เหลียนเจินกลับเข้ามา ขอความเห็นจากจั๋วซือหราน "คุณหนู พวกเราตอนนี้จะเข้าไปเลยไหม?"จั๋วซือหรานคิดๆอันที่จริงเข้าไปในเมืองลั่วหม่าก่อนค่ำก็ดีเหมาะกว่า แล้วยังหาโรงเตี๊ยมไว้พักแรมได้ด้วย ดีกว่าต้องมาทนตากลมตากฝนอยู่ด้านนอกแต่ตอนนี้ตะวันลับค่อยๆ ลบฟ้าแล้ว สีท้องฟ้าก็ค่อยๆ หม่นลงพอหลังจากตะวันลับขา หากคิดจะเข้าเมืองลั่วหม่าก็ค่อนข้างยุกยากเลย วิธีการซับซ้อนยิ่งกว่าจั๋วซือหรานคิดๆ เองตามไปสอบถามเฟิงเหยียนคำหนึ่ง "พวกเขาเข้าไปตอนนี้ดีไหม?""แล้วแต่เจ้าเลย" เฟิงเหยียนไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับการตัดสินใจของนาง แค่หลังจากครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก้บอกว่า "เพียงแต่เมืองหน้าด่านการทหารแบบนี้ หลังจากที่ทำการเปลี่ยนกะลาดตระเวน ก็จะยิ่งเข้มงวดขึ้นไปอีก"จั๋วซือหรานก็พิจารณาถึงจุดนี้ด้วย นางเบ้ปาก "ถ้ามาถึงไหวหน่อยก็คงจะดี ตอนนี้มาถึงแล้วแต่กลับเข้าไปไม่ได้ รู้สึกขาดทุนเลยแฮะ"เหลียนเจินที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "เป็นข้าน้อยที่นำทางช้าเอง"แน่นอนว่าจั๋วซือหรานไม่ได้คิดจะตำหนิลูกน้อง จึงโบกไม้โบกมือเอ่ยขึ้นว่า "ไม่ได้คิดจะโทษเจ้าหรอก ช่างเถอะ วันนี้พวกเราก็พักกันนอกเมืองลั่วหม่านี่ล่ะ"จั๋วซื
"แต่อย่าเอาแต่คิดจะเข้าเมืองอย่างเดียว ด้านนอกเมืองซื่อหนานประมาณห้าสิบลี้ มีเมืองอีกแห่งชื่อว่าลั่วหม่า พวกเราไปพักที่นั่นกันก่อน" จั๋วซือหรานกำชับขึ้นมาเหลียนเจินรับคำสั่ง "ขอรับ!"หลังจากนั้นก็ควบม้าไปออกไปนำทาง"เมืองลั่วหม่า?" แสงในรถม้าค่อนข้างมืดเฟิงเหยียนพิงเบาะรองหนาๆ อยู่ ท่าทางดูสบายๆ เกียจคร้านหน่อยๆ ไม่เหมือนบุคลิกปกติของเขาเลย ซ้ำยังดูไม่เหมือนคนที่รีบร้อนเดินทางด้วย"อืม" จั๋วซือหรานพยักหน้า "พวกเราเร่งเดินทางกันค่อนข้างเหนื่อยล้า ถ้าหากพุ่งเข้าเมืองซื่อหนานไปทั้งแบบนี้ดูเสี่ยงเกินไป สู้พักผ่อนในเมืองลั่วหม่าก่อนดีกว่า แล้วค่อยเข้าเมืองซื่อหนาน"เฟิงเหยียนแหงนหน้ามองนาง ต่อให้แสงจะค่อนข้างมืด แต่ก็ยังเห็นใบหน้างามของนางได้อย่างชัดเจน"เจ้ารู้ได้ยังไงว่าที่นี่มีเมืองลั่วหม่าอยู่?"จั๋วซือหรานฟังคำนี้ของเขา ก็เลิกคิ้วยิ้ม ยังจะรู้ได้ยังไงอีกล่ะ ก็ต้องเพราะอ่านหนังสืออ่านรายงานมาเยอะน่ะสิ..."ดูมาจากบันทึกท้องถิ่นน่ะ จะมาเสียเปรียบเพราะไม่มีความรู้ไม่ได้สิ"จั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า "จักรพรรดิเฒ่าแต่งตั้งพื้นที่ศักดินาให้ข้าห่างไกลเสียขนาดนี้ การกระทำนี้คงแฝงความระแ
ในโคลนตม ยากนักที่จะมีใครเอาตัวรอดมาได้คนเดียวถ้าหากมีคนประเภทที่เหมือน 'เอาตัวรอดคนเดียว' ได้ ปกติแล้วจะหมายความว่า คนผู้นี้เป็นผู้ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าโคลนตมเสียอีกและคนแบบนี้ ก็อยู่ที่เมืองซื่อหนานและตอนนี้ ถ้านางคิดจะไปริบอำนาจของเขา...แค่คิด ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วจั๋วซือหรานอันที่จริงก็ไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่ถอยหนีสักเท่าไรไอ้เรื่องใจปลาซิวอะไรแบบนี้? นางไม่เคยทำเผชิญหน้าตรงๆ ต่างหากถึงจะเป็นลักษณะของนางแต่ตอนนี้ นางกลับถอนใจเบา เอ่ยขึ้นว่า "พวกเราต้องไปซื่อหนานจริงหรือ?"ปันอวิ๋นพยักหน้า "ใช่ ต้องไป ยิ่งไปกว่านั้ นตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ควรไปซื่อหนานเลย"ปันอวิ๋นเดิมทีคิดว่ายังต้องอธิบายกับจั๋วซือหรานเสียหน่อย ว่าทำไมถึงต้องไปเมืองซื่อหนาน ยิ่งไปกว่านั้นเพราะอะไรถึงจะต้องไปเมืองซื่อหนานตอนนี้เพื่อให้นางไม่รู้สึกต่อต้านการไปซื่อหนานกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่ใครจะรู้ เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากอธิบายก้ได้ยินจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า "แต่ถ้าตอนที่ถังฉือมาถึงแล้วไม่เข้าไปรับมือกับเจ้าเมืองซื่อหนานตามแผนล่ะ? ข้าคิดว่าแผนยืมมือฆ่าคนของเจ้ามันไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร ถึงยังไงข้
สำหรับซื่อหนาน ถือเป็นท่าทีที่ปล่อยปละละเลยมากเพราะใครต่างก็ไม่รู้ว่า ตอนที่สงครามเริ่มครั้งหน้า เมืองนี้จะตกไปอยู่ในแผ่นดินฝ่ายไหนทำให้เมืองนี้วุ่นวายอย่างผิดปกติขึ้นมาจนกลายเป็นเขตแดนที่ไร้ระเบียบไม่มีคนดูแลโดยสิ้นเชิงเพราะท่าทีปล่อยปละละเลย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นต้าชาง แคว้นเหยี่ยนหรือดินแดนทางใต้คนที่ยากจนข้นแค้นขีดสุด ที่ไม่มีที่จะไป ก็ล้วนมาหลบกันที่ซื่อหนานนี้และซื่อหนาน ก็ถูกจัดอยู่ในมณฑลหลวนหนานถือเป็นขอบเขตพื้นที่ศักดินาของจั๋วซือหรานนี่เป็นปัญหาใหญ่จริงๆจั๋วซือหรานเบ้ปาก "จักรพรรดิเฒ่าจงใจทำข้าลำบากใจจริงๆ..."แม้จะบอกว่า แต่ก่อนซื่อหนานมักถูกจัดให้อยู่ในมณฑลหลวนหนานอยู่บ่อยๆแต่ก็ไม่เสมอไปครั้งที่แล้ว ซื่อหนานถูกดินแดนทางใต้ยึดครองและครั้งก่อนหน้านั้น ซื่อหนานก็ถูกรวบเข้าไปในต้าชาง ตอนนั้นไม่ได้ถูกจัดอยู่ที่หลวนหนาน แต่ถูกจัดไว้ในมณฑลฉีเหมิงครั้งนี้ก็ถูกจัดมาอยู่ที่นี่เสียอย่างนั้นจั๋วซือหรานรู้สึกว่าจักรพรรดิเฒ่าอาจจะทำแบบนี้เพื่อสร้างความลำบากใจให้นางปันอวิ๋นเลิกคิ้ว "แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เมืองซื่อหนานถึงอย่างไรก็เป็นของหลวนหนานแล้ว ตามหลักการ เ
ปันอวิ๋นจ้องมองนาง จากนั้นก็หัวเราะขึ้น "ได้ๆๆ รู้แล้ว เฟิงเหยียนเด็ดมาให้เจ้าสินะ? ยังต้องซ่อนเสียด้วย ใครเขาสนกัน..."จั๋วซือหรานมองเขา "เจ้าไม่สนหรือ? ก็ดี"นางเลยไม่ซ่อนแล้ว หยิบออกมากินต่อปันอวิ๋นขบฟัน ในใจก็คิดว่าไม่แปลกใจเลยที่เฟิงเหยียนถูกหญิงสวคนี้ทำให้ยอมจำนนขนาดความจำเสื่อมไปรอบแล้วก็ยังหนีไม่พ้นชะตาถูกกลืนกินแบบนี้ กินรวบหัวรวมหางเลยทีเดียวปันอวิ๋นสูดหายใจลึก จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า "เมืองซื่อหนานน่าจะค่อนข้างยุ่งยากหน่อย"กระบองในมือปันอวิ๋นลากต่อไปบนพื้นจั๋วซือหรานมองออกว่าเขาวาดแผนที่ง่ายๆ บนพื้น หรืออาจจะเป็นเส้นการเดินทางปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ตามหลักแล้วถ้าเดินอีกทาง น่าจะไปถึงเฉวียนหนาน ผิงหนาน จากนั้นถึงจะไปถึงซื่อหนาน แต่เนื่องจากซื่อหนานยุ่งยากที่สุด ข้าคิดว่า สู้เอามาไว้หน้าสุดเลยดีกว่า"จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ของปันอวิ๋น ก็ไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไรกับคำนี้ของปันอวิ๋น พยักหน้าเอ่ยว่า "ก็จริง ตอนที่มีกำลังทั้งหมดเข้ารับมือกับความยุ่งยากที่สุด มันดีกว่าตอนที่รับมือกับที่อื่นแล้วเหลือแรงอยู่นิดหน่อยค่อยไปรับมือกับความยุ่งยากมากที่สุดอยู่แล้ว"ปันอวิ๋นฟังคำพูด
จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ "ไม่มีไม่มี"ชิ่งหมิงไม่ได้ถามอะไรต่อ นางบอกว่าไม่มีเขาพยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้าบนหน้ากลับเปลี่ยนเป็นจนใจ "ไม่มีก็ไม่มี ซือหราน ความรังเกียจในสายตาเจ้านั่นมันอะไรน่ะ...""เฮ้อ" จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ บ่นพึมพำ พลางเดินตรงไปที่กองไฟ "พอเด็กโตแล้ว ก็ไม่น่ารักแล้วสิน่า..."จวงอี๋ไห่ได้ยินเสียงฝีเท้าจั๋วซือหรานเดินมา จึงหันมามอง "คุณหนู!"จากนั้นหางตาก็เห็นชิ่งหมิงที่อยู่ด้านหลังไม่ห่างออกไปนักสายตาของจวงอี๋ไห่ เพียงไม่นานก็หันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจยิ้มให้กับจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "คุณหนู ท่านสั่งการมาก็พอ ไม่ต้องถึงกับให้ท่านลงมือเองหรอก มือจะได้ไม่เลอะด้วย..."จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วจึงพยักหน้า นั่งลงข้างๆ ชี้แนะให้จวงอี๋ไห่ต้องหมักยังไง ปรุงอย่างไร เหมือนกับอาจารย์ตามหลักแล้วคนที่ทำอาหาร สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือมีคนมาคอยชี้มือชี้ไม้อยู่ข้างๆแต่จวงอี๋ไห่กลับอดทนอย่างมาก ทำตาม...วิธีการของจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานสั่งการไปพอประมาณ "เอาล่ะ เอาขึ้นไปย่างบนไฟแบบนี้ก็พอ""ได้เลย" จวงอี๋ไห่พยักหน้า เตรียมเรียกลูกชายทั้งสองคนเข้ามาช่วยยกขึ้นไปบนกองไฟยังไม่ทันที่เขา