"เจ้าไม่คิดจะเเนะนำคุณหนูท่านนี้แก่พี่สามของเจ้าให้รู้จักบ้างหรือ"
จิ่งเม่ยรู้จุดประสงค์ขององค์ชายสามผู้นี้ในทันที
"นางคือสหายของข้าจากแคว้นฉิงนามหยางซินเยว่"
จิ่งเม่ยเเนะนำซินเยว่แบบขอไปที ดูอย่างไรองค์ชายผู้นี้ก็ไม่ได้บังเอิญผ่านมาอย่างแน่นอน
"ข้าคือองค์ชายสามนามว่าจิงซานเยี่ยยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูหยาง"
จิ่งซานเยี่ยรีบแนะนำตัวเองแก่สาวงามที่เขาพึงใจตั้งแต่เเรกเห็น และด้วยอำนาจขององค์ชายสามเช่นเขาที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าองค์รัชทายาทอย่างจิ่งเหลยนางไม่มีทางปฏิเสธเขาแน่ จิ่งซานเยี่ยคิดไปเองคนเดียว
องค์ชายจิ่งซานเยี่ยยังคงยืนอยู่เพื่อรอที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหญิงงามที่เขาพึงใจ แต่ซินเยว่ที่มองลักษณะท่าทางของจิ่งเม่ยออกว่านางมิใคร่จะชอบใจบุรุษผู้นี้ดังนั้นซินเยว่จึงไม่แม้แต่จะปรายตามองเชื้อพระวงศ์หนุ่มคนนั้น นางรู้สึกรังเกียจสายตาที่เขามองมาที่นางอย่างเปิดเผยว่าต้องการอะไร สร้างความอึดอัดใจให้แก่ซินเยว่ยิ่งนัก ก่อนที่จะได้คุยกันไปมากกว่านี้ จิ่งเหลยและจิ่งเฟิงก็เดินเข้ามาช่วยนางอย่างรู้เวลา
"ข้ารู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่เห็นน้องสามอยู่ที่นี่ เจ้ามาทำอันใดหรือ"
จิ่งเหลยถามออกไปเสียงเรียบปั้นหน้ากดดันเช่นที่เขาทำกับขุนนางทุกครั้งที่เข้าประชุมราชกิจในท้องพระโรง
"ข้า...เพียงได้ยินว่ามีสหายจากแคว้นฉิงตามน้องห้ามาชมการชุมนุมประลองยุทธในครั้งนี้ ข้าจึงอยากมาทำความรู้จักเอาไว้ ก็เท่านั้น"
จิ่งซานเยี่ยเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เพราะสายตากดดันของจิ่งเหลยและจิ่งเฟิงที่มองมายังตน
"ถ้ารู้จักแล้วเช่นนั้นก็เชิญเจ้ากลับไปเถิดพวกเรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือกันเพียงแค่คนในครอบครัว"
จิ่งเฟิงเอ่ยปากไล่จิงซานเยี่ยตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้า จิงซานเยี่ยสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยสายตาไม่ยินยอมเท่าใดนักแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ทำได้เพียงส่งสายตาอาฆาตแค้นไปยังสามพี่น้อง
"ฝากไว้ก่อนเถอะจิ่งเฟิง ข้าได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เมื่่อใดเจ้าเป็นคนแรกที่ข้าจะกำจัดทิ้ง"
เชื้อพระวงศ์หนุ่มทั้งสองกลับมาในชุดใหม่และรัศมีที่อยู่รอบตัวพวกเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซินเยว่มองสหายหนุ่มเดินเข้ามานางลุกขึ้นยืนแล้วคว้าขวดโอสถเพิ่มพลังปราณที่อยู่ในแขนเสื้อออกมายื่นให้ทั้งสอง
"นี่สำหรับพวกเจ้าที่ดูแลฮุ่ยหลิงของข้าอย่างดี ส่วนนี่สำหรับเจ้าจิ่งเม่ยถือซะว่านี่เป็นของขวัญจากสหายเช่นข้า"
ซินเยว่ยื่นขวดยาให้จิ่งเม่ยเช่นกันทั้งสามพี่น้องเปิดจุกขวดยาออกกลิ่นหอมเย็นโชยออกมาทันที
"นี่!!!มันโอสถเพิ่มพลังปราณความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนเจ้าถึงกับให้โอสถเพิ่มพลังปราณแก่พวกเราสามคนเชียวหรือ ช่างเป็นของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งนัก"
จิ่งเหลยเอ่ยอย่างตกใจปนยินดี ยากนักที่จะได้พบโอสถที่ล้ำค่าเช่นนี้
"เจ้าทั้งสามกลืนมันลงไปแล้วรีบเดินลมปราณควบคุมพลังที่จะเลื่อนขั้นเสีย"
ทั้งสามเชื้อพระวงศ์ทำตามที่ซินเยว่พูดอย่างเชื่อฟังหลังจากพวกเขากินโอสถเพิ่มพลังปราณเข้าไปพลังที่จุดตันเถียน ของพวกเขาก็ระเบิดออก ทั้งสามเลื่อนลำดับขั้นพลังถึงสองขั้นใหญ่เพราะซินเยว่ได้ให้พวกเขาดื่มน้ำทิพย์มรกตเพื่อขยายเส้นพลังปราณเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สามพี่น้องกลายเป็นยอดยุทธครามเป็นที่เรียบร้อยทั้งสามยังคงนั่งขัดสมาธิเดินพลังปราณในร่างกายให้เสถียร ซินเยว่ไม่อยากรบกวนพวกเขาจึงพาฮุ่ยหลิงเดินออกมาอย่างเงียบๆ
"ฮุ่ยหลิงนี่คือของขวัญของเจ้า"
ซินเยว่ยื่นมือไปหาฮุ่ยหลิงแล้ววางเจ้าอสรพิษดำที่หดเล็กลงเท่ากำไลบนมือของสาวใช้ตัวน้อย ฮุ่ยหลิงยื่นมือออกไปรับท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เพราะนางยังจำภาพที่เจ้าอสรพิษดำอาละวาดได้ติดตา น่ากลัวว่ามันจะกินนางลงท้องเสียมากกว่า ซินเยว่มองหน้าฮุ่ยหลิงแล้วส่ายหัวอย่างระอา นางอ่านสีหน้าเจ้าตัวขี้ขลาดน้อยออก
"ไม่เป็นไรมันจะไม่ทำอันตรายแก่เจ้าไม่ต้องกลัวทำพันธสัญญากับมันซะ"
ฮุ่ยหลิงพยักหน้าขึ้นลงนางใช้นิ้วแตะไปที่หัวของเจ้าอสรพิษดำแผ่วเบาจากนั้นเคลื่อนพลังปราณมาที่ฝ่ามือสร้างพันธสัญญากับเจ้าอสรพิษดำ แสงสีขาวสว่างวาบแล้วหายไปเจ้าอสรพิษน้อยผงกหัวขึ้นลงเลื้อยคลอเคลียอยู่ที่แขนของฮุ่ยหลิง อย่างออดอ้อน ตอนนี้ฮุ่ยหลิงไม่รู้สึกหวาดกลัวเจ้าอสรพิษดำแล้วเพราะนางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของมัน
"ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าอะไรดีเฟยเฟยดีหรือไม่เรียกง่ายและฟังดูน่ารักดี"
ฮุ่ยหลิงคุยกับอสรพิษดำเสียงเล็กเสียงน้อยคล้ายก่อนหน้านี้นางมิได้มีท่าทีหวาดกลัวมันเสียเลย เจ้าเฟยเฟยผงกหัวขึ้นลงอย่างยินดีกับชื่อใหม่ที่ได้รับ ปกติใครๆ ก็เรียกมันว่าอสรพิษดำไม่เคยมีชื่อเป็นของตนเองสักที
สามเชื้อพระวงศ์ที่ตอนนี้ออกมาจากการนั่งสมาธิเดินพลังปราณพวกเขากลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธไปแล้ว ความรู้สึกที่มีพลังเปี่ยมล้นในร่างกายช่างรู้สึกดียิ่งนัก ผ่านไปสองวันงานชุมนุมประลองยุทธก็ได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ แคว้นจิ่งได้จัดงานเฉลิมฉลองทั่วทั้งเมืองจนกว่าจะจบงานประลองยุทธ ซินเยว่ที่นั่งอยู่บนรถม้าขององค์หญิงจิ่งเม่ยกำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาร่วมชมการประลองยุทธในครั้งนี้ บนฟ้าก็มีสัตว์อสูรบินว่อนไปทั่วท้องฟ้า ทั้งกระเรียนขาว อินทรีปีกเหล็กและอีกมากมายที่นางไม่รู้จัก
"นั่นมันสัตว์อสูรอันใดกันตัวเป็นสิงโตแต่มีปีกเหมือนนกช่างแปลกพิสดารยิ่งนัก"
ซินเยว่และฮุ่ยหลิงพึ่งเคยเข้าร่วมงานชุมนุมประลองยุทธเป็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
"นั่นคือสิงห์เวหาขั้นเจ็ดนั่นก็เป็นสัตว์อสูรที่หาได้ยากยิ่ง"
จิงเม่ยอธิบายอย่างใจเย็นให้สาวงามที่ท่าทางคล้ายเด็กน้อยพึ่งเคยออกจากบ้านของซินเยว่และฮุ่ยหลิงฟังอย่างเอ็นดู
"ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้คนใช้สัตว์อสูรในการเดินทางเหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ใช้มัน"
ซินเยว่หันไปเอ่ยถามจิ่งเม่ยอย่างสนใจใคร่รู้
"ผู้ที่จะใช้สัตว์อสูรในการเดินทางก็มีแต่ผู้ที่ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรมีปีก ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสัตว์อสูรจ้าวเวหาหาใช่จะจับมาทำพันธสัญญาหรือให้อยู่ใต้อาณัติได้ง่ายดายเหมือนที่เจ้าทำ แต่ละแคว้นมีสัตว์อสูรมีปีกเพียงไม่กี่ตัว "
ซินเยว่พยักหน้าอย่างเข้าใจ รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ทางขึ้นเขาที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานชุมนุมการประลองยุทธ ทั้งสามลงจากรถม้าแล้วเดินตามทางที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม บางคนขี่สัตว์อสูรบางคนทะยานไปด้วยพลังปราณ แต่ซินเยว่จิ่งเม่ยและฮุ่ยหลิงเดินไปอย่างช้าๆ เพื่อชื่นชมสถานที่จัดเอาไว้อย่างสวยงาม
"เเคว้นจิ่งนี่ช่างล้ำจริงๆ มีบูธตั้งขายอาหารเหมือนงานวัดแถมยังมีการจัดแสดงโชว์ต่างๆ อีกต่างหาก"
จิ่งเม่ยและฮุ่ยหลิงหันหน้ามองกันแล้วมองไปทางหญิงสาวที่พูดพร่ำไม่หยุดเป็นตาเดียว
"คุณหนูท่านพูดอันใดบูธอันใดงานวัดอันใดโชว์สิ่งใดข้าไม่เข้าใจความหมาย"
ซินเยว่หัวเราะเสียงใสในท่าทางเหรอหราของฮุ่ยหลิง
"ช่างเถอะน่าข้าขี้เกียจอธิบาย"
เมื่อไป๋เยี่ยนหลงได้สติกลับมาเขาหันมองสตรีที่เขารักจับมือของตนเขาก็วางมือของตัวเองไว้บนมือของนาง บุรุษทั้งสามที่คุกเข่าอยู่ต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันอย่างโล่งอกภายในใจก็รู้สึกขอบคุณซินเยว่ที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้"เอ่อ...คือ''จงหู่ลังเล่ที่จะรายงานเรื่องต่อไปแก่ไป๋เยี่ยนหลงเพราะเขากลัวว่าถ้าหากรายงานเรื่องนี้ไปนายท่านก็จะมีโทสะขึ้นมาอีกชีวิตนี้ของเขาคงต้องเอามาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว เขายังมิทันได้เเต่งงานเลยนะจงหู่โอดครวญในใจ ถ้าหากไป๋เยี่ยนหลงได้ยินความคิดของจงหู่เขาคงจะส่งราชเลขาคนนี้ไปสำนึกตนที่หุบเขาทมิฬเป็นแน่"รายงาน"ไป๋เยี่ยนหลงที่เห็นจงหู่ทำท่าลังเลจึงเอ่ยเตือนเขาเสียงเรียบแต่ใบหน้านั้นไม่เเสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา"จับตัวเซียนอักขระตี้ซางได้ที่แคว้นหานตานพ่ะย่ะค่ะ สามตระกูลใหญ่และขุมอำนาจแห่งไป๋หลงร่วมประชุมและลงมติว่าอีกห้าวันจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของท่านจ้าวผู้ครองนครและเปิดตัวว่าที่พระชายาพ่ะย่ะค่ะ"ไป๋เยี่ยนหลงใช้นิ้วชี้เคาะไปที่โต๊ะช้าๆ เป็นจังหวะ หัวใจของบุรุษทั้งสามต่างก็เต้นเป็นจังหวะตามเสียงเคาะนิ้วของเขา ชีพจรของพวกเขาตอนนี้เต้นระรัวแทบจะทะลุผิวหนังออกมาแล้วถ้
"มิใช่เช่นนั้นพวกเราอายุยืนก็จริงแต่ก็สามารถตายได้ เช่นถูกพิษ ถูกทำร้ายก็บาดเจ็บมีเลือดออกหรือถูกฆ่าก็ตายได้เช่นกัน เจ้าจำที่ข้าเล่าให้ฟังได้หรือไม่ เจ้าช่วยชีวิตหญิงท้องแก่กำลังคลอดแต่นางเสียชีวิตพร้อมเด็กทารกในครรภ์ นั่นก็เป็นอีกตัวอย่างทุกคนที่นี่สามารถตายได้เพียงแต่อายุจะหยุดลงที่ยี่สิบห้าปีและการถือกำเนิดของเจ้ามันคล้ายกับว่าเจ้าเป็นยาอายุวัฒนะ พวกที่มีอำนาจมืดในแผ่นดินไป๋หลงจึงต้องการตัวเจ้า หากตอนนี้พวกมันรู้ว่าเจ้าคือไซซีเมื่อสามร้อยปีก่อนและข้าคิดว่าพวกมันคงจะรู้แล้ว อีกไม่นานพวกมันคงจะหาทางมาเอาตัวเจ้าไปแน่"ไป๋เยี่ยนหลงอธิบายให้สตรีขี้หึงในอ้อมแขนของเขาฟังอย่างใจเย็นและทำท่านึกบางอย่างขึ้นมาได้"ข้ายังมีบางสิ่งที่ยังไม่ได้บอกเจ้า"ซินเยว่เลิกคิ้วขึ้นมองไป๋เยี่ยนหลงอย่างสงสัย บุรุษผมสีเงินยังคงอมพะนำมิยอมเอ่ยปาก เขาลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปให้ซินเยว่ นางมองมือเขาอย่างงงๆ แต่ก็ยังยื่นมือให้เขาและลุกขึ้นเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย ไป๋เยี่ยนหลงเดินเข้าไปด้านในสุดของห้องนอนเขายกมือขึ้นวาดอักขระที่ซินเยว่มองแล้วทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจว่าไป๋เยี่ยนหลงกำลังทำสิ่งใดเสียงคลืน!!ดังขึ้นคล้าย
ไป๋เยี่ยนหลงก้มมองใบหน้างามที่ยังคงงอง้ำ คำว่าแปดร้อยปีหนึ่งพันปีมันช่างทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของเขายิ่งนักในตอนนี้ความรู้สึกของเขาเหมือนตนกำลังหลอกให้เด็กมาแต่งงานด้วยมองย้อนกลับมาที่ตนเองแล้ว เขาช่างดูเหมือนตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เข้าไปทุกที"ถ้ารวมกับตอนนี้อายุของเจ้าก็เกือบๆ หกร้อยปี"ไป๋เยี่ยนหลงรีบเอ่ยแก้สถานการณ์ตรงหน้าก่อนที่เขาจะเป็นเฒ่าหลอกเด็กไปจริงๆ ซินเยว่ที่เสียความรู้สึกอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองบุรุษผมสีเงินที่นั่งอยู่ข้างกาย"จริงหรือข้าอายุหกร้อยปีเชียวหรือ ว้าว!!อเมซิ่งจริงๆ เลย"ซินเยว่เผลอพูดภาษาของโลกเก่าออกมาไป๋เยี่ยนหลงได้แต่ส่ายหัวให้กับท่าทางจริงจังของนาง ซินเยว่หรี่ตามองเขาอย่างเจ้าเล่ห์"แต่ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ยังเป็นเฒ่าพันปีอยู่ดี"(╥﹏╥) !! สีหน้าของบุรุษทั้งสามคนพวกเขาทั้งสี่คุยกันเรื่องอายุจนลืมไปแล้วว่ายังมีผู้คนนับร้อยที่ยืนอยู่ด้านล่างรอให้ไป๋เยี่ยนหลงสั่งการ การเดินทางมาที่แผ่นดินไป๋หลงในครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่นักในความรู้สึกของซินเยว่ เพราะตอนนี้มันทำให้นางรู้สึกสนุกจนบอกไม่ถูกหลังจากที่ไป๋เยี่ยนหลง 'สร้างทอล์คออฟเดอะทาวน์ 'ให้กับผู้คนที่แผ่นดินไป๋หลงได้มีเรื่องให้ซ
ก่อนที่ซินเยว่จะทันได้สำรวจนครเทียนจิ่งและผู้คนให้ทั่วก็ปรากฏว่าเรือลอยฟ้าลำยักษ์ได้หยุดลงแล้ว ไป๋เยี่ยนหลงกวักมือเรียกซินเยว่ให้เดินไปหาเขาจากนั้นไป๋เยี่ยนหลงก็จูงมือนางเดินเข้าไปในปราสาทพร้อมๆ กันผู้คนที่มารอต้อนรับท่านจ้าวผู้ครองนครก็มายืนรวมตัวกันแล้วทำความเคารพไป๋เยี่ยนหลงอย่างพร้อมเพรียงแลดูยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนัก และอีกคนที่พวกเขาให้ความสนใจเป็นจุดเดียวคือสตรีร่างเล็กที่ได้รับเกียรติเดินเคียงคู่มากับท่านจ้าวผู้ครองนครของพวกเขาซินเยว่ไม่ได้รู้สึกประหม่าแต่อย่างใดที่ถูกจับจ้องจากผู้คนมากมายเพราะนางชินเสียแล้วที่ถูกใครต่อใครจ้องมองไม่ว่าจะชื่นชมอิจฉาหรือรังเกียจมันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากสำหรับมนุษย์ที่จะมีความรู้สึกเช่นนั้น ถ้าพวกเขาเห็นใครเหนือกว่าตนเองไป๋เยี่ยนหลงหยุดยืนอยู่กลางท้องพระโรงที่ถูกตกแต่งด้วยโคมระย้าอันใหญ่สวยงามไม่ต่างจากด้านนอก เขาจูงมือของซินเยว่ให้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สีทอง ซินเยว่ยืนอยู่อย่างลังเลว่าจะนั่งลงดีหรือไม่เเต่ไป๋เยี่ยนหลงนั่งลงแล้วดึงซินเยว่ให้นั่งลงข้างเขา ผู้คนที่ตามเข้ามาด้านในถึงกับตะลึงต่างตกใจว่าเหตุใดนางถึงได้รับเกียรติอันสูงสุดนั่งเคียงคู่
เพราะความแตกต่างจึงทำให้ทั้งสองเข้ากันได้อย่างดี จากนั้นจึงบังเกิดเป็นความรักไป๋เยี่ยนหลงได้มอบลูกสัตว์อสูรสีดำแก่ไซซีเป็นของแทนใจและตั้งชื่อให้มันว่าเจ้าดำตามสีขนของมัน เวลาผ่านไปห้าสิบปีท่านจ้าวผู้ครองนครเทียนจิ่งได้คิดสละราชบัลลังก์เพื่อออกไปใช้ชีวิตอิสระ แต่เนื่องด้วยไม่มีบุตรและธิดาจึงได้แต่งตั้งให้ไป๋เยี่ยนหลงเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ตระกูลใหญ่และผู้มีอำนาจแห่งนครเทียนจิ่งต่างคัดค้านแต่ท่านจ้าวผู้ครองนครเทียนจิ่งได้ตัดสินใจแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ทำได้เพียงคอยหาทางเล่นงานไป๋เยี่ยนหลงอยู่ในเงามืดไป๋เยี่ยนหลงหลังจากขึ้นครองบัลลังก์เขาก็ได้แต่งงานกับไซซีครองคู่กันอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อองครักษ์มารายงานว่าทางทิศเหนือถูกโจมตีด้วยสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ไป๋เยี่ยนหลงจึงต้องรีบออกไปเพื่อกำราบมัน หลังจากที่เขากลับมากลับพบว่าไซซีได้ถูกสังหารที่ผาจันทราแล้ว เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าผ่านท่านจ้าวผู้ครองนครเทียนจิ่งมาที่ไป๋เยี่ยนหลงและเขานำมาเล่าให้ซินเยว่ฟังอีกทีตลอดเวลาของการเล่าเรื่องราวซินเยว่นั่งเงียบและฟังอย่างเดียวโดยไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ในใจของนางลึกๆ กลับรู้สึกเจ็บ
ฮุ่ยหลิงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว จิ่งเม่ยจึงรีบสั่งการนางกำนัลให้ไปขนเสื้อผ้าสัมภาระของฮุ่ยหลิงมาไว้ที่ตำหนักของตนก่อนที่นางจะเปลี่ยนใจกลับไปที่แคว้นฉิงอีกครั้งฉิงอิงหลางเมื่อได้รับรายงานจากคนสนิทของตนว่า หยางหลันฮวาต่อสู้กับซินเยว่จนทำให้งานชุมนุมประลองยุทธพังลงไม่เป็นท่าก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก สตรีนางนี้สร้างแต่ปัญหาถ้าหากว่าไม่เห็นแก่หน้าแม่ทัพหยางเขาไม่มีทางที่จะพานางมาที่แคว้นจิ่งด้วยเป็นเเน่ สตรีที่มีดีแค่เพียงรูปกายภายนอกเช่นหยางหลันฮวาไม่เหมาะที่จะเป็นพระชายาของเขา ต้องสตรีที่งดงามและเก่งกล้าอย่างหยางซินเยว่เท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายา"แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด"ฉิงอิงหลางเอ่ยถามคนสนิทที่กำลังยืนรายงานข้อมูล"นางอยู่ในมือของคนแผ่นดินไป๋หลงพ่ะย่ะค่ะ สายลับที่เราส่งไปรายงานว่าคนของแผ่นดินไป๋หลงได้พาตัวนางกลับไปด้วย""แล้วหยางซินเยว่ล่ะตอนนี้นางอยู่ที่ไหน"คนสนิทของฉิงอิงหลางมีท่าทีร้อนรนสายตาหลุกหลิกเมื่อผู้เป็นนายถามหาสตรีอีกคนก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก"อะ...เออนางก็ถูกพากลับไปด้วยพร้อมกับผู้คนแผ่นดินไป๋หลงพ่ะย่ะค่ะ"ฉิงอิงหลางตบโต๊ะเสียงดังสนั่นจนโต๊ะไม้เนื้อดีหั