คำพูดก็พูดออกมาเรียบร้อย ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว และรู้ว่าเตือนอะไรไม่ได้แล้วอันที่จริงยิ่งเป็นคนที่ฉลาดแบบจั๋วซือหราน ยิ่งก็เตือนอะไรไม่ได้เพราะว่า นางรู้หลักการทั้งหมด ความเสี่ยงอะไรนางก็คำนวณไว้แล้ว กระทั่งน่าจะคำนวณได้ชัดเจนยิ่งกว่าใครอีกด้วยแต่ถ้านางยังเลือกตัดสินใจออกมา ก็อธิบายได้ว่านี่เป็นการเลือกหลังจากผ่านการคิดพิจารณาแล้ว จะกล่อมจะเตือนได้ยากมากปันอวิ๋นเองก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า "ข้าจะหาสาวใช้ที่มือไม้คล่องแคล่วมาดูแลเจ้าให้ แล้วถ้าเจ้าทางนี้มีตำรับยาอะไรที่เอาไว้บำรุงก็ส่งออกมาเลย ข้าจะให้คนไปจัดเตรียม"จั๋วซือหรานเหลือบมองปันอวิ๋นผาดหนึ่ง ในใจก็แอบคิดว่าถ้าเป็นเพื่อนแล้วทำให้ได้ระดับ ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวสายตาจั๋วเฮ่ออิงจ้องมองจั๋วซือหรานไม่กระพริบ จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกไปแม้ตามหลักการจะไม่มีความผูกพันพ่อลูกอะไร แต่ตอนนี้พอเห็นเขาก้มหน้าเดินออกไปเงียบๆ จั๋วซือหรานก็ทนไม่ค่อยไหวขึ้นมาเหมือนกันตอนที่จั๋วหวายยกของกินเข้ามา ตอนที่เข้ามาอย่างกระตือรือร้น ก็พูดกับจั๋วซือหรานว่า "ท่านพี่ เขา...ทำไมถึงไปแล้วล่ะ?""ไปแล้ว?" จั๋วซือหรานเลิกค
จั๋วหวายถลึงตาโตขึ้นมาแล้ว มองปันอวิ๋นอย่างไม่อยากเชื่อ ในสายตาเหมือนเขียนตัวโตๆ ไว้ว่า...เจ้าจะพูดให้ชัดขนาดนี้ทำไมกันห๊ะ?!จั๋วหวายถลึงตามองปันอวิ๋นอย่างไม่อยากเชื่อ พลางลูบหลังของจั๋วซือหรานเบาๆหยิบผ้าเช็ดหน้าให้นางเช็ดปาก พอเช็ด ผ้าเช็ดน้าก็เต็มไปด้วยรอยเลือดจากนั้นน้ำตาของจั๋วหวายก็จะร่วงลงมาอีก ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนอ่อนแออะไร ครั้งนี้กลับกลายเป็นคนขี้แยไปแล้วปันอวิ๋นมองจั๋วซือหราน จากนั้นก็ยกชามบ้านั่นขึ้นมา ถามนาง "เจ้าจะดื่มลงไปแบบนี้ หรือว่าจะดื่มมันพร้อมน้ำตาของน้องชายเจ้า"จั๋วซือหรานใช้ผ้าเช็ดปากตัวเอง พลางเหลือบมองปันอวิ๋นอย่างเคืองๆแต่ก็ยังยื่นมือไปรับชาม "เจ้าสิ่งนั้น" มาหลับตาปี๋ ยืดคือ กลืนอักๆ เข้าไปกลืนไปด้วยพลางบอกตัวเองว่า จะสำรอกออกมาไม่ได้ ถ้าสำรอกออกมา...เหมือนจะต้องยิ่งกรอกลงไปมากขึ้นอีกไปทะเลาะด้านนอกก็ดี หรือไปสู้กับคนก็ดีจะเรื่องนั้นหรือเรื่องนี้ จั๋วซือหรานก็ไม่เคยรู้สึกว่าลำบากยากเข็ญ แต่ผลลัพธ์ดันมาถูกเจ้าสิ่งนี้ทำเอาล้มคว่ำไม่เป็นท่า...ทรมานมากจริงๆ!เจ้าสิ่งนี้เหนียวเหลือเกิน ไม่สามารถกลืนลงไปรวดเดียวได้เลย...หรือก็คือ...นาอยากจะเคี้ย
สีหน้าจั๋วซือหรานนิ่งไปแล้ว คิ้วขมวดขึ้นมาเบาๆตามหลักการแล้ว ต่างคนต่างก็มีตัวเลือกของตนเอง นางเองก็ไม่คิดจะไปสร้างผลกระทบอะไรกับการเลือกของจั๋วหวายกับเซี่ยอวิ๋นเหนียงแต่พอมานึก อวิ๋นเหนียงเฝ้ารอจั๋วเฮ่ออิงมานานแสนนาน ทุกวันเอาแต่ระลึกถึงสามี ทุกวันเอาแต่คิดถึง ทุกวันมีแต่ความโศกเศร้า...แต่สามีคนนี้อันที่จริงกลับไปแต่งงานมีลูกกับคนอื่นอย่างเบิกบานไปแล้วแค่คิด จั๋วซือหรานก็รู้สึกขยะแขยงมาก และยังรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเซี่ยอวิ๋นเหนียงด้วยซ้ำดังนั้นตอนนี้พอได้ยินความเป็นไปได้นี้ จั๋วซือหรานก็ยังขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นมาข้างๆ "เป็นไปได้ พอคิดว่าตนเองเตือนเจ้าไม่ได้ ไม่แน่อาจจะไปเมืองหลวงเพื่อหากำลังเสริมน่ะนะ"จั๋วซือหรานคิดๆ รู้สึกว่าก็น่าจะเป็นไปได้อยู่เพราะร่างกายยังคงอ่อนล้า จำเป็นต้องพักผ่อนดีดี ดังนั้นจั๋วซือหรานจึงง่วงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้วปันอวิ๋นนำจั๋วหวายออกไป และจัดสาวใช้สองคนเข้ามาคอยปรนนิบัติเป็นอย่างดีค่ำคืนในหุบเขาหมื่นพิษเหมือนจะสูงกว่าห่างไกลกว่าภายนอก ดูลึกซึ้งยิ่งกว่าปันอวิ๋นกลับมาถึงในห้อง ทว่ากลับไปไม่ได้ขึ้นไ
ปันอวิ๋นถึงแม้จะไม่อยู่ในหุบเขาแล้ว ปณิธานของเขายังคงอยู่จั๋วซือหรานมองสสารสีดำคล้ำชามนั่นที่ส่งเข้ามาตรงเวลา ในใจรู้สึกสิ้นหวังเดิมทีเมื่อวานก็คิดไว้ในใจแล้วว่าช่างมัน ก็แค่ดื่มยากหน่อยเท่านั้นนี่ ใครดื่มแล้วตายบ้าง?แต่วันนี้พอมาเห็นเจ้าสสารสีดำคล้ำชามนี้ ได้กลิ่นนั่นรางๆ ในสมอง ในใจ ก็ราวกับไปกระตุ้นความทรงจำน่าสะพรึงของรสชาติที่น่ากลัวเมื่อวานนี้ออกมา!การเตรียมใจที่ทำไว้แต่เดิม ที่คิดว่ามันก็แค่ดื่มยากหน่อยเท่านั้นนี่ ใครดื่มแล้วตาบ้างกัน?แต่ความคิดตอนนี้ที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวคือ...ใช่ มันทำคนที่ดื่มตายได้จริงๆแค่คิดว่าต้องดื่มให้หมดในรวดเดียว จั๋วซือหรานก็อยากฆ่าตัวตายแล้วแต่ก็ยังทำใจแข็ง บีบจมูกกรอกลงไปจั๋วซือหรานตั้งสติกลับมาไม่ได้อยู่พักหนึ่ง จมดิ่งอยู่ในช่วงแห่งความสงบจั๋วหวายเห็นสภาพพี่สาวก็ปวดใจ ทำได้แค่ปลอบมาเสียงแผ่ว ถามนางว่าอยากินอะไรไหม จะให้ลุงจวงไปทำให้จั๋วซือหรานแม้จะไม่ค่อยอยากอาหาร แต่ก็ไม่อยากให้เสี่ยวหวายกับจวงอี๋ไห่ต้องมาแบกความทุกข์ที่ทั้งกังวลทั้งช่วยเหลืออะไรไม่ได้แบบนี้จึงบอกไปส่งๆ ว่าอย่างกินอะไร ให้พวกเขาสองคนออกไปจัดการพอพวกเขาไป ในห
สีดำไปทั้งตัว ทั่วร่างเหมือนจะแผ่ความน่าสะพรึงออกมาบางส่วนแต่ตอนที่เดินเข้ามาในบ้าน ท่าทางการเปิดประตูกลับดูอ่อนโยนเพียงแค่เหลือบตามองไป ก็รู้ว่าลิ้นชักถูกขยับแตะต้องเขาเดินเข้าไป ดึงลิ้นชักออก และเห็นม้วนหนังแพะที่อยู่ด้านในหลังจากหยิบออกมา เขาก็เห็นผนึกพิเศษบนนั้น นิ้วมือบีบเบาๆ สองสามครั้ง ปลายนิ้วก็เปล่งแสงวูบ ก็จัดการผ่าผนึกบนม้วนหนังแพะออกเรียบร้อยเปิดม้วนหนังแพะออกอักษรด้านในเป็นสีแดงทึบ มองออกไม่ยากว่าใช้อะไรเป็นหมึกมาเขียนและเนื้อหาของอักษรเลือด กลับทำให้ประกายตาของชายหนุ่มชะงักไปฉับพลัน ม่านตาหดลงอักษรเลือดเหล่าหนั้น ราวกับเข็มทิ่มแทงเข้ามาในดวงตาเขาพริบตานั้น ราวกับแทงจากดวงตาเขาพุ่งเข้าไปในดวงใจ จากนั้นก็แผ่ลาม กระทั่งสมองก็ยังเจ็บเหมือนถูกทิ่มแทงไปด้วยถ้าคนที่ไม่รู้ คงคิดว่าหนังแพะนี้มีอาวุธลับอะไรซ่อนอยุ่ แต่เขารู้ ว่ามันไม่มีไม่มีอาวุธลับอะไร เป็นแค่เนื้อหาจากตัวหนังสือเลือด ที่ทำให้เขาเจ็บปวดเท่านั้น"จั๋วซือหรานป่วยหนัก รีบมาหุบเขาหมื่นพิษ"นิ้วของเขาบีบม้วนหนังแพะไว้แน่น จนแทบจะพังมันกับมือ!จากนั้น ก็เหมือนความลังเลทั้งหมด ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้
ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ของนาง กลับตอบอะไรมาไม่ได้เลยนางฉลาดขนาดนี้ คนอื่นยังไม่ทันได้ขยับ นางก็น่าจะรู้แล้วว่าคนอื่นคิดจะทำอะไรถ้าหากขยับล่ะก็ คงจะหนีสายตาของนางไม่พ้นกระมังดังนั้นปันอวิ๋นจึงกังวลว่าตนเองยิ่งพูดมากก็ผิดมาก จนเผยพิรุธมากขึ้น ดังนั้นจึงเลือกปิดปากไม่พูดดีกว่าไม่ใช่ว่าบอกจั๋วซือหรานไม่ได้ แต่แค่กังวล ถ้าหากบอกนางไป แล้วสุดท้ายคนไม่ยอมเข้ามา คงจะทำให้ผิดหวังเปล่าๆ ก็เท่านั้นแม้ปันอวิ๋นอันที่จริงจะไม่รู้ และก็ไม่มั่นใจ ว่านางคาดหวังอะไรจากเจ้าโง่นั่นบ้างนางคิดจะเก็บสิ่งที่อาจจะเอาชีวิตนางไว้ เลือดเนื้อเชื้อไขของนางอันที่จริงจากด้านอื่นๆ ก็พอจะพิสูจน์ได้ ว่านางยังมีความรักให้กับเจ้าโง่นั่น ในเมื่อมีความรักให้ ก็ยากที่จะไม่มีความหวังปันอวิ๋นนั่งอยู่ข้างๆ นาง ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปใครก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้นหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ปันอวิ๋นก็รู้สึกว่าหัวไหล่หนักขึ้นมาพอเอียงตามอง ก็เห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ พิงมาบนไหล่เขาแล้ว ไม่รู้ว่า...สลบไปหรือว่าหลับไปแล้วคิ้วปันอวิ๋นขมวดเบาๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่นางยังตื่น ดวงตาโตคู่นั้นยังคงดูมีชีวิตชีวาถึงจะไม่ค่อยชัดเจนนักทว่า
จั๋วซือหรานนั่งอยู่ใต้ต้นอู๋ถงในมิติของตนเอง บีบผลไม้ที่ขนมถั่วแดงเด็ดลงมาให้ โยนเข้าไปในปากอดพูดไม่ได้เลย ผลไม้ที่ขนมถั่วแดงเด็ดให้นี่ก็ดูสร้างสรรค์ดีจริงๆ มันอยู่บนบ่านาง จากนั้นใช้หนวดไหมกู่ยาวเหยียดเด็ดผลเข้ามา แต่ไม่ได้วางลง จับห้อยแขวนไว้กลางอากาศแบบนั้นพอจั๋วซือหรานยื่นมือไปก็จับได้พอดี ให้ความรู้สึกเหมือนเด็ดออกมาจากต้นเองเลยจั๋วซือหรานเคี้วผลไม้หอมหวาน อยู่ด้วยกันกับเจ้าก้อนเนื้อทั้งหลาย จ้องดูไข่ใบนั้นที่อยู่ใต้ต้นอู๋ถงกลางมิติของนางต้นอู๋ถงต้นนั้น ช่วงนี้ดูจะเฉาๆ ไปบ้างจั๋วซือหรานรู้ เป็นเพราะสภาพสุขภาพของตนเองที่แย่ลงเรื่อยๆ เป็นสาเหตุแต่ว่าไข่ใบนั้น..."นั่นไข่ของพวกเจ้ารึ?" จั๋วซือหรานถามพวกก้อนเนื้อบนไหล่นางทยอยกันส่ายหัว"ไม่ใช่ของพวกข้า!""พวกเราถ้าออกไข่จะตายนะ""ไม่ใช่พวกข้าแน่"จั๋วซือหรานเองก็รู้ว่าพวกมันถ้าออกไข่ก็จะตาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันถ้าออกไข่จะไม่ใช่แค่ใบเดียวแบบนี้ แต่จะต้องมาแบบจำนวนมหาศาลแน่"ไม่ใช่แมงมุมน้อยด้วย..." จั๋วซือหรานรู้ว่าไข่ของแมงมุมหน้าผีเป็นอย่างไร มันจะมีรูปร่างทรงกลมแต่ไข่ตรงหน้าใบนี้ เป็นไข่ทรงรีอย่างเห็นได้ชัด เห็
ได้ยินคำนี้ของเขา คนคุ้มกันประตูเมืองก็แหงนตาเหลือบมองเขาเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลจั๋ว โดยเฉพาะคนค่ายคุ้มกันกับค่ายคุ้มกันเมือง เพราะเคยได้รับบุญคุณช่วยชีวิตจากจั๋วซือหราน จึงมีความอ่อนไหวต่อแซ่จั๋วขึ้นไปอีกยิ่งไปกว่านั้นต้องรู้ด้วย พวกผู้ชายในตระกูลจั๋ว ก็ล้วนเป็นพวกที่มีชื่ออวิ๋นอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะจั๋วอวิ๋นเฟิงกับจั๋วอวิ๋นชิงที่ถูกจั๋วซือหรานสั่งสอนไปแล้วแล้วยังมีจั๋วอวิ๋นฉีที่จั๋วซือหรานพากลับมาแล้วดันขึ้นเป็นผู้อาวุโสแต่ชายหนุ่มรุ่นที่แล้วของตระกูลจั๋ว เป็นรุ่นที่มีชื่อเฮ่ออย่างคุณท่านจั๋วลิ่วที่ถูกจั๋วซือหรานลากลงมาตอนนั้น ก็มีชื่อว่าจั๋วเห้อหรงแต่ว่าจั๋วเฮ่ออิง ไม่ได้ยินมานานมากแล้วดังนั้นคนคุ้มกันจึงไม่รู้จัก รู้สึกว่าอาจจะเป็นญาติห่างๆ ก็ได้เพียงแต่ว่า ในเมื่อเป็นคนจากตระกุลจั๋ว ก่อนหน้านี้ไม่สนใจ แต่ตอนนี้ตระกูลจั๋วมีแม่นางจั๋วจิ่วเข้ามาดูแลแล้วท่าทีการพูดของพวกเขาต่อคนตระกูลจั๋ว ก็จะอ่อนโยนลงหน่อยดังนั้นจึงเอ่ยกับจั๋วเฮ่ออิงว่า "ญาติของตระกูลจั๋วสินะ?"จั๋วเฮ่ออิงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก ถึงอย่างไรตนเองก็หายสาบสูญไปตั้งหลายปีแล้ว
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"