Share

บทที่ 14

Author: หูเทียนเสี่ยว
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่ไทเฮาพูด ทุกคนก็อดไม่ได้ที่ต้องมองไปที่ท่านอ๋องเฟิง

เฟิงเหยียนมองจั๋วซือหรานอย่างไม่กระตือรือร้น

จั๋วซือหรานรู้สึกดวงตาที่เย็นชาและลึกล้ำของชายคนนี้ดูเหมือนสื่อสานได้ ราวกับว่า เขากำลังเยาะเย้ยนางอย่างเงียบ ๆ เหมือนเขากำลังเยาะเย้ยนางตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง และนางกลับคำพูดของนาง

ทั้ง ๆ ที่เมื่อสองวันก่อน นางยังบอกเขาว่า จะไม่กวนเขาและจะไม่ให้เขารับผิดชอบ

จั๋วหรูซินกำลังอยากโล่งอก อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องคู่กับฉินตวนหยาง

แต่นางยังไม่ทันโลง่อก และจั๋วซือหรานจะไม่ยอมให้นางสมหวังแน่นอน "ขอบพระทัยที่ไทเฮาเมตตา แต่สิ่งที่หม่อมฉันต้องการไม่ใช่พระราชโองการการสมรสกับท่านอ๋องเฟิงเพคะ"

ทันใดนั้นจั๋วหรูซินตกตะลึงจนดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น และนางก็จ้องมองไปที่จั๋วซือหราน

ไทเฮาตรัสว่า “หรือ”

จั๋วซือหรานยังคงสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของชายคนนั้น สายตานั้นราวกับเป็นประกาย เหมือนมีไฟลุกอยู่แผ่นหลังของนาง แต่เมื่อคิดถึงภัยคุกคามครั้งก่อนของผู้อาวุโสใหญ่ นางทำได้เพียงกัดกระสุนและพูดซ้ำสิ่งที่นางพูดในวันงานเลี้ยงแต่งงาน "หม่อมฉันมีความรักที่หยั่งรากลึกต่อท่านอ๋องเฟิงโดยไม่มีวันเสียใจภายหลังเพคะ”

แล้วนางก็พูดอย่างไร้ยางอาย "อีกอย่าง หม่อมฉันกับเขายังต่างรักซึ่งกันและกัน เลยไม่จำเป็นต้องมีพระราชโองการก็สามารถครองคู่กันได้"

ทุกคนจ้องมองสีหน้าของท่านอ๋องเฟิง

แต่สีหน้าของเฟิงเหยียนไร้ความรู้สึก และเขาก็ไม่เสนอความคิดเห็นกับคำพูดของจั๋วซือหราน สายตาของเขาจ้องมองไปที่แผ่นหลังผอมเพรียวของหญิงสาวที่ใส่ชุดขาวตลอดเวลา และทุกคนไม่สามารถบอกได้ว่าเขาหมายถึงอะไร

จั๋วซือหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเขาไม่ได้ปฏิเสธ

“เป็นผู้ชายที่มีความสามารถและเป็นผู้หญิงที่สวยจริง ๆ” ไทเฮาทรงชมแล้วตรัสถามว่า “เจ้าต้องการพระราชโองการกาสมรสของใคร”

จั๋วหรูซินที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มกังวล ใบหน้าของนางเริ่มซีดขาว และนางมองจั๋วซือหรานด้วยความกังวล

จั๋วซือหรานเห็นจั๋วหรูซินไม่มีความสุขเยี่ยงนี้ จั๋วซือหรานกลับรู้สึกมีความสุข

จั๋วหรูซินตกอยู่ในความกังวลตลอด นางไม่สนใจ ดังนั้นนางจึงพูดกับไทเฮาว่า "หม่อมฉันขอเก็บพระราชโองการนี้ไว้ทีหลังเพคะ และขอพระคุณนี้จากไทเฮาให้แก่พี่น้องในครอบครัวได้หรือไม่ "

ไทเฮาพยักหน้า “เจ้าให้ความสำคัญกับความเป็นพี่น้อง ดังนั้นข้าจึงตกลงตามคำขอของเจ้า”

“ขอบพระคุณไทเฮา” จั๋วซือหรานโค้งคำนับและกล่าวคำอำลา “หม่อมฉันจะไม่รบกวนไทเฮาพักผ่อน หม่อมฉันขอลาเพคะ”

แม่นมยวี่ถามจั๋วซือหราน "แม่นางจิ่วเจ้าคะ ไทเฮายังต้องการการรักษาอะใด ๆ และต้องการปรับแบบใด โปรดบอกข้าหน่อยเจ้าค่ะ"

หัวหน้าหมอหลวงในวังเหยียนชางอยู่ข้าง ๆ ตามมารยาท จั๋วซือหรานไม่ควรจ่ายยาแทนเขา

แต่ในขณะนี้ นางแค่อยากรีบไปจากที่นี่ เพราะนางอยากศึกษาว่า ทำไมแหวนเสวียนเหยียนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน

นางจึงพยักหน้า แต่ทันใดที่นางกำลังอยากรบกวนแม่นมยวี่ไปหยิบปากกาและกระดาษมาจดใบสั่งยา นางก็ได้ยินไทเฮาพูดว่า "เช่นนั้น แม่นมยวี่ เอาป้ายประจำตราของข้าให้แม่นางจั๋วจิ่ว นับจากนี้เป็นต้นไป ข้าคงต้องรบกวนแม่นางจั๋วจิ่วเข้ามารักษาอาการข้าด้วย”

แต่เดิมจั๋วซือหรานแค่อยากเขียนใบสั่งยาให้ เพื่อช่วยกำจัดยาพิษที่ตกค้างในร่างกายของไทเฮา และนางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องลับของราชวงศ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า นางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่นางควบคุมไม่ได้ หากนางทำตามคำพูดของไทเฮา อาจมีคนโกรธแค้น หากนางปฏิเสธไทเฮา ไทเฮาคงโกรธด้วย

ไทเฮาตรัสอย่างอ่อนโยนว่า “ข้ารู้ดีว่าจวนของเจ้าไม่ขาดสิ่งใด ในวังก็ไม่มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ที่สามารถประทานแก่เจ้า นอกเสียห้องหนังสือหลวง ได้ยินมาว่าเจ้ามีน้องชายจากแม่คนเดียวกันหรือ วันหลังเจ้าพาน้องชายมาเรียนที่ห้องหนังสือหลวงได้”

นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ไม่คาดคิด ลูกหลานของตระกูลใหญ่ทั้งห้าก็ไม่ใช่ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนที่ห้องหนังสือหลวงได้ ยิ่งไปกว่านั้น สตรีของตระกูลใหญ่ทั้งห้าแทบไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในห้องหนังสือหลวงเลย

จั๋วซือหรานคนเดิมมีความสามารถขั้นเทพ นางรอเสียนาน แต่นางไม่มีโอกาสเข้ามาศึกษาในห้องหนังสือหลวงได้

เหล่าสตรีและเหล่าสุภาพบุรุษชนชั้นสูงจำนวนมากที่อยู่ในตำหนักนี้ต่างมองจั๋วซือหรานด้วยความอิจฉาริษยา

“ หม่อมฉันขอขอบพระคุณสำหรับความรักของท่าน” จั๋วซือหรานจึงรับป้ายประจำตราของไทเฮาจากแม่นมยวี่ด้วยมือทั้งสองข้าง

“แม่นมยวี่ เจ้าออกไปส่งแม่นางจั๋วจิ่วเสียเถิด” ไทเฮาปัดมือ“ข้าเหนื่อยแล้ว แยกย้ายเถิด”

ทุกคนพากันเดินออกจากตำหนักหย่งโซ่ว ทุกคนเห็นได้ชัดว่า ไทเฮาไม่ได้ป่วยหนักแต่โดนยาพิษ แต่ไม่มีใครพูดอะไรอีกและทุกคนต่างรู้ความจริง

ทันใดนั้นตำหนักหย่งโซ่วเงียบลง

ฮองเฮาทรงยิ้มแห้ง ๆ และตรัสว่า “ท่านแม่ ว่าแต่ว่า แม่นางจั๋วจิ่วยังเด็กเกินไป ให้หัวหน้าหมอหลวงเหยียนมาวินิจฉัยและรักษาท่าน จะปลอดภัยกว่า”

ไทเฮาเหลือบมองพวกเขา แล้วพูดว่า "ไม่จำเป็น หมอหลวงเหยียนเจิ้งที่ว่าปลอดภัยใช้เวลาเป็นครึ่งเดือนก็รักษาข้าไม่หาย และแม่นางจั๋วจิ่วรักษาให้หายขาดได้ภายในเจ็ดนาที ความจริงเป็นอย่างไร ข้ารู้อยู่แก่ใจ ข้ากับพวกเจ้าไม่มีอะไรที่ต้องคุยต่อ ไปกันเถอะ ข้าจะพักผ่อน”

ฮองเฮาและเหยียนชางทำได้เพียงเดินออกจากตำหนักหย่งโซ่วได้เท่านั้น

เหยียนชางพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “เกิดเรื่องจนได้ อยู่ดี ๆ เจ้าพาจั๋วจิ่วมารักษาไทเฮาทำไม”

“ในเวลานั้น จั๋วลิ่วก็เสนอจั๋วจิ่วต่อหน้าทุกคนอย่างกะทันหัน ข้าจะปฏิเสธต่อหน้าผู้คนมากมายได้อย่างไร และข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่า นางจะรักษาได้จริง” สีหน้าของฮองเฮาแย่ลง และเริ่มเกลียดจั๋วหรูซิน “ต้องโทษจั๋วลิ่ว นางเรื่องเยอะ"

จั๋วซือหรานไม่ได้กลับไปที่ห้องที่จัดงานดอกไม้ในวัง นางขอลาก่อน และเร่งฝีเท้าไปที่ประตูพระราชวัง

เงาร่างสูงที่สวมชุดสีดำเดินตามข้างหลังนาง ราวกับเขากำลังเดินเล่นอยู่ แต่ไม่มีใครสังเกตเขา

จั๋วหรูซินวิ่งตามจั๋วซือหราน นางยังไม่ได้สังเกตเขาเลย

“จั๋วซือหราน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”

จั๋วซือหรานทำเป็นไม่ได้ยินและเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว

จั๋วหรูซินเอื้อมมือไปคว้านาง แต่จั๋วซือหรานเดินไวเหลือเกิน นางไม่สามารถแตะมุมเสื้อผ้าของจั๋วซือหรานได้

จั๋วซือหรานพูดด้วยเสียงที่เย็นชา "จั๋วหรูซิน เจ้าความจำสั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้าเก็บพระราชโองการการหมั้นที่ไทเฮาพระราชทานไว้ เจ้าจะไม่ต้องแต่งงานกับฉินตวนหยางหรือ หากข้าเป็นเจ้า สิ่งที่ข้าควรทำมากที่สุดก็คือ อย่าหาเรื่องข้า”

จั๋วซือหรานห่วงแหวนเสวียนเหยียนของนาง นางไม่อยากเสียเวลากับจั๋วหรูซิน น้ำเสียงของนางไม่ดี

นางขยับตัวไปด้านหลังจั๋วหรูซินอย่างรวดเร็ว นางเอาเข็มยาวชี้ไปที่คอของจั๋วหรูซิน

ใบหน้าของจั๋วหรูซินซีดลง แต่นางยังคงแข็งคอและพูดว่า "เจ้าไม่ต้องมาขู่ข้า งานหมั้นหมายของพวกเราต้องฟังท่านอาวุโสจัดการ เรื่องที่เจ้าต้องไปขอพระราชทานพระราชโองการการหมั้นของเจ้า หากเจ้าเล่นงานการหมั้นของข้า ผู้อาวุโสก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ น้องชายเจ้าก็อย่าคิดที่ยังได้รับการฝึกฝนจากตระกูลเลย

จั๋วซือหรานยิ้มเยาะ "ก็ไม่แน่นะ เจ้าได้เล่นงานข้าในเรื่องการหมั้นของข้ามิใช่หรือ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าบอกว่าจะเอาฉินตวนหยางแก่เจ้า ข้าจะเอาให้แน่ ๆ "

จั๋วซือหรานเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่ขอพระราชโองการการหมั้นของตัวเองทันที แต่เก็บไว้จนกว่าจะมีโอกาสที่เหมาะสมมาปฏิบัติต่อจั๋วหรูซินตาต่อตาและฟันต่อฟัน

จั๋วหรูซินไม่กลัวคำพูดของจั๋วซือหราน หากนางต้องแต่งงานกับฉินตวนหยางจริง ๆ แย่สุด นางหาโอกาสฆ่าฉินตวนหยาง ก็จบปัญหาได้ หากไม่ใช่เป็นเพราะนางเห็น ว่าสามารถใช้ฉินตวนหยางเป็นมีดชี้ไปที่จั๋วซือหราน นางคงฆ่าเขาไปนานแล้ว คนตายจะเป็นภัยคุกคามอะไรได้อีก

ดังนั้นเวลานี้นางจึงไม่สนใจคำพูดของจั๋วซือหรานมากนัก และนางยังคงพูดถึงจุดประสงค์ของนางต่อ "เจ้าให้ข้าไปเรียนที่ห้องหนังสือหลวง"

จั๋วซือหรานพูด "เจ้าตื่นได้แล้ว เจ้าต้องให้ข้าตบหน้าเจ้าสักสองทีไหม เจ้าจะได้สติสักที"

นางขี้เกียจสนใจจั๋วหรูซินอีก และเดินไปที่ประตูพระราชวัง จู่ ๆนางได้ยินเสียงของจั๋วหรูซินดังขึ้นจากข้างหลังนาง "เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าบอกข้ามาว่า ทำไมผู้อาวุโสและตระกูลเฟิงต้องให้เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องเฟิง "

จั๋วซือหรานหยุดและพูด "โอ้"

จั๋วหรูซินเห็นจั๋วซือหรานหยุดฝีเท้า นางคิดว่าต่อรองได้ “เป็นอย่างไร”

จั๋วซือหรานส่ายหัว "ไม่เห็นเป็นอะไร"

จั๋วหรูซินโกรธ “ไม่เห็นเป็นอะไร แล้วทำไมเจ้าหยุดฝีเท้า"

“อ้าว ข้าอยากให้เจ้าคิดว่า มีอะไรต่อรองได้น่ะ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไร รู้สึกแย่ไหม” จั๋วซือหรานกระพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยการแกล้ง “ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ดี ข้าก็จะรู้สึกดี”

จั๋วหรูซินโกรธมากจนอยากจะอาเจียนเป็นเลือด และกัดฟันพูดออกมาเป็นพยางค์ “เจ้าไม่อยากรู้ว่าทำไมหรือ”

“เพราะข้าดึงกระบี่ประจำตระกูลของเฟิงเหยียนออกมาได้หรือ” ทันทีที่จั๋วซือหรานพูดจบ สีหน้าของจั๋วหรูซินก็แข็งทื่อ

จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "อ้าว แสดงว่าข้าเดาถูกใช่ไหม"
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1369

    ได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ใบหน้าเย่เจิงที่ดูเคร่งขรึมแน่วแน่มาตลอด กลับยิ้มบางๆ ออกมาไม่ใช่รอยยิ้มประชดประชัน แต่คล้ายกับได้ยินเรื่องอะไรที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่างไรอย่างนั้นเย่เจิงเอ่ยขึ้น "ข้าประจำการในเมืองลั่วหม่ามาห้าปี ถ้านับรวมกับเวลาที่อยู่ในกองทัพสยบแดนใต้ด้วย ก็แปดปีได้แล้ว"นับตั้งแต่อายุสิบแปดจนถึงยี่สิบหก แปดปีเต็มแปดปีนี้ ข้าล้วนประจำการอยู่ที่ชายแดนพรมแดนใต้ ร่วมรบกับกองทัพสยบแดนใต้ เคยทั้งแพ้และชนะมาแล้วเรื่องเกี่ยวกับ พรมแดนใต้ ก็เคยเห็นมามาก"ข้าเคยเห็นคนที่เคยสาบานว่าจะจัดการกับหลวนหนาน พวกเขามีทั้งที่ย้ายกลับเมืองหลวงไปแล้ว และมีที่เกษียณกลับบ้านเกิดด้วย" ตอนที่เย่เจิงพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดพูดไปจากนั้น เส้นเสียงของเขาก็เหมือนเย็นวาบลงมากะทันหัน "แต่คนที่สาบานว่าจะจัดการซื่อหนาน ถ้าไม่ตาย ก็คือหายสาบสูญ"จั๋วซือหรานฟังออกถึงความเย็นชาในเสียงเขา แต่ไม่ใช่ความเย็นชาเพื่อเตือนนางแต่กลับเป็นอีกแบบ...เหมือนรู้สกว่านางไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้แบบส่งเดชไม่จริงจังเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะข้ามไปได้ง่ายๆ เรื่องนี้ อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียวดังนั้นจั๋วซือหรานจ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1368

    จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ก็หัวเราะขึ้นอย่างจนใจ นางเคยได้ยินคำชมต่อหน้าตาของนางมาไม่น้อยแต่วิธีพูดเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ของเย่เจิง ก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก"แม่ทัพเย่พูดแบบนี้ดูจะไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไรนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าเป็นแบบนี้ไม่เหมือนคนสร้างวีรกรรมใหญ่ได้ แล้วต้องแบบไหนถึงจะสร้างวีรกรรมใหญ่ได้กัน?"เย่เจิงอ้าปากพะงาบ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดเขาก็เห็นว่าหญิงสาวตรงหน้า มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเด็ดหัวท่านได้ในสามกระบวน แบบนี้ดูใกล้เคียงไหม?"พอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน เย่เจิงก็ตกตะลึง ปฏิกิริยาแรกก็คอื...หญิงสาวคนนี้ช่างโอหังนัก!และวินาทีต่อมา ร่างของจั๋วซือหรานก็หายไปจากจุดเดิมที่อยู่และตอนที่นางปรากฏตัวอีกครั้ง ระยะห่างของทั้งสองคนก็หายไปอย่างรวดเร็วพลังที่น่าเกรงขาม แทบจะพุ่งกดดันมาถึงตรงหน้า!เย่เจิงยกมือขึ้นปัดป้องกับตอบโต้ตามสัญชาตญาณ แต่นางลงมือได้แพรวพราว ทุกกระบวนท่ารู้สึกเหมือนปิดทางหนีของกระบวนท่าก่อนหน้าไปจนหมดตอนถึงกระบวนที่สาม นิ้วของนางก็กดอยู่ที่คอของเย่เจิงแล้วถ้าหากตอนนี้นิ้วของนางเป็นคมดาบล่ะก็ คงจะเด็ดหัวเขาไปได้จริงๆเย่เ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1367

    พอได้ยินเสียงนี้ จั๋วซือหรานก็รู้ว่าเจ้าของเสียงน่าจะเป็นแม่ทัพทหารประจำการเมืองลั่วหม่า...แม่ทัพเย่เจิงคนนั้นจั๋วซือหรานมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม "แม่ทัพดูแลเมืองลั่วหม่าได้สงบจริงๆ ข้าก็เลยรู้สึกสบายๆ น่ะ""ถ้าหากสงบจริง ใต้เท้าคงไม่โดนโจรปล้นที่ด้านนอกนั่นหรอก" เสียงของเย่เจิงดังลอดออกมาจากด้านในฟังเนื้อหาแล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องที่จั๋วซือหรานถูกปล้นแล้วจั๋วซือหรานเดินเข้าไปในโถง และเห็นแม่ทัพเย่ที่นั่งอยู่แล้วเทียบกับฉีฮ่าวที่ดูกักขฬะแล้วยังสง่างามกว่าหน่อย แต่ก็ยังดูดุดันกว่าอิงเซ่าที่สง่างามทรงภูมินิดๆ"แม่ทัพเย่" จั๋วซือหรานยิ้มๆสายตาของเย่เจิง พิจารณาอยู่บนตัวหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ในสายตาก็มีการสำรวจตรวจสอบอย่างไม่มีปิดบังเขาปักหลักอยู่ในเมืองลั่วหม่ามาหลายปี ถือได้ว่าเป็นการประจำการอยู่แนวหน้าตลอดทั้งปีคนแบบเขาจะเป็นพวกกระดูกแข็งและรับมือยากถ้าจะให้เขามาประจบสอพลออะไรแบบนั้น คงจะทำไม่ได้แน่สำหรับเรื่องนี้ พวกขุนนางใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่ก็ไม่เต็มใจจะยอมรับเท่าไร กระทั่งรู้สึกขี้เกียจจะออกมาพบเสียด้วยซ้ำแต่สำหรับจั๋วซือหราน กลับโผล่หน้าออกมาด้วยต

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1366

    และขี้เกียจจะกลับไปบนรถม้าแล้ว จึงขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าตัวที่นำอยู่ เตรียมจะตรงไปยังจวนแม่ทัพเมืองลั่วหม่าตามที่ทหารชี้ทางไว้แต่ก่อนหน้าที่จะไป นางก็ยังไม่ลืมกำชับกับหัวหนาทหารว่า "คนพวกนี้ ถ้าออกมาจากในคุกก็จะมีใบรับรองความภักดีแล้ว พวกเขาคงจะไปช่วยพวกคนชั่วในเมืองซื่อหนานก่อเรื่องไม่ดีแน่ ดังนั้นห้ามปล่อยพวกเขาออกมาเด็ดขาด"ดวงตาของเหล่าโจรก็ถลึงโตขึ้นมา มองไปทางจั๋วซือหรานและหญิงสาวชุดแดงบนหลังม้านั้น ใบหน้าเล็กที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทิน งดงามหาใดเปรียบก็ยิ้มขึ้นมาจนเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวัน แต่ในแววตานั้นกลับไม่มีความอบอุ่นใดอยู่เลย ราวกับจะเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งเสียอีกสายตาที่ไม่มีความอบอุ่นใดของนางตกมาอยู่บนตัวพวกเขา จ้องมองมาเรียบๆ "พวกเจ้าคิดว่ากฏหมายใช้กับคนหมู่มากไม่ได้ พอปล้นชิงแล้วขอแค่ไปยังเมืองซื่อหนานได้ กฏหมายก็จะเอาผิดพวกเจ้าไม่ได้สินะ"นางจ้องพวกเขา "แต่ข้าเอาผิดพวกเจ้าได้ ทนรับเอาไว้ก็แล้วกัน"พูดคำนี้จบ จั๋วซือหรานก็คีบท้องม้า ติดตามทหารที่นำทาง ตรงไปยังจวนแม่ทัพทหารประจำการของเมืองลั่วหม่า เป็นส่วนหนึ่งของกองพันพยัคฆ์ทมิฬแห่งกองทัพสยบแดนใต้แม่ท

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1365

    ถ้าถูกจับเข้าห้องขัง พวกเขาไม่ใช่ยังต้องคิดหาวิธีแหกคุกออกมาอีกถึงจะหลบเข้าไปใช้ชีวิตอย่างสงบในซื่อหนานได้รึไงกัน?จากนั้น พวกเขาก็ได้ยินจั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไร ตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงนี้ ในใจก็รู้สึกตึกตักขึ้นมาอย่างประหลาด...น่าจะเพราะ...เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีกระมัง?สรุปคือ หลังจากเสียงหัวเราะเบาๆ ของนาง พวกเขาก็ได้ยินจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "โอ้ พวกเขาน่ะ..."สายตานางหรี่ลง แววตาเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายแล่นวาบในดวงตาพญาหงส์ของนาง"พวกเขาเป็นคนที่คิดจะมาปล้นขบวนรถข้าที่ด้านนอกเมืองลั่วหม่าน่ะ"พอคำนี้ออกไป เหล่าโจรต่อให้เดาได้ถึงความเป็นไปได้นี่ แต่ก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่และเหล่าทหารเองก็ตกตะลึงด้วยเช่นกัน ร้อนรนขึ้นมาทันที"มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? กำเริบเสิบสานเสียจริง!"ในดวงตาของหัวหน้าทหารมีความโกรธอยู่ตรงหน้าคนนี้คือว่าที่โหวหลวนหนานนะ ทั่วทั้งหลวนหนานล้วนเป็นพื้นที่ศักดินาของนาง ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่านางไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแออะไรเลยอีกด้วยชื่อเสียงของคนผู้นี้ลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เป็นตัวตนที่ค่อนข้างร้ายกาจเลยทีเดียว...ในอนาคตจะต้องมีเรื่องที่ต้อ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1364

    จั๋วซือหรานส่งป้ายผ่านด่านให้กับทหารทหารประตูเมืองหยิบป้ายผ่านด่านของนาง ขึ้นมามองไปมองมาอย่างละเอียดจากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อจั๋วซือหรานรู้สึกว่าปกติดี แม้ว่านางจะถูกอวยยศเป็นโหวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกแต่งตั้งพื้นที่ศักดินาเป็นหลวนหนานด้วยแต่การสื่อสารที่ยังไม่พัฒนานัก ทำเลที่ตั้งของเมืองลั่วหม่าเองก็ค่อนข้างห่างไกลอีกด้วยต่อให้แม่ทัพทีประจำการอยู่ในเมืองลั่วหม่าจะรู้ข่าวแล้ว แต่ก็อาจจะไม่ได้แจ้งลงมาขุนพลกับทหารด้านล่างยังไม่รู้ ก็ดูเป็นเรื่องปกติดังนั้นทหารจึงเห็นว่านางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ที่หยิบเอา 'ป้ายตราปลอม' ที่มีตราประทับโหวออกมาหลอกลวงฉับพลัน สีหน้าก็ปั้นยากขึ้นมาทันทีหัวเราะเย็นชาขึ้นเสียงหนึ่ง "เจ้านี่บังอาจนักนะ! เจ้าคิดจะล้อเล่นกับเมืองลั่วหม่ารึ? ตาสีตาสาที่ไหนแค่ถือป้ายผ่านทางมั่วๆ มา ก็คิดว่าจะเนียนเข้าไปในเมืองลั่วหม่าได้รึไงกัน?"จั๋วซือหรานครุ่นคิดสาเหตุปัญหาอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าน่าจะเพราะเนื้อหาในป้ายผ่านทางไม่ตรงกับข่าวที่พวกเขารู้มากระมังจะทำอะไรได้ล่ะ ป้ายผ่านทางสมัยนี้ก็ไม่มีเครื่องหมายป้องกันการปลอมแปลงอย่างพวกตราเลเซอ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status