จวงอี๋ไห่นิ่งงันไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยอะไร กลับคุกเข่าทั้งสองลงก่อนคุกเข่าลงต่อหน้าจั๋วซือหรานการกระทำนี้ ทำให้จั๋วซือหรานประหลาดใจอยู่บ้าง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นฉับพลัน"นี่เจ้า..."จวงอี๋ไห่โขกหัวให้นางอย่างตั้งใจ เอ่ยขึ้นว่า "คุณหนู ข้าต้องขอขอบคุณท่านก่อน..."จั๋วซือหรานเลิกคิ้วที่จวงอี๋ไห่อยากขอบคุณเขา จั๋วซือหรานไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะตนเองช่วยลูกชายทั้งสองของเขาไว้ แล้วยังพาเขากับลูกทั้งสองออกมาจากเมืองอวิ๋นด้วยแต่นั่นก็ขอบคุณมาแล้ว เป็นเรื่องก่อนหน้านี้ไปแล้วตอนนี้หัวข้อที่พวกเขาคุยกันอยู่ ไม่เกี่ยวกับลูกทั้งสองของเขา แต่เกี่ยวกับชิ่งหมิง...เขากลับโขกศีรษะขอบคุณนางจั๋วซือหรานไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าขอบคุณเรื่องที่นางรักษาชิ่งหมิงจนหายดีนั่นเองแต่จั๋วซือหรานก็ยังกจงใจแกล้งโง่ถามมาอีก "เพราะลูกชายสองคนของเจ้าหรือ? เจ้าขอบคุณข้ามาตั้งกี่รอบแล้ว จนหูข้าแทบจะด้านหมดแล้วนะ ทำไมถึงยังคุกเข่าโขกศีรษะอีก..."จวงอี๋ไห่หัวเราะขืนๆ เขารู้ว่าคุณหนูเป็นคนที่ฉลาดแค่ไหน และรู้ว่าคำนี้ของนางคือจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพื่อเปิดประเด็นให้เขาพูดออกมาได้ง่ายขึ้น"ลุกขึ้นมาพูดก่อนดีก
"อา ได้ขอรับ" จวงอี๋ไห่รู้ว่านางไม่ใช่คนที่พิถีพิถันเรื่องเกรงใจ ถ้าบอกไม่ต้องก็คือไม่ต้องจวงอี๋ไห่จัดการหั่นล้างวัตถุดิบที่นางต้องการให้อยู่ข้างๆจั๋วซือหรานเองก็ถามขึ้นมาว่า "ลูกชายสองคนของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง?""ต้องขอบคุณคุณหนู ดีขึ้นมาแล้วขอรับ..." จวงอี๋ไห่ตอบเพียงแต่เขายังคงดูเหมือนกลัดกลุ้มกังวลใจอยู่จั๋วซือหรานมองท่าทีของเขาออก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเพียงแค่ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อนางทำเนื้อย่างมาส่วนหนึ่ง แล้วยังทำเกี๊ยวทอด แล้วยังตุ๋นน้ำแกงรสชาติดีไว้อีกหม้อใหญ่ด้วยเนื้อย่างใช้วิธีการปรุงอาหารของพรมแดนใต้มาทำ จั๋วซือหรานยังใช้น้ำจากผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะในพรมแดนใต้มาทำเครื่องปรุงด้วยนี่ก็เป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งที่พรมแดนใต้ทางนี้ใช้กัน ตอนอยู่ในต้าชางนางไม่เคยเห็นมาก่อนเลยรู้สึกเหมือนพวกผลไม้เขตร้อนในชาติก่อนเลย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่นจั๋วซือหรานรู้สึกว่าถูกปากอยู่ โดยเฉพาะพอมาใช้กับอาหารที่เลี่ยนได้ง่ายอย่างเนื้อย่าง ก็สดชื่นและลดความเลี่ยนได้ดีจั๋วซือหรานทำออกมาไม่น้อย หลังจากทานเสร็จก็แบ่งออกเป็นสามส่วน"ข้าไปส่งแล้วกัน" จวงอี๋ไห่
จั๋วซือหรานหลังจากคุยกับท่านแม่จบ ก็เห็นว่าเวลาผ่านไปพอควรแล้วแต่ก็ไม่ได้ได้บอกให้ท่านแม่รีบไปพักผ่อน หลังจากนางครุ่นคิด ก็ถามขึ้นว่า "ท่านหิวไหม?"เซี่ยอวิ๋นซีพอกำลังจะบอกว่าไม่หิว แต่คิดว่าจั๋วซือหรานคงหิวแล้ว จึงถามขึ้นว่า "เจ้าหิวแล้วหรือ? งั้นข้าไปยกของกินเข้ามาให้..."จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง "ข้าไม่เท่าไรหรอก..." นางยื่นมือไปลูบที่ท้อง "แต่รู้สึกว่าน่าจะต้องกินเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็อยากทำอะไรให้พวกท่านกินด้วย"ไม่ว่าอย่างไร จั๋วซือหรานก็ยังเชื่อว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง กินของอร่อยๆ แล้วอารมณ์ก็จะดีขึ้นได้มากเซี่ยอวิ๋นซีกลัวว่านางจะเหนื่อย ยังคิดจะไปห้องครัวพร้อมกับนางแต่จั๋วซือหรานรู้ดี ว่าฝีมือทำกับข้าวของท่านแม่ ไม่ได้เก่งกาจมากนักจึงพูดขึ้นว่า "ไม่เป็นไร ไม่ต้องตามข้ามาหรอก ข้ามีเหล่าจวงกับจวงน้อยอีกสองคนช่วยเป็นลูกมือก็พอ"จั๋วซือหรานตรงไปทางห้องครัว สายตาก็เหลือบมองไปรอบห้องแวบหนึ่งจากนั้นคิ้วก็เลิกขึ้นเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรแต่เซี่ยอวิ๋นซีก็คิดๆ ถามขึ้นอย่างกังวลว่า "หรานหราน สภาพของเจ้าตอนนี้ ห่างจากคนได้บ้างไหม?"เซี่ยอวิ๋นซีเองก็ได้ยินจั๋วหวายพูดถึงสถาน
นั่นมันคือ...อิสระนะยิ่งไปกว่านั้นเขายังเสียความทรงจำต่อหรานหรานไปแล้วด้วย...เขาไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?จั๋วซือหรานพอได้ยินคำพูดของท่านแม่ ก็ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็อยากยิ้ม ดังนั้นจึงยิ้มขึ้นมา นางยิ้มพยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า "ใช่แล้ว"นางยื่นมือชี้ไปที่หัว "น่าจะเพราะสมองพังไปแล้วกระมัง แต่เขาพูดมาก็ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก"จั๋วซือหรานขยิบตาให้แม่ "เขาเองก็ไม่ใช่ใครของข้าเสียหน่อย ใช่ไหม?"เซี่ยอวิ๋นซีพอได้ยินคำนี้ อารมณ์ที่เดิมทีลดลงไปแล้ว ก็พุ่งขึ้นมาหน่อยๆ อีกครั้ง ตากลมขึ้นมาทันที คิ้วเหมือนจะตั้งขึ้นด้วย!เอ่ยมาว่า "ใช่! พูดได้ถูกต้อง! เขาไม่ใช่ใครทั้งนั้น! เจ้า..." เซี่ยอวิ๋นซีที่โอนโยนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ค่อยจะได้ด่าใครนัก จึงคิดคำด่าแย่ๆ ออกมาไม่ทันชะงักไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อมาว่า "...อันธพาล! ไอ้บ้ากาม! มีสิทธิ์อะไรมารังแกลูกของข้า?! เขาไม่ใช่ใครทั้งนั้น...แล้วเขายังค้างคาอยู่กับตระกูลเหยียนด้วยซ้ำ!"พอได้ยินท่านแม่ด่าเฟิงเหยียนแบบนี้ จั๋วซือหรานที่นั่งอยู่ข้างๆ มุมปากก็ยกขึ้นหัวเราะอย่างเบิกบาน สายตาก็ยังเหลือบมองไปด้านนอกประตูแวบหนึ่งอีกด้วย...นอกประตูนั้น เอาจริงๆ คือ ตรง
พอเทียบกันแล้ว ที่ข้ามผ่านกาลเวลามาไม่รู้ไกลแค่ไหน หญิงสาวคนหนึ่งที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมล้าสมัยในโลกที่ล้าสมัยแบบนี้ในฐานะแม่คนหนึ่ง การรักและห่วงใยลูกสาวตนเอง ขอแค่ลูกสาวปลอดภัยแข็งแรง จิตใจเบิกบาน เรื่องอื่นก็ล้วนไม่สำคัญ...เซี่ยอวิ๋นซีถือว่าดีมากๆ แล้วจั๋วซือหรานไม่พูดอะไร นั่งลงข้างๆ เซี่ยอวิ๋นซี ใช้หัวพิงเบาๆ ไปบนไหล่นาง"ข้าก็แค่...อยากลองดู" จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงต่ำ "ข้ารู้ว่ายากมาก ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะตายร้อยทั้งร้อย แต่ข้ารู้สึกว่าถ้าเป็นข้าแล้ว บางทีอาจจะรอดได้สักส่วนนึง"เซี่ยอวิ๋นซีขมวดคิ้วแน่นนางไม่ได้พูดว่าไม่จั๋วซือหรานเห็นเบ้าตานางแดงก่ำ แต่กลับไม่พูดกับตนเองว่าไม่...พริบตานี้เอง จั๋วซือหรานก็อดดวงตาร้อนวูบขึ้นมาไม่ได้นางสูดหายใจลึก พยายามอดกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้เซี่ยอวิ๋นซีดวงตาแดงก่ำแล้วแท้ๆ เพราะว่ากังวลมากแต่ก็ยังเชื่อมันการตัดสินใจของนาง เคารพตัวเลือกของนางดังนั้น จึงไม่พูดคำว่าไม่กับนางจั๋วซือหรานกัดฟันเบาๆ รู้สึกขึ้นทันทีว่า อย่างน้อย...อย่างน้อยตนเองต้องไม่ปล่อยให้แม่ต้องมากังวลอยู่แบบนี้ดังนั้นนางจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั
ไม่แปลกเลยที่ชิ่งหมิงจะดูซึมเศร้าเพราะเวินป๋อยวนเกิดเรื่องขึ้น...จั๋วซือหรานคิดๆ ตัดสินใจคุยกับท่านแม่ก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยไปคุยเรื่องอื่นกับจวงชิ่งหมิงสำหรับเรื่องนี้ ชิ่งหมิงก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรเพราะเขาดูซึมเศร้าหน่อยๆ ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนไม่มีความเห็นกับอะไรทั้งนั้น ดูไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรด้วยซ้ำกลับมาในห้อง เซี่ยอวิ๋นซียังคงกังวล เอ่ยถามจั๋วซือหรานเสียงต่ำ "หรานหราน ใต้เท้าเวินคงไม่เกิดเรื่องขึ้นใช่ไหม?""น่าจะกระมัง..." จั๋วซือหรานให้คำตอบชัดเจนกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ถ้าศัตรูที่เผชิญหน้าคือตระกูลเหยียน ตระกูลจั๋ว ตระกูลซางหรือแม้แต่ตระกูลเฟิงล่ะ? นางอาจจะยังพอให้คำตอบที่แน่นอนกว่านี้ได้แต่ศัตรูที่เผชิญหน้าอยู่คือสภาผู้อาวุโส เช่นนั้นก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดแล้วเซี่ยอวิ๋นซีเองก็มองออก ว่าลูกสาวตั้งใจจะอยู่คุยกับนางอย่างจริงจังตามลำพังดังนั้นเซี่ยอวิ๋นซีจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องของคนอื่น นางกุมมือลูกสาวไว้แววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลไม่อาจเก็บซ่อนได้อีก หลั่งทะลักออกมาจากในดวงตา"หรานหราน..." เสียงของเซี่ยอวิ๋นซีดูสั่นเครือขึ้นมาเอาจริงๆ จั๋วซือหรานก็รู้สึกว่า ถึงอย่า
กระทั่งหย่าร้างก็ไม่ใช่ แต่พูดว่าจะตัดขาดเลยอารมณ์ของเซี่ยอวิ๋นซีนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนจั๋วซือหรานยังรู้สึกแปลกประหลาดอยู่หน่อยๆ นางไม่ได้ประหลาดใจนักกับอารมณ์ของท่านแม่แต่ที่ท่านแม่โกรธถึงระดับนี้ ก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างด้วยกฏเกณฑ์ของต้าชางอันที่จริงก็ไม่ได้บอกว่าหญิงสาวไม่สามารถตัดขาดกับสามีได้ ชายหนุ่มเองก็ไม่ใช่ว่าตัดขาดกับภรรยาไม่ได้เพียงแต่ภายใต้สภานการณ์ปกติ เพื่อเห็นแก่หน้าตา ปกติจะจบที่หย่าร้างถ้าหากมีเรื่องจนถึงขั้นต้องตัดขาด นั่นแสดงว่าสถานการณ์ต้องร้ายแรงมากจากที่จั๋วซือหรานรู้ พอเทียบกับความรู้สึกที่เซี่ยอวิ๋นซีมีต่อจั๋วเฮ่ออิงมาตลอด ก็มักรู้สึกว่าเรื่องราวไม่น่าจะร้ายแรงถึงระดับนี้และคนเป็นแม่ก็ย่อมรู้จักลูกมากที่สุด เซี่ยอวิ๋นซีเหมือนจะอ่านใจความคิดของจั๋วซือหรานออก เอ่ยขึ้นว่า "แม้ความรู้สึกของแม่ที่เคยมีให้เขาจะมั่นคงมากก็ตาม...""นั่นเพราะข้าคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่แค่ยังไม่ตาย ยังร่วมมือกับผู้หญิงคนอื่นวางแผนทำร้ายลูกของข้าอีก..." เซี่ยอวิ๋นซีกัดฟัน "สู้ตายๆ ไปยังจะดีเสียกว่า"เซี่ยอวิ๋นซีพูดถึงขนาดนี้แล้ว จั๋วซือหรานรู้ว่านางคงโกรธแล้วจริง
ปันอวิ๋นเบ้ปาก "...อันที่จริงก็แค่คนโง่คนนึง"เฟิงเหยียนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ พยักหน้าให้ และเห็นว่าจั๋วซือหรานเหมือนจะประหลาดใจหน่อยๆ กับคำนี้ของปันอวิ๋นจึงหันมาอธิบายเพิ่มเติมกับนาง "นอกจากกระบี่แล้ว ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง"จั๋วซือหรานเข้าใจแล้ว คนแบบนี้ มันก็เพวกคลั่งการต่อสู้ตามนิทานต่างๆ นั่นล่ะสรุปคือ หลังจากคุยกันไปต่างๆนานาในถ้ำนี้แล้วเกี่ยวกับเรื่องและทิศทางบางส่วน ไม่ว่าจะจั๋วซือหรานกับเฟิงเหยียน หรือแม้แต่ปันอวิ๋น ในใจก็พอรู้เรื่องราวต่างๆ แล้วจนดวงตะวันลับฟ้า จั๋วซือหรานกับเฟิงเหยียนจึงออกมาจากในถ้ำพอออกจากในถ้ำ จั๋วซือหรานก็เห็นหญิงสาวยืนอยู่ห่างออกไปลิบๆแม้รูปร่างดูแล้วจะบอบบางและอ่อนแอ แต่พอยืนอยู่ตรงนั้นกลับดูแข็งแกร่งดุจอนุสาวรีย์ต้องลมและไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้วพอเห็นจั๋วซือหรานออกมา นางก็เดินเข้ามาทันที"ท่านแม่..." จั๋วซือหรานประคองนางไว้ "รอนานแค่ไหนแล้วน่ะ? ทำไมไม่เข้าไปในห้อง ข้าออกมาก็จะไปหาท่านพอดี"เซี่ยอวิ๋นซีพอได้ยินคำนี้ก็ยิ้มขึ้นมา ไม่ได้พูดความกังวลของตนเองน่าจะเพราะไม่อยากให้ความกังวลของตนเอง ไปสร้างแรงกดดันมาเกินไปกับตัวล
เฟิงเหยียนรู้ความหมายของปันอวิ๋น พวกเขาตอนนั้น แม้จะเป็นพวกเด็กน้อยไฟแรง แต่ท้ายสุดก็ยังมีพลังที่อ่อนแอเกินไปในสายตาสภาผู้อาวุโสเหล่านั้น คงจะเหมือนแค่มดง่ามพยายามเขย่าต้นไม้กระมังดังนั้นอันที่จริงหลังจากผ่านไปนานขนาดนี้ ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์พี่น้องจะตระหนักได้ถึงความผิดพลาดใจอดีตเฟิงเหยียนตระหนักได้ถึงความจริง อันท่จริงผ่านไปนานขนาดนี้ เขาก็ไม่ได้แค้นเคืองเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพราะว่า ตอนนี้พอนึกย้อนไป ต่อให้เหล่าพี่น้องทั้งหมดตอนนั้นล้วยนืนอยู่ข้างเขา สนับสนุนเขา อยู่ร่วมแนวเดียวกันกับเขา...แล้วมันจะทำไมล่ะ?พวกเขาตอนนั้น ล้วนเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มุ่งมั่น แต่ปีกยังไม่กล้าแข็งพอ ยังเป็นแค่เด็กเท่านั้นพวกเขาต่อให้ตื่นรู้ขึ้นมา แล้วจะทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นกระทั่งเป็นไปได้ว่า โอกาสที่จะได้โบยบินก็ยังไม่มี คงถูกสภาผู้อาวุโสหักปีกทิ้งกันหมดหลังจากเห็นความจริงชัดเจน คนก็จะเปลี่ยนเป็นสงบลงมา ความเคียดแค้นเหล่านั้นก็จะกระจายหายไปดังนั้นเฟิงเหยียนหลังจากได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น บนหน้าก็เผยรอยยิ้มจาง เอ่ยถามเสียงต่ำว่า "ไกลหน่อยสินะ?""สองคนนั้นไกลอยู่" ปันอวิ๋นตอบ "สถาน