นางส่ายหัวให้ตัวเองที่ดันลืมตัวว่าได้หลุดพูดภาษาโลกเก่าของตัวเองออกมา ซินเยว่คล้องแขนจิ่งเม่ยและฮุ่ยหลิงเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน โดยมีสายตาของผู้คนรอบข้างมองพวกนางอย่างนึกเอ็นดูสตรีที่มีใบหน้างดงามทั้งสาม
โดยเฉพาะนางผู้นั้นที่เดินนำหน้าช่างงดงามยิ่งนักหาได้ยากยิ่งในแผ่นดินนี้ พวกเขามองพวกนางอย่างเพลิดเพลินโดยที่เจ้าตัวทั้งสามไม่ได้สนใจกับสายตาของพวกเขาที่มองมา
เมื่อมีผู้ที่ชื่นชมย่อมมีผู้ที่อิจฉา สตรีที่เดินชมงานที่อยู่โดยรอบทั้งจากต่างแคว้นและจากจวนขุนนางต่างมองตามทั้งสามคนด้วยสายตาริษยา ถึงแม้พวกเขาจะยอมรับว่าพวกนางงดงามแต่ก็ยากจะยอมรับเรื่องที่ถูกบุรุษข้างกายหมางเมินเอาแต่หันมองสตรีอื่นที่ไม่ใช่พวกตน
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้น่าสนใจแล้วจิ่งเม่ยจึงชวนซินเยว่กับฮุ่ยหลิงเข้าไปดูการประลองในรอบคัดเลือก เมื่อเดินเข้าไปถึงทางเข้าลานประลองซินเยว่ตาโตร้องออกมาอย่างตื่นตะลึง
"โอ้โหคนมากมายถึงเพียงนี้เราจะเข้าไปได้อย่างไรงานยิ่งใหญ่กว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีกนะเนี่ย"
จิ่งเม่ยส่ายหัวให้กับอาการตกตะลึงจนเกินเหตุของซินเยว่ ความจริงในจินตนาการของนางคิดว่าการจัดงานประลองยุทธอาจจะเหมือนงานแข่งขันกีฬาสีมัธยมหรือมหาลัยอะไรเทือกนั้น แต่นี่งานยิ่งใหญ่ระดับประเทศเลยทีเดียว ถ้าหากว่าเดินหลงกัน รับรองว่ากว่าจะหากันเจอคงจะมืดพอดี
"ตามข้ามาพวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นองค์หญิงของแคว้นนี้"
จิ่งเม่ยจูงมือของซินเยว่และฮุ่ยหลิงเดินไปอีกด้านที่จัดไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ เมื่อทั้งสามคนมาถึงจุดที่นั่งที่จัดเอาไว้ ซินเยว่และฮุ่ยหลิงเบิกตาโตอีกครั้งเมื่อได้เห็นภายในลานประลอง
"โอ้โห!!!นี่มันใหญ่กว่าที่ข้ามองเห็นจากด้านนอกเสียอีกนะ จะใหญ่ไปไหนเนี่ย"
ซินเยว่ร้องโอ้โหออกมาอีกครั้งอย่างตกใจในความยิ่งใหญ่ของงานประลองยุทธ เพียงแค่ลานประลองก็มากมายจนนับไม่ถ้วนผู้คนหลายพันเดินเบียดเสียดข้างลานประลองเพื่อเป็นกำลังใจให้ฝ่ายของตน
"เจ้ารู้หรือไม่งานประลองครั้งนี้หาได้มีเพียงคนจากแผ่นดินชิวหลิง เท่านั้นยังมีผู้ที่มาจากแผ่นดินไป๋หลงเข้าร่วมด้วย"
"แผ่นดินไป๋หลงชื่อนี้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก"
ซินเยว่พึมพำทวนคำพูดจิ่งเม่ยเบาๆ แต่เชื้อพระวงศ์สาวได้ยินจึงอธิบายเพิ่มเติม
“แผ่นดินไป๋หลงคือแผ่นดินที่มีแต่ผู้ที่บำเพ็ญตบะเซียนเท่านั้นที่อาศัยอยู่"
ซินเยว่พยักหน้าแต่สายตายังคงสงสัยเหมือนยังไม่กระจ่างแจ้งในคำอธิบายของจิ่งเม่ย
"ในเมื่อพวกเขาบำเพ็ญตบะเซียนแล้วเหตุใดจึงมาเข้าร่วมการชุมนุมประลองยุทธของพวกมักเกิ้ล"
ซินเยว่ทำท่าทางครุ่นคิดปากก็พร่ำไปตามเรื่องจึงลืมคิดว่าตนเองนั้นได้พูดอันใดออกมา
"คุณหนูท่านใช้ภาษาที่แปลกประหลาดอีกแล้วนะเจ้าคะ"
ซินเยว่ยิ้มเเเห้งๆ ส่งให้ฮุ่ยหลิงแต่ก็มิได้ใส่ใจจะแปลให้นางเข้าใจ
"เหตุใดถึงมาร่วมชุมนุมประลองยุทธในครั้งนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลนั้นรู้เพียงว่าแผ่นดินไป๋หลิงยื่นสาส์นเจตจำนงต้องการเข้าร่วมงานชุมชนประลองยุทธ หรืออาจมีเจตนาอื่นใดแอบแฝงพวกเราก็มิรู้ได้ตอนที่มีคนถือสาส์นมาที่แคว้นจิ่งข้าก็ออกเดินทางไปแคว้นฉิงเเล้วจึงไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอันใด"
จิ่งเม่ยคุยกับซินเยว่เกี่ยวกับแผ่นดินไป๋หลงแต่สายตายังคงมองไปที่การต่อสู้อันดุเดือดบนเวทีลานประลอง
"หรือไม่ก็เพียงแค่มาดูว่ามีผู้ใดมีความสามารถเก่งกาจอาจจะดึงเข้าเป็นพวก คล้ายพวกแมวมองสินะไม่ว่าที่โลกไหนคนเก่งกาจก็ได้เปรียบเสมอ"
จิ่งเม่ยและฮุ่ยหลิงหันหน้าไปมองซินเยว่พร้อมกันเป็นตาเดียวแล้ว พยักหน้าขึ้นลงบ่งบอกว่าเข้าใจที่นางพูดทั้งที่ไม่เข้าใจสักนิด นางช่างมีคำพูดแปลกประหลาดชวนให้คนมึนงงสงสัยดียิ่งนัก
"ช่างพวกไป๋หลงเถอะไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อยมาลุ้นกันดีกว่าว่าพี่ชายของเจ้าทั้งสองจะผ่านรอบคัดเลือกไปได้หรือไม่"
ฮุ่ยหลิงใช้มือปิดปากหัวเราะ
"กำลังเดินมานั่นแล้วเจ้าค่ะคุณหนู"
"พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา"
ซินเยว่เอ่ยสำทับตอนท้าย พวกนางทั้งสามที่นั่งอยู่จุดของที่นั่งเชื้อพระวงศ์กลายเป็นจุดสนใจไปในทันทีที่ซินเยว่โบกไม้โบกมือให้กับสองเชื้อพระวงศ์หนุ่มอย่างร่าเริงแล้วยกกำปั้นชูขึ้นตรงหน้าเป็นสัญลักษณ์สู้ๆ บุรุษทั้งสองหัวเราะกับท่าทางอันน่ารักน่าเอ็นดูของนาง
ลานประลองยุทธมีอยู่ทั้งหมดห้าสิบลานประลองผู้ที่เข้าร่วมจะต้องเริ่มจากรอบคัดเลือกประลองกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือผู้ชนะหนึ่งคนสุดท้าย รอบลานประลองอันกว้างใหญ่ จัดเป็นที่นั่งแบ่งแยกออกแต่ละสำนัก ขุมกำลังและพรรคต่างๆ ไม่ได้นั่งปะปนกัน สำนักใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงถูกจัดไว้ใกล้กลับที่นั่งของเชื้อพระวงศ์
"พบกันอีกแล้วคุณหนูหยาง"
เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจของสตรีทั้งสามที่กำลังตั้งใจมองคนบนเวทีประลอง พวกนางจึงหันไปพร้อมกันตามเสียงเรียก
"อ้อ คุณชายถังนั่นเองพบกันอีกแล้ว"
ซินเยว่เอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วก็เลิกสนใจเขาทันที นางไม่อยากวุ่นวายกับบุรุษผู้นี้เท่าใดนัก
"เหตุใดทำท่าหมางเมินเช่นนี้เล่าข้าอุตส่าคิดว่าเจ้าจะกลับไปขอแบ่งห้องพักกับข้าที่โรงเตี๊ยมเสียอีก อุตส่าห์รอเจ้าทั้งคืนแต่ไม่เห็นเจ้ากลับมาข้ารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก"
ถังซีไห่ปากบอกออกมาว่าเศร้าแต่หน้าตามิได้บ่งบอกว่าเศร้าตามคำพูดเลยสักนิด ใบหน้าของเขายังมีแววรื่นเริงที่สามารถเอ่ยหยอกล้อให้ซินเยว่รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาได้ ในมือยังคงโบกพัดไปมาคล้ายหนุ่มเจ้าสำราญ
"ต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจของเจ้าแต่ข้าไม่อยากรบกวน"
ซินเยว่เอ่ยเสียงห้วนออกมาน้ำเสียงของนางบ่งบอกว่าเริ่มจะเก็บอาการหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่
"ไม่ได้เป็นการรบกวนอันใดเลย ข้าจะดีใจมากกว่าถ้าเจ้าแบ่งห้องกับข้า"
ซินเยว่ได้แต่กลอกตาให้กับการใช้คำพูดกำกวมชวนให้คนเข้าใจผิดของเจ้าคน ที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านคนนี้แต่ซินเยว่ยังไม่ทันได้ตอบโต้อันใดเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่จัดงานก็ประกาศขึ้น
"ผู้มาเยือนจากดินแดนไป๋หลง "
ซินเยว่ละความสนใจจากถังซีไห่แล้วมองหาบุคคลจากแผ่นดินไป๋หลงที่เจ้าหน้าที่ประกาศขึ้น เสียงลมจากการกระพือปีกของสัตว์ใหญ่ดังงขึ้นทั่วบริเวณ เรือลำใหญ่ใช่เรือลำใหญ่มหึมาลอยอยู่บนฟ้ากำลังใกล้สถานที่จัดงานเข้ามาเรื่อยๆ ซินเยว่มองอย่างสนใจ ม้าเเปดตัวที่ใช้ลากเรือลำนั้นตัวใหญ่พ่วงพีสีดำสนิท มีปีกสองข้างเหมือนนกแถมยังมีเขาอีก
"เปิดตัวได้ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนักนึกว่าดาราดังฮอลลีวูดมาเอง"
ซินเยว่พึมพำเบาๆ คนเดียวทันใดนั้นดอกไม้มากมายก็ถูกโปรยลงมาจากเรือลำใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ เสียงประกาศดังก้องไปทั่วทั้งงานชุมนุมประลองยุทธ
"ท่านจ้าวผู้ครองนครเทียนจิ่งมาเยือน"
ทุกคนที่ได้ยินประกาศจากบนเรือลอยฟ้า ก็ตกตะลึงคุกเข่าพรึบลงอย่างพร้อมเพรียงกันคล้ายถูกฝึกมานับพันนับหมื่นครั้ง
"น้อมรับเสด็จ"
ซินเยว่ที่ไม่เข้าใจทำไมทุกคนต้องคุกเข่าก็ยังยืนอยู่มองซ้ายมองขวาว่าพวกเขาคุกเข่าทำไมกัน ผ้าแพรสีแดงเลือดนกทิ้งตัวลงมาจากเรือลอยฟ้าคล้ายบันไดกลางอากาศ
บุรุษชุดขาวผมสีเงินยวงใบหน้ามีหน้ากากสีเงินเช่นเดียวกับสีผมปกปิดใบหน้าด้านบนอยู่มองเห็นเพียงริมฝีปากสีแดงสดที่มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เขาเดินช้าๆ ลงมาตามทางเดินอากาศที่ปูด้วยผ้าแพรท่วงท่าสบายคล้ายเดินอยู่บนพื้นดินก็มิปาน บุรุษผมสีเงินหยุดยืนอยู่ตรงหน้าซินเยว่ที่กำลังยืนงงทำอะไรไม่ถูกเขาคว้านางเข้าไปกอดในทันที
"ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนักเจ้าตัวโง่งม"
"เช่นนั้นหมายความว่าที่น้ำตกนั่นข้าไม่ได้ฝันไปเจ้าไปที่นั่นใช่หรือไม่ บอกข้ามานะถ้าขืนกล้าโกหกกริชของข้าจะไม่ได้ปักที่อกของเจ้าจะเป็นที่หัวของเจ้าแทน"ซินเยว่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อเป็นลูกแมวแต่ไป๋เยี่ยนหลงหาได้กลัวการขู่ขวัญของลูกแมวน้อยตัวนี้ไม่ เขายังคงใช้สายตามองนางอย่างรักใคร่บุรุษผมสีเงินกระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ ทำให้ใบหน้าของซินเยว่ที่กำลังมองเขาอยู่นั้นแดงซ่านอย่างช่วยไม่ได้ ชิ เจ้ากล้าเอาใบหน้าอันหล่อเหลานั่นมาล่อลวงข้าเช่นนั้นหรือข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกไป๋เยี่ยนหลงพยักหน้าเป็นเชิงบอกนางว่านางไม่ได้ฝันไป สายตาที่ยังมองปากเล็กๆ ที่อวบแสนอิ่มของนางเคี้ยวขนมหมุบหมับอย่างเพลิดเพลิน มือข้างหนึ่งหยิบขนมเข้าปากมืออีกข้างก็ถือถ้วยชาที่ไป๋เยี่ยนหลงคอยบริการรินให้นางอยู่ตลอด ผู้ติดตามและเหล่าองครักษ์ของไป๋เยี่ยนหลงมองการกระทำของทั้งสองด้วยสายตาแปลกประหลาดนายท่านเหตุใดต้องคอยนั่งรินน้ำชาให้สตรีนางนี้ ถึงนางจะงดงามมากเพียงใดแต่ก็ใช่ว่าไม่เคยมีสตรีที่งดงามเข้าหานายท่านเลย แล้วนางเป็นผู้ใดพวกเขาไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของนาง หรือว่านางจะเป็นองค์หญิงของแคว้นจิ่งพวกเขาได้เเต่คิดกันไปต่างๆ นานาเยี่ยจื่อมองกา
ไป๋เยี่ยนหลงเอ่ยเรียบๆ ไม่ใส่ใจท่าทางฟาดงวงฟาดงาของซินเยว่ เขายกมือเรียวยาวขึ้นทัดผมของนางไว้ที่ใบหูเล็กอย่างเบามือท่าทางทะนุถนอม สร้างความริษยาแก่ลี่ผิงและสตรีที่มาร่วมงานชุมนุมโดยรอบ"แต่เจ้ากอดนาง""นั่นไม่ใช่กอดนางสะดุดล้มข้าเพียงรับนางไว้เท่านั้น สำหรับข้านั่นไม่เรียกว่ากอดหญิงเดียวที่ข้าจะกอดในโลกใบนี้มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น เจ้าตัวโง่งม"ซินเยว่ที่ตอนเเรกกระเง้ากระงอดพอได้ฟังคำพูดอันน่าอายของไป๋เยี่ยนหลง ใบหน้าของนางตอนนี้แดงก่ำจนแทบจะคั้นเลือดออกมาได้แล้ว ใบหูเล็กๆ น่ารักของนางเมื่อยามที่นางเขินอายมันช่างน่ามองยิ่งนัก ไป๋เยี่ยนหลงหัวใจถึงกับกระตุกเมื่อมองใบหน้างามของนาง'เพียงแค่มองใบหน้าเขินอายของนางข้าถึงกับ.........นางช่างเป็นมนุษย์ที่น่ารักน่าใคร่ยิ่งนัก'ไป๋เยี่ยนหลงทนมองใบหน้างามของซินเยว่ที่กำลังเขินอายอย่างน่ารักไม่ไหวจึงก้มลงหอมแก้มเจ้าตัวโง่งมของเขาเสียฟอดใหญ่อย่างไม่สนใจสายตาผู้ใด เขาคือเจ้าผู้ครองแผ่นดินไป๋หลงหาต้องสนใจสายตามดปลวกไม่ ไป๋เยี่ยนหลงคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง" เจ้านี่มัน... ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก"ซินเยว่ยกมือขึ้นกุมแก้มของตนเอาไว้ถลึงตาใส่คนหน้าไม่อายท
ซินเยว่ที่ยังคงตกตะลึงอยู่นางจำได้กลิ่นอายของเขาเสียงของเขาบุรุษผู้นั้นที่นางคะนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซินเยว่ไม่ได้ขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขา นางเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเลื่อนลอยผู้คนรอบด้านเองต่างก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ที่เห็นเจ้าผู้ครองแผ่นดินไป๋หลงเดินเข้าไปสวมกอดสตรีที่มีใบหน้างดงามปานเซียนสาวผู้นั้นแต่ก็มิมีผู้ใดกล้าปริปากเพราะพวกเขายังคงรักชีวิตตนเอง เมื่อซินเยว่ได้สติกลับคืนมานางดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วตะโกนอย่างสุดเสียงอย่างลืมตัว"ไป๋เยี่ยนหลงเจ้าคนหน้าตายเจ้าหลอกลวงข้าเจ้าหักหลังข้า ข้าจะฆ่าเจ้า"ซินเยว่คว้ากริชออกมาจากมิติกำลังจะแทงไปที่ไป๋เยี่ยน หลง แต่ก่อนที่กริชนั้นจะแทงเข้าที่หน้าอกของเขาพลังปราณสีม่วงจากด้านหลังของเขากระแทกเข้าที่หน้าอกของซินเยว่ที่ไม่ทันระวังตัวอย่างจัง นางกระเด็นออกไปหลายจั้งแล้วกระอักเลือดออกมา เสี่ยวเป่าที่นอนหมอบอยู่บนโต๊ะกระโดดออกมากลายร่างเป็นสัตว์อสูรสีดำคำรามเสียงดังกึกก้องทะลุฟ้าจนผู้เข้าร่วมงานชุมนุมประลองยุทธต้องยกมือขึ้นปิดหูซินเยว่ใช้เเขนยันกายตัวเองลุกขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋เยี่ยนหลงอย่างโหดเหี้ยม สตรีนางนั้นที่เขาเห็นไป๋เย
นางส่ายหัวให้ตัวเองที่ดันลืมตัวว่าได้หลุดพูดภาษาโลกเก่าของตัวเองออกมา ซินเยว่คล้องแขนจิ่งเม่ยและฮุ่ยหลิงเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน โดยมีสายตาของผู้คนรอบข้างมองพวกนางอย่างนึกเอ็นดูสตรีที่มีใบหน้างดงามทั้งสามโดยเฉพาะนางผู้นั้นที่เดินนำหน้าช่างงดงามยิ่งนักหาได้ยากยิ่งในแผ่นดินนี้ พวกเขามองพวกนางอย่างเพลิดเพลินโดยที่เจ้าตัวทั้งสามไม่ได้สนใจกับสายตาของพวกเขาที่มองมาเมื่อมีผู้ที่ชื่นชมย่อมมีผู้ที่อิจฉา สตรีที่เดินชมงานที่อยู่โดยรอบทั้งจากต่างแคว้นและจากจวนขุนนางต่างมองตามทั้งสามคนด้วยสายตาริษยา ถึงแม้พวกเขาจะยอมรับว่าพวกนางงดงามแต่ก็ยากจะยอมรับเรื่องที่ถูกบุรุษข้างกายหมางเมินเอาแต่หันมองสตรีอื่นที่ไม่ใช่พวกตนเมื่อไม่มีสิ่งใดให้น่าสนใจแล้วจิ่งเม่ยจึงชวนซินเยว่กับฮุ่ยหลิงเข้าไปดูการประลองในรอบคัดเลือก เมื่อเดินเข้าไปถึงทางเข้าลานประลองซินเยว่ตาโตร้องออกมาอย่างตื่นตะลึง"โอ้โหคนมากมายถึงเพียงนี้เราจะเข้าไปได้อย่างไรงานยิ่งใหญ่กว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีกนะเนี่ย"จิ่งเม่ยส่ายหัวให้กับอาการตกตะลึงจนเกินเหตุของซินเยว่ ความจริงในจินตนาการของนางคิดว่าการจัดงานประลองยุทธอาจจะเหมือนง
"เจ้าไม่คิดจะเเนะนำคุณหนูท่านนี้แก่พี่สามของเจ้าให้รู้จักบ้างหรือ"จิ่งเม่ยรู้จุดประสงค์ขององค์ชายสามผู้นี้ในทันที"นางคือสหายของข้าจากแคว้นฉิงนามหยางซินเยว่"จิ่งเม่ยเเนะนำซินเยว่แบบขอไปที ดูอย่างไรองค์ชายผู้นี้ก็ไม่ได้บังเอิญผ่านมาอย่างแน่นอน"ข้าคือองค์ชายสามนามว่าจิงซานเยี่ยยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูหยาง"จิ่งซานเยี่ยรีบแนะนำตัวเองแก่สาวงามที่เขาพึงใจตั้งแต่เเรกเห็น และด้วยอำนาจขององค์ชายสามเช่นเขาที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าองค์รัชทายาทอย่างจิ่งเหลยนางไม่มีทางปฏิเสธเขาแน่ จิ่งซานเยี่ยคิดไปเองคนเดียวองค์ชายจิ่งซานเยี่ยยังคงยืนอยู่เพื่อรอที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหญิงงามที่เขาพึงใจ แต่ซินเยว่ที่มองลักษณะท่าทางของจิ่งเม่ยออกว่านางมิใคร่จะชอบใจบุรุษผู้นี้ดังนั้นซินเยว่จึงไม่แม้แต่จะปรายตามองเชื้อพระวงศ์หนุ่มคนนั้น นางรู้สึกรังเกียจสายตาที่เขามองมาที่นางอย่างเปิดเผยว่าต้องการอะไร สร้างความอึดอัดใจให้แก่ซินเยว่ยิ่งนัก ก่อนที่จะได้คุยกันไปมากกว่านี้ จิ่งเหลยและจิ่งเฟิงก็เดินเข้ามาช่วยนางอย่างรู้เวลา"ข้ารู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่เห็นน้องสามอยู่ที่นี่ เจ้ามาทำอันใดหรือ"จิ่งเหลยถามออกไปเสียงเรียบป
ทุกสายตาเบิกกว้างปากอ้าตกตะลึงคล้ายมองสิ่งที่เป็นอัศจรรย์ที่สุดบนดินแดนนี้ ซินเยว่หาได้สนใจสายตาพวกนั้นนางเดินตามจิ่งเม่ยเข้าไปที่ประทับที่จัดเอาไว้ให้เชื้อพระวงศ์ สองบุรุษที่กำลังประลองกันบนลานประลองมองมาที่จิ่งเม่ยฮุ่ยหลิงและคนสุดท้ายที่เดินตามมา ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองยกยิ้มขึ้นอย่างดีใจ"ซินเยว่เจ้ามาถึงแล้วหรือ"จิ่งเฟิงรีบเข้ามาทักทายสตรีที่เขารอมาหลายวันหญิงสาวพยักหน้า"ข้านึกว่าเจ้าถูกเจ้าตัวโตเขมือบไปแล้ว "จิ่งเฟิงยังคงเอ่ยหยอกเย้าซินเยว่อย่างนึกสนุก"ก็เกือบไปแต่คนอย่างข้าหนังเหนียวไม่ตายง่ายๆ หรอกและข้ามีของมาฝากพวกเจ้าทั้งสองคน"ซินเยว่ยื่นแขนไปด้านหน้าเจ้าอสรพิษดำที่พันอยู่เลื้อยออกมาจากแขนของนาง ขยายตัวใหญ่โตเท่าตอนที่พวกเขาพบมันในครั้งแรก เจ้าอสรพิษดำกระพือปีกบินขึ้นไปบนฟ้ามันบินวนไปรอบๆ ส่งเสียงคำรามดังก้องสะท้านไปทุกทิศ บุรุษหนุ่มทั้งสองเมื่อเห็นเจ้าอสรพิษดำที่มีปีกและขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก ดูท่าทางมันจะร้ายกว่าตอนที่พบในป่าพวกเขาชักกระบี่ออกมาเตรียมประจัญบานอีกรอบ ซินเยว่หัวเราะออกมาอย่างรื่นเริงที่เห็นใบหน้าซีดเผือดของเชื้อพระวงศ์หนุ่มทั้งสอง"เป็นอย่างไรพอใจกับของฝาก