหญ่ที่เมืองหลวงขอรับ” เมื่อได้คำตอบแล้วมู่ตานก็ถามหาคนสั่งการต่อก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มตามที่บ่าวรับใช้บอกมาร่างสูงสง่าของเหวินฟงหนานกำลังนั่งอ่านสมุดบัญชีของเดือนนี้อย่างตั้งใจ แต่พอรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในห้องเขาก็เงยหน้าขึ้นมาดูทันที“ข้าได้ยินว่าท่านสั่งให้บ่าวรับใช้ขนต้นกล้วยไม้ไปที่เมืองหลวง จะทำอะไรหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งในห้อง“เจ้าลืมงานแต่งของเราหรือ” เหวินฟงหนานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองหญิงสาวไปด้วย“ไม่ลืมเจ้าค่ะ ท่านจะให้มันในงานหรือเจ้าคะ”“ใช่ กล้วยไม้นั้นถือว่าหาได้ยากยิ่งน้อยคนนักที่จะสามารถเลี้ยงมันได้เช่นนี้ อีกอย่างเจ้าก็ชอบมันมากไม่ใช่หรือ ข้าจึงให้คนใช้มันร่วมกับดอกโบตั๋นประดับในงาน”“ท่านช่างใส่ใจยิ่งนัก” ฟางมู่ตานเอ่ยยิ้ม ๆ แต่หากฟังให้ดีมันแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันอยู่เล็กน้อยไม่จริงจังนักนางรู้ดีว่าเจตนาของชายหนุ
“เจ้าจะนอนเช่นนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ พวกข้าไม่ได้มีเวลามาเลี้ยงดูคนที่ไม่มีประโยชน์หรอกนะ หากยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ข้าคงต้องปล่อยให้เจ้าสองคนแม่ลูกเผชิญชะตากรรมกันเองแล้ว”น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยกับคนเจ็บ แต่มือกลับยังคอยป้อนยาให้คนที่หลับอยู่อย่างใจเย็น ข้างกายมีร่างเล็กของหลี่เมิงนั่งมองหน้าคนพูดอยู่อย่างไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตมองมารดาสลับกับหญิงสาวก็จะกะพริบตาปริบ ๆ แล้วหันไปมองเหวินฟงหนานตาใสแป๋วราวกับมีคำถามจนชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมาไม่ได้“มานี้สิ” เหวินฟงหนานกวักมือเรียกเด็กหญิงตัวน้อยให้เข้าไปหา ร่างเล็กก็ไม่รอช้าลุกเดินไปหาคนเรียกทันนี้ มือหนาจัดการอุ้มเด็กน้อยขึ้นนั่งบนตักก่อนจะกระซิบบอกนาง“สิ่งนี้เรียกว่าใช้ความโหดร้ายมากระตุ้นให้คนสู้ต่ออย่างไร นางหลับอยู่เช่นนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง หากบอกเล่าความโหดร้ายที่เจ้าต้องเจอหลังจากที่นางจากไปให้ฟังทุกวันเช่นนี้ บางที่มารดาของเจ้าอาจกำลังต่อสู้เพื่อกลับมาอยู่ก็ได้”“จริงหรือเจ้าคะ” หลี่เมิงถามเสียงแผ่ว ดวงตากลมสุกสกาวมองคนพูดเป็นประกาย เหวินฟงหนานจึงพยักหน้าให้นางพร้อมกับส่งยิ้มให้ร่างเล็กไถลลงจากตักของเหวินฟงหนานก
ร่างสูงนั่งนิ่งไม่ไหวติงเพราะบนตักมีร่างเล็กของหลี่เมิงอยู่ ตั้งแต่ที่คุณชายพาตัวว่าที่นายหญิงไป แล้วเขาต้องเข้ามาดูแลสองแม่ลูกนี้แทนนี้ก็ผ่านไปเกือบครึ่งวันแล้วหลี่เมิงตื่นขึ้นมาเห็นเพียงปาเฉินนั่งอยู่ก็ไม่ได้ร้องไห้แต่อย่างไร สิ่งแรกที่นางทำคือมองดูมารดาว่ายังอยู่กับนางหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามารดายังอยู่ถึงแม้จะยังไม่ตื่นขึ้นมา นางก็ยิ้มออกมาได้แล้วก่อนจะปีนลงจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำเพื่อเช็ดตัวให้มารดา“เหตุใดไม่เรียก” ปาเฉินรีบเข้าไปรับเอาอ่างมาถือไว้เองก่อนจะนำไปวางที่ข้างเตียงคนเจ็บให้เด็กน้อย“ข้าทำได้เจ้าค่ะ” เสียงเล็กน่าฟังเอ่ยตอบก่อนจะปีนกลับขึ้นไปบนเตียง ปาเฉินจึงช่วยเอาผ้าชุบน้ำและบิดผ้าหมาด ๆ ก่อนจะส่งให้ร่างเล็กนั้นมือน้อย ๆ เช็ดผ้าไปตามใบหน้าซีดเชียวของมารดาอย่างเบามือ ก่อนเช็ดมือกับแขนให้ด้วย ปาเฉินจึงออกไปตามหมอมาทำแผลให้ ถึงจะบอกว่าไม่มีทางรอดแล้วแต่ตนยังไม่ตายจากไปอย่างไรก็ยังมีหวัง หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็พาเจ้าตัวน้อยไปกินข้าวก่อนจะกลับขึ้นมานั่งเฝ้ามารดานางกันจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้“พี่ชายเล่าเจ้าค่ะ” หลี่เมิงถามหามู่ตานที่หายไป
ตระกูลมู่ในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดร้องโวยวายของทั้งเหล่าเจ้านายและบ่าวไพร่ มู่หลานฟง มู่หวายเอินและมู่หวาเถียนรวมทั้งบ่าวไพร่ทั้งหมดถูกจับให้คุกเข่าอยู่ตรงลานกว้างในจวนโดยมีร่างสูงใหญ่ของเหวินจินไห๋ยืนมองดูอยู่เงียบ ๆ“ครบแล้วขอรับใต้เท้า” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งเข้ามารายงาน ก่อนที่เหวินจินไห๋จะเดินออกไปตรงหน้าคนเหล่านั้น“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำกับพวกข้าเช่นนี้ เป็นขุนนางแล้วคิดว่าจะรังแกกันเช่นไรก็ได้หรือ”มู่หลานฟงกล่าวอย่างเดือดดาลที่ตนถูกปฏิบัติเช่นนี้ ทั้งยังมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่อย่างเคียดแค้นชิงชัง“มีสิทธิ์หรือไม่เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้รู้ เห็นว่ากำลังเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวงใช่หรือไม่ พอดีเลย เดี๋ยวข้าเป็นคนพาไปเองก็แล้วกัน แต่จะไปอย่างไร สภาพไหนนั้นก็อีกเรื่อง อ่อ มีสิ่งนี้ให้เจ้าลงนามด้วย”เหวินจินไห๋รับเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาจากคนของตนก่อนจะเดินเข้าไปให้คนจับมือมู่หลานฟงประทับรอยนิ้วมือลงไปเป็นอันเสร็จสิ้น“เจ้าทำอันใด” มู่หลานฟงมองกระดาษแผ่นนั้นอย่างตื่นตระหนก เขาไม่รู้เลยว่ามันเขียนว่าอันใดแต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่และก็เป็นอย่าง