จั๋วซือหรานเดิมทีรู้สึกว่าเกราะกระดูกทั้งตัวของอสูรกลืนแมลงนั่นค่อนข้างพิเศษเพียงแต่ว่า ถึงยังไงนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมันนางก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้มากใครจะคิดว่าเจ้านี่จะอาสาบอกนางเองว่าเกราะกระดูกบนตัวมันมีวงจรผลัดของมันอยู่ความหมายประมาณว่าคล้ายๆ กับการลอกคราวของพวกสัตว์แมลงประมาณนั้นพูดให้ง่ายกว่าก็คือ ถ้าไม่ใช้ก็เสียเปล่าแล้วจั๋วซือหรานจะเกรงใจมันหรือ?นางรวบแขนเสื้อขึ้น ใช้มีดเข้าไปขูดออกมาสองชิ้น คิดจะนำมาลองดูก่อนยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้วัตถุดิบนี้มา ความคิดแรกสุดที่โผล่ขึ้นมาในสมองจั๋วซือหรานก็คือ รู้สึกว่าคุณสมบัติวัตถุนี้ ถ้านำมาทำเป็นร่มล่ะก็...น่าจะใช้การได้ดีอยู่ น่าจะเหมาะกับเฟิงเหยียนมากดังนั้น นางจึงถือโอกาสไปเรียกชิ่งหมิงมาเป็นผู้ช่วย ถึงยังไงในด้านการหลอมวัตถุ ชิงหมิงก็เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจริงๆตอนที่เห็นวัตถุดิบนี้ ชิ่งหมิงก็รู้สึกว่าไม่ค่อยง่ายนักแต่ก็คิดไม่ถึงว่า สองคนรวมพลังกันหลอมสกัดตั้งนานสองนาน กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเลยทำเอาจั๋วซือหรานรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาและหลังจากนั้น เฟิงเหยียนก็เข้ามาแล้วและตอนนี้เฟิงเหยียนก็จ้องวั
และตอนนี้ ไฟในเตา สีสันกลับเป็นหลากสีเป็นสีที่สวยมาก แต่กลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอันตราย...เฟิงเหยียนขมวดคิ้วขึ้นมาจั๋วซือหรานบอกว่า "โอ้ นี่คือไฟห้าสีของข้า"คิ้วที่ขมวดของเฟิงเหยียนยังไม่คลายออก มองดูนาง "เจ้า..."เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรถึงจะดี จะตำหนิ...ก็ทำใจไม่ลงจะไม่ตำหนิ ก็รู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้มันอันตราย"การผสมไฟวิเศษเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ไฟวิเศษสองสีก็อันตรายมากแล้ว แต่นี่ห้าสี?!"จั๋วซือหรานฟังออกถึงความตึงเครียดในน้ำเสียงชายหนุ่มนางยิ้มตาโค้ง "ในใจข้ารู้ขีดจำกัดตัวเองอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ไม่ใช่ของข้าโดยตรง ดังนั้นอันตรายจึงลดลงไปพอควร"เฟิงเหยียนฟังความหมายในคำพูดนางออก นางเองก็รู้ว่าตอนนั้นไฟวิเศษล้วนมาจากบนตัวของแมลงกู่ก้อนเนื้อพวกนั้นแต่ก็ยังรู้สึกว่า..."เหลวไหล"พูดถึงตรงนี้ แต่ในคำพูดกลับไม่มีท่าทีเชิงตำหนิอะไรหลังจากความประหลาดใจต่อไฟห้าสีของนางผ่านไป เฟิงเหยียนจึงสังเกตเห็นของในเตาหลอม ว่าไม่ใช่ยาเม็ดอะไรแต่เป็นของที่ดูแล้ว.... ชั่วขณะหนึ่ง เหมือนยังไม่รู้ว่าเป็นวัตถุดิบอะไรเฟิงเหยียนมองอยู่พักหนึ่ง ก็อดขมวดคิ้วถามขึ้นไม่ได้ "นี่ม
เอ่อ...จั๋วซือหรานคิดในใจ ซือคงเซี่ยนก็ยังน่าเชื่อถืออยู่นะแต่คำนี้ก็แค่คิดไว้ในใน บนปากกลับรู้สึกว่า...ถ้าพูดอกไปน่าจะไม่ค่อยเหมาะนางรู้สึคว่าถ้าพูดออกไป บนหน้าชายคนนี้น่าจะไม่ได้มีสีหน้าแบบนี้แล้วถึงอย่างไร นี่ก็เป็นคนที่สามารถหึงได้กระทั่งตัวเขาเองเลยนะจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้อันที่จริงไม่ค่อยสนใจว่าเขาคิดยังไง จะหึงหรือไม่หึงสมองก็พังไปแล้ว หมั้นกับหญิงสาวคนอื่นไปแล้ว มีอะไรให้สนใจกันแต่ตอนนี้...ก็เหมือนจะแตกต่างออกไปแล้วนี่ก็สารภาพความในใจกับนางมาแล้วนะดังนั้นจั๋วซือหรานพอคำพูดขึ้นมาถึงมุมปากก็รู้สึกพูดออกมาลำบากนานงหันไปมองท่านแม่กับเสี่ยวหวาย พู่ระย้าประดับมุกบนปิ่นปักผม แกว่งไปมา"แล้ว...จะไปที่หลวนหนานกับข้าหรือ?" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "แต่ว่า สิ่งแวดล้อมมันสู้เมืองหลวงไม่ได้นะ จะทำท่านแม่ลำบากเอา"พอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ตาของเซี่ยอวิ๋นซีก็เปล่งประกายขึ้นมาทั้งใบหน้าเหมือนเปล่งแระกาย"มีอะไรลำบากกัน!" เซี่ยอวิ๋นซีเอ่ยขึ้นตาเป็นประกาย "วันคืนที่ยากลำบากกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว"ตอนนั้นที่เป็นแม่ม่าย ทุกวันเหมือนตายทั้งเป็น แต่ก็กลับล้มไม่ได้ นางก็ผ่านมาแล้
เพียงแค่เพราะ นางเป็นห่วงสภาพตอนนี้ของลูกสาวลูกสาวคนโตของนางคนนี้เป็นเด็กดี แต่โลกใบนี้ คนดีดี ก็มักจะเป็นคนที่ต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรมในโลกนี้อย่างสาหัสและเพราะลูกสาวคนโตเป็นเด็กดี ดังนั้นนางที่เป็นแม่ ก็ไม่รุ้ว่าลูกคนนี้แบกรับและอดทนอะไรมาเพียงลำพังแค่ไหนดังนั้นถึงได้ไม่รู้อะไรเลย กระทั่งเรื่องที่ลูกสาวตั้งท้องแล้วถูกกลั่นแกล้งจนแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้วยังมารับรู้ผ่านสามีที่หายตัวไปนานหลายปีแล้วอีกถ้าหากไม่มีเขามาแจ้งข่าวเซี่ยอวิ๋นซีมั่นใจ ด้วยนิสัยของจั๋วซือหรานที่ชอบเก็ฐเรื่องไม่ให้คนอื่นเป็นห่วงนางที่เป็นแม่ คงไม่มีทางได้รู้เรื่องนี้!ดังนั้นเซี่ยอวิ๋นซีจึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ นางเลิกคิ้วเบาๆ ส่ายหัว "ไม่ หรานหราน แม่จะไปกับเจ้า"จั๋วซือหรานรู้สึกจนใจ นางเองก็มองออก ว่าเรื่องครั้งนี้ทำท่านแม่หวาดกลัวไปแล้วแต่ชั่วขณะหนึ่ง ก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าจะกล่อมอย่างไรผ่านไปพักหนึ่ง ถึงพูดออกมาว่า"ท่านแม่ หลวนหนานแม้จะเป็นพื้นที่ศักดินาของข้า แต่นี่ก็เป็นการเดินทางไปครั้งแรกของข้า ยังไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรอยู่บ้าง ทั้งหมดยังไม่แน่นอน จะอย่างไรข้าก็ยังเป็นห่วงความปลอดภัยข
ถึงอย่างไร ถ้าหากถังฉือมีนิสัยแบบนั้น แล้วยังอยู่ในภารกิจล่ะก็ถ้าตรงมาที่หุบเขาหมื่นพิษจริง เกรงว่าคงจะไม่มีทางปราณีศิษย์สำนักหุบเขาหมื่นพิษเหล่านี้แน่ปันอวิ๋นถึงแม้จะไม่ใช่พ่อพระอะไร แต่เขาในฐานะเจ้าหุบเขาหมื่นพิษ ก็ยังมีความรับผิดชอบต่อศิษย์สำนักหุบเขาตนเองอยู่ปันอวิ๋นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เดิมทีเตรียมจะบอกว่า ไปที่กระท่อมไม้ไผ่ก็จบที่นั่น สำหรับพี่น้องอย่างพวกเขาแล้ว ล้วนมีความหมายที่แตกต่างกันอยู่ ต่อให้ถังฉือเข้ามา ก่อนที่จะลงมือก็คงชั่งใจอยู่บ้างคำพูดขึ้นมาถึงมุมปากแล้ว แต่เขาก้ไม่ทันได้เอ่ยปากเฟิงเหยียนที่เอาแต่คลายปมพู่ลูกปัดอย่างใจเย็นอยู่ข้างๆ ไม่มีความเห็นอะไรมาโดยตลอด จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นเขาหันไปมองจั๋วซือหราน "หรือว่าเรา ไปดูพื้นที่ศักดินาของเจ้าหน่อยดีไหม?"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ตกตะลึงเฟิงเหยียนถาม "เจ้าเคยคิดไว้บ้างไหม?"จั๋วซือหรานคิดถึงแผนการก่อนหน้าของตนเอง ก็เคยตัดสินใจว่าจะไปพื้นที่ศักดินาของตัวเองอยู่จริงๆแต่ตอนนั้นยังเป็นสถานการณ์ที่เรื่องไม่เยอะเท่าตอนนี้"ก่อนหน้านี้เคยคิดอยู่" จั๋วซือหราน "แต่ตอนนั้นกับตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกัน"เฟิงเหยียนคิดๆ
หลังจากพันเข้าด้วยกัน จึงแก้ยากเอามากๆ คิดจะใช้เฉพาะกำลังก็ไม่ได้ ทำได้แค่ต้องอดทนเฟิงเหยียนนั่งอยู่ตรงนั้น ก้มตาต่ำ สายตาจดจ้องไปที่พู่ลูกปัดระย้าละเอียดในมือนิ้วมือขาวเรียวยาวที่ปลิดชีวิตผู้คนได้ กำลังคลายปมพู่ลูกปัดเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาบางครั้งพอคลายไล่ไปเรื่อยๆ พอพบว่าผิด ก็ต้องมานั่งเริ่มใหม่อารมณ์จะดีแค่ไหน ก็ยังต้องรู้สึกรำคาญขึ้นมาจั๋วซือหรานพยายามแก้ปมจนรำคาญ เลยโยนทิ้งไปข้างๆแต่เฟิงเหยียนกลับถือปิ่นปักผมเล่มนั้น ตั้งใจแก้ปม ไม่ได้มีความรู้สึกรำคาญแต่อย่างใดจั๋วซือหรานแค่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไรต่อคำถามของปันอวิ๋นเฟิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่ใส่ใจ "ข้ากับเสียวจิ่วหารือถึงทิศทางต่อไปแล้ว"ปันอวิ๋นมุมปากกระตุก ฟังออกว่าเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแต่ท้ายสุดก็ไม่ได้กัดแบบไม่ยอมปล่อย"เอาล่ะ หลังจากนี้เอายังไงล่ะ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเฟิงเหยียนไม่พูดแล้ว ตั้งใจคลายปมลูกปัดระย้าต่อไป ส่งสิทธิ์การพูดทั้งหมดไปให้จั๋วซือหรานจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "พวกเขารู้สึกว่าด้วยวิสัยของสภาผู้อาวุโส ก้าวต่อไปน่าจะเพ่งเล็งไปที่ชิ่งหมิง"จวงชิ่งหมิงที่เงียบมาตลอด พอได้ยินคำนี้จึงค่อยๆ แหง