Share

บทที่ 13

Author: หูเทียนเสี่ยว
ตำหนักหย่งโซ่ว

เมื่อครึ่งเดือนก่อน ไทเฮาจู่ ๆ ก็ล้มป่วยลงอย่างกะทันหันและตกอยู่ในอาการขั้นร้ายแรง

เมื่อฮองเฮาพาคนมาที่ตำหนักหย่งโซ่ว แม่นมยวี่ที่อยู่เคียงข้างไทเฮาก็ระมัดระวังมากขึ้น

เมื่อนางรู้ว่า จั๋วซือหรานมาที่นี่เพื่อวินิจฉัยและรักษาไทเฮา ดวงตาของแม่นมยวี่เป็นประกาย แต่ก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว

ฮองเฮาจะใจดีขนาดนี้ได้อย่างไร

นางยังเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูจั๋วจิ่วมาก่อน คนเล่ากันว่า คุณหนูจั๋วจิ่วมีความอัจฉริยะ แต่น่าเสียดายที่คุณหนูจั๋วจิ่วเป็นคนของตระกูลจั๋ว มีใครหรือที่มิทราบว่า แท้จริงแล้วตระกูลเหยียนเป็นหมอเทวดาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือ ตระกูลจั๋วไม่เคยมีใครรับตำแหน่งเป็นคุณหมออย่างจริงจังเลย

เหยียนชาง ผู้เป็นหัวหน้าของห้องหมอหลวงยืนอยู่ข้าง ๆ "จั๋วจิ่ว เจ้าพูดเบาเลยนะ เจ้ามีวิชาหมอด้วยหรือ"

เขาเชื่อจั๋วจิ่วไม่มีปัญญารักษาไทเฮาได้ และเนื่องจากเรื่องอื้อฉาวเมื่อไม่นานมานี้ เหยียนชางดูถูกจั๋วซือหรานอย่างมาก

จั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ข้าพอรู้มานิดหน่อย ขอแสดงฝีมืออันน่าอับอายเสียหน่อย"

นางยกแขนเสื้อขึ้นแล้วยื่นมือออก มือของนางขาวราวหยก นิ้วของนางอยู่ห่างจากผิวหนังข้อมือของไทเฮาประมาณหนึ่งนิ้ว นางหยุดนิ่ง

ทันทีที่การเคลื่อนไหวหยุดลง สีหน้าของเหยียนชางก็เปลี่ยนไปทันที

แม้แต่เหยียนฉีที่เพิ่งเข้ามา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "นางทำได้อย่างไร..."

มีคนตกใจและพูด "นั่นเป็นวิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนังมิใช่หรือ"

วิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนังเป็นวิธีการวินิจฉัยชีพจรของบรรพบุรุษของตระกูลเหยียน และผู้ที่ได้รับการยกย่องจากตระกูลเท่านั้นถึงมีโอกาสเรียนวิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนัง

แต่นางเป็นลูกสาวของตระกูลจั๋ว นางเป็นได้อย่างไร

ร่องรอยของความตื่นตระหนกแวบขึ้นมาในดวงตาของเหยียนชาง จั๋วจิ่วมีทักษะความสามารถหมอจริงหรอกนะ

ใบหน้าที่สง่างามของฮองเฮาก็มีสีหน้าแข็งทื่อเช่นกัน ฮองเฮาคิดในใจ แย่แล้ว หากนางรักษาหญิงชราคนนี้ได้จริง ๆ...

จั๋วซือหรานสังเกตแววตาที่แม่นมยวี่มองฮองเฮา นางสังเกตถึงสีหน้าอันแข็งทื่อของฮองเฮาในขณะนี้ด้วย

ดูท่าที ความเจ็บป่วยของไทเฮาอาจมีบางสิ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง

เวลาผ่านไปไม่มาก จั๋วซือหรานก็หยุดนิ้วของนาง ซึ่งแตกต่างไปจากที่นางคาดไว้อย่างสิ้นเชิง ไทเฮาไม่ได้ป่วย แต่ไทเฮาถูกยาพิษเรื้อรัง ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงสลบมิได้สติจนถึงตอนนี้ หากมิได้รับการรักษาอีก อวัยวะภายในคงเสียหมด จนกระทั่งเสียชีวิตแน่ ๆ

เมื่อแม่นมยวี่เห็นนางหยุด แม่นมยวี่รีบถาม "คุณจั๋วจิ่ว เป็นอย่างไรบ้าง ช่วยรักษาอาการป่วยของท่านได้หรือไม่"

จั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และตอบ "ข้าทำได้"

เมื่อจั๋วหรูซินเห็นจั๋วซือหรานใช้วิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนัง นางตื่นตระหนกอย่างมาก เวลานี้ นางรีบพูด "หมอหลวงในวังยังรักษาความเจ็บป่วยของไทเฮามิได้เลย เจ้าไม่เคยเรียนทักษะสำหรับทางการรักษาใด ๆ วันนี้เจ้าจะรักษาได้อย่างไร อย่าอวดอีกเลย อาการของไทเฮาให้เจ้าเสียเวลามิได้”

เหยียนชางยิ้มอย่างแข็งขัน "ใช่สิ คุณหนูจิ่วโปรดอย่าทำให้อาการของไทเฮาเลวร้ายไปกว่านี้"

ฮองเฮาค่อนข้างสงบอารมณ์ได้ "เอาล่ะ แม่นางจั๋วจิ่ว เจ้าแค่อยากได้พระราชโองการการหมั้นระหว่างเจ้าและท่านอ๋องเฟิงไม่ใช่หรือ ข้าจะเสนอเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท อย่าเอาอาการของไทเฮามาเล่นหรอกน่ะ"

เฟิงเหยียนยืนอยู่ด้านหลังสุด เขามองคนหน้าซื่อใจคดเหล่านี้ด้วยสายตาเย็นชา เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฮองเฮา มุมปากของเขาก็โค้งงอแหลมคม และสีหน้าของเขาก็เย็นชาทันที

เดิมทีเขาไม่สนใจความลับของการสมรู้ร่วมคิดของราชวงศ์เหล่านี้ แต่หากฮองเฮากล้าใช้เรื่องส่วนตัวของเขาเป็นเครื่องต่อรอง ก็อย่าตำหนิเขาหาเรื่องละกัน

ขณะที่เฟิงเหยียนกำลังจะพูด เขาก็เห็นหญิงสาวสวยที่สวมชุดขาวยิ้มหวาน แววตาของนางเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และความเย่อหยิ่ง ราวกับว่านางไม่สนใจคำพูดของคนข้างกายของนางเลย

จั๋วซือหรานรู้ดี นางอาจเข้าไปพัวพันกับเรื่องส่วนตัวของราชวงศ์ นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นางต้องยอมรับว่านางไม่เก่งด้านการแพทย์

จั๋วซือหรานพูด "พวกท่านไม่จำเป็นต้องรีบหาข้ออ้างให้ข้า หากข้ารักษาไทเฮามิได้ ข้าจะยอมรับการลงโทษโดยสมัครใจ แส้หนามของตระกูลจั๋วยังไม่สารมาถทำให้กระดูกสันหลังของข้าหัก จะมีกลอุบายใหม่อะไรล่ะที่สามารถหักกระดูกสันหลังของข้าได้"

ขณะที่นางพูด ไม่มีใครสังเกตเข็มทองคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในมือของนางได้เมื่อไร

จั๋วซือหรานเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะนางนึกว่าแหวนเสวียนเหยียนนหายไปแล้ว แต่แหวนเสวียนเหยียนปรากฏขึ้นในมือของนางอย่างกะทันหัน จากนั้น นางแอบสั่งในใจและหยิบเข็มทองออกมา

ไม่มีใครมีเวลาสังเกตแหวนสีแดงเข้มบนนิ้วชี้ของนาง

ทุกคนเห็นแต่นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปาน เพียงหายใจไม่กี่ครั้ง นางก็เจาะเข้าเข็มไปในจุดฝังเข็มของไทเฮาหลายตำแหน่ง เหลือเพียงหางของเข็มที่สั่นเล็กน้อย

แม่นมยวี่ตื่นเต้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา และนางรีบคุกเข่าลงต่อหน้าจั๋วซือหราน "หากแม่นางรักษาไทเฮาได้ ข้าจะยอมทำทุกอย่างให้เจ้า"

"กึ่ก--!"

ทุกคนตกใจและหายใจเข้าลึก ๆ วิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนังที่จั๋วซือหรานแสดงก่อนหน้านี้ เมื่อรวมกับวิชาการฝังเข็มนี้ แสดงให้เห็นว่า นางไม่ใช่รู้แค่ผิวผืนของการแพทร์

เหยียนชางรีบขยิบตาให้ฮองเฮา

ฮองเฮาดุด้วยน้ำเสียงทุ้มทันที “จั๋วซือหราน เจ้าบังอาจ เจ้าไม่มีแม้แต่ป้ายประจำหมอ แต่เจ้ายังกล้าฝังเข็มให้ไทเฮาอีก เจ้ารู้ผิดหรือไม่”

จั๋วซือหรานพูด "หากหม่อมฉันรักษาไม่ได้ ท่านจะลงโทษหม่อมฉัน ก็ไม่สายเพคะ"

“เจ้า” ฮองเฮาเหลือบมองผู้หญิงผมขาวที่นอนอยู่บนเตียง “เห็นได้ชักว่า เจ้าทำพลาดไปแล้ว ไทเฮาไม่ได้ดีขึ้นเสียหน่อย”

จั๋วซือหรานเหลือบมองนางและเหยียนชาง จากนั้นยกมุมปากของขึ้น ดูเหมือนมือของนางไร้เรี่ยวแรง นางยืนมือปัดแข็มทอง

ขณะที่นางปัด เหยียนชางตกใจจนม่านตาของเขาเปิดกว้างขึ้น เป็นไปได้อย่างไร

เฟิงเหยียนเลิกคิ้วเล็กน้อย มองดูเหยียนฉีด้วยความสนใจ และถามว่า "นี่เป็น...ของตระกูลเจ้ามิใช่หรือ"

เหยียนฉีจ้องมองการเคลื่อนไหวของหญิงสาว ดวงตาของเขามีประกายแวววาว “วิชาการกระตุ้นเข็มทางอากาศ นางรู้วิชาการตรวจชีพจรโดยไม่สัมผัสผิวหนัง ยังไม่เป็นไร แต่นางรู้วิชาการกระตุ้นเข็มทางอากาศด้วย จั๋วจิ่วเป็นใครกันแน่ เคยถูกทำร้ายด้วยเสน่ห์หนอนพิษกู่มา แล้วเก่งทุกเรื่องเลยหรือ"

หลังจากนั้นไม่นาน

“เอิ่ม...แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก”

ผู้หญิงผมขาวที่ยังคงหมดสติและไม่เคลื่อนไหว เวลานี้ จู่ ๆ ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง

แม่นมยวี่คุกเข่าลงและขยับตัวไปที่ข้างเตียง น้ำตาไหลอาบแก้ม “ไทเฮา ไทเฮา ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”

ไทเฮามีอาการไออย่างหนัก ดูเหมือนนางอยากไอปอดออกมาให้ได้ หลังจากนางพ่นเลือดสีดำออกมาสองสามคำ สีหน้าของนางจึงค่อย ๆ ดีขึ้น

“ไทเฮาถูก...ถูกวางยาพิษ...”

ไม่รู้ใครเป็นคนพูดประโยคนี้

ราวกับว่าชี้ให้เห็นสิ่งที่ไม่ควร ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็เงียบ

ฮองเฮาเดินไปที่เตียง เวลานี้นางมีสีหน้าซีดเซียว นางกล่าว“ในที่สุดเสด็จแม่ฟื้นแล้ว หม่อมฉันจะให้คนไปแจ้งฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ หากท่านได้ข่าว ต้องดีใจอย่างยิ่ง”

ดวงตาของไทเฮายังมึนงงเล็กน้อย แต่นางก็ฟื้นคืนความสงบอย่างรวดเร็ว นางเหลือบมองไปผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในตำหนักของนาง

จากนั้นนางถามแม่นมยวี่ด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า “ข้าหลับไปนานเท่าไรแล้ว”

แม่นมยวี่ร้องไห้ "ไทเฮา ท่านสลบมาครึ่งเดือนแล้ว หมอหลวงในวังจนปัญญารักษา หากไม่ใช่เป็นเพราะแม่นางจิ่วของตระกูลจั๋วมีพรสวรรค์ขั้นเทพ คงจะแย่"

ดวงตาของไทเฮาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย แต่ในที่สุดนางสงบอารมณ์ลง

เมื่อมองไปที่จั๋วซือหราน ดวงตาของนางก็อ่อนโยนมาก "เจ้าช่วยข้าไว้หรือ"

“หม่อมฉันเพียงฝังเข็มเท่านั้น ที่จริงเพราะท่านมีบุญวาสนาล้นฟ้า” จั๋วซือหรานกล่าว

แม่นมยวี่เช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า "ไทเฮา แม่นางจั๋วจิ่วได้ขอฮองเฮาประทานพระราชโองการการหมั้นเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการรักษาท่าน"

ไทเฮามองฮองเฮาโดยไม่ให้คนอื่นสังเกต “เหตุใดต้องรบกวนฮองเฮา ข้าประทานพระราชโองการกาสมรสแก่เจ้าเอง”

ไทเฮาเม้มริมฝีปากแล้วถามจั๋วซือหราน “เจ้าอยากแต่งงานกับผู้ใด”

ครึ่งเดือนที่แล้ว เมื่อไทเฮายังไม่หมดสติ นางได้ยินว่าจั๋วซือหรานเต็มใจที่จะต่อต้านครอบครัวเพื่อครองคู่กับบัณฑิต จากนั้นไทเฮาก็ตกอยู่ในอาการหมดสติ และไม่รู้เรื่องภายหลังของจั๋วซือหราน

ดังนั้นไทเฮาจึงคิดว่า "กับบัณฑิตผู้นั้นหรือ"

แม่นมยวี่รีบไปข้างหูของไทเฮาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ให้ไทเฮาฟัง ไทเฮารู้ทุกเหตุการณ์ "เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นวันนี้เจ้าและท่านอ๋องเฟิงต่างมาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอตัดสินใจว่า... "
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Fonnyna Fon
เนื้อเรื่อง สนุก แต่ปลได้ห่วยมาก
VIEW ALL COMMENTS

Latest chapter

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1460

    จั๋วซือหรานคิดๆ เสริมเข้ามาอีกประโยคหนึ่ง "ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ต้องหนี ก็ต้องไปทำความเข้าใจสถานการณ์แบบรูปธรรมมาก่อน"รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหรานหลังจากที่รู้เป้าหมายของสภาผู้อาวุโส ในใจก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นรางๆอันที่จริงนางเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามิติในแหวนเสวียนเหยียนของตนเองมันคืออะไรกันแน่ไม่แน่ การเดินทางครั้งนี้อาจจะได้คำตอบเส้นทางไปยังเมืองโม่ ยาวไกลมากจริงๆ ระหว่างทางก็เจอสถานการณ์หลายอย่าง ทั้งคนปล้นกับสัตว์ประหลาด เจอมาหมดถ้านี่เป็นกลุ่มอื่นคงจะจบลงที่กลางทางแล้วแต่โจรพวกนี้ก็ดวงไม่ดี ดันมาเจอกับกลุ่มของพวกเขาขั้นตอนโดยพื้นฐานจะเป็นปันอวิ๋นกับถังฉือสองคน ซึ่งหารือกันอย่างเกียจคร้านถังฉือ: "เจ้าไปไหม?"ปันอวิ๋น: "ข้าขี้เกียจ เจ้าไปแล้วกัน"ถังฉือ: "ข้าเองก็ขี้เกียจ"ปันอวิ๋น: "คืนนี้ข้าจะให้ซือหรานย่างปลา น้ำจิ้มผลไม้ปลาย่างของนางนี่อย่างเด็ด"ถังฉือ: "ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"จากนั้นถังฉือก็ออกไปไม่ถึงสองนาที การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงจั๋วซือหรานบางครั้งตอนที่นอนกลางวันก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย! เพิ่งมารู้เรื่องเอาตอนย่างปลาช่วง

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1459

    ถังฉือน่าจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้จริงๆ ดังนั้นจึงรู้เนื้อหาไม่ค่อยมากนักถ้าหากเป็นจั๋วซือหรานล่ะก็ คงจะตรวจสอบเป้าหมาย แผนการ ของอีกฝ่ายมาจนหมดแล้วยังดีที่ถึงแม้ข้อมูลของถังฉือจะไม่เยอะมาก แต่พอบวกกับข้อมูลที่ปันอวิ๋นรู้บางส่วนรวมส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวออกมาได้จั๋วซือหรานรวบรวมข้อมูลคร่าวๆ แล้วจึงสรุปออกมา"สรุปก็คือ ในเรื่องที่สภาผู้อาวุโสลิ้มรสความหอมหวานจากเกาะลอยฟ้าด้วยพลังแห่งมังกรคราม เลยคิดอยากจะได้พลังแห่งสัตว์เทพที่มากกว่า หวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม ต้องการ...แดนอุดมคติบนโลกมนุษย์"พูดถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง ทั้งเหมือนประชดและเหมือนไม่มี นางเสริมขึ้นมาคำหนึ่ง "แดนอุดมคติบนโลกมนุษย์ที่เป็นของพวกเขาเท่านั้น"น่าจะประมาณนี้นั่นล่ะเพียงแต่ว่าล้มเหลวไปแล้ว เพราะพลังสัตว์เทพที่ได้รับมาจากการพันธนาการ มันไม่ได้ผลลัพธ์แบบที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้"หลักๆ คือเจ้าเสียวหม่านี่รู้ข้อมูลมาน้อยเกินไปแล้ว" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้น "ดังนั้นพวกเรารีบไปที่เมืองโม่ดีกว่า ชิงตัวซงซีกับเยี่ยนเหวยมาก่อน ข้อมูลที่พวกเขารู้ต้องมากกว่านี้แน่นอน"จั

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1458

    สายตาของปันอวิ๋นก็มองมาทางเขา รู้สึกทอดถอนใจหน่อยๆถังฉือไม่พูดต่อ แต่ปันอวิ๋นก็เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องราวหลังจากนั้นจึงหันมาบอกกับจั๋วซือหรานว่า "พยัคฆ์ขาวนั่นตอนนั้นก็เป็นเขานี่ล่ะที่จับไป""..." จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายความเงียบงันของถังฉือเมื่อครู่ทันทีมิน่า น่าจะตอนนั้นสินะ เขาถึงได้เข้าใจต่อเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง"สรุปคือ..." ถังฉือเนื่องจากมีนิสัยแบบนั้น ดังนั้นต่อให้รู้สึกเชิงขอโทษอยู่บ้าง แต่มันก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเขาพูดต่อว่า "สรุปคือ หลังจากข้าพาเขาไป พวกเขาก็หาวิธีคิดจะใช้พลังแห่งพยัคฆ์ขาว ข้าเข้าใจไม่มากนัก จำได้ลางๆ ว่า พวกเขาหวังจะมีพลังแห่งสัตว์เทพ แล้วจะสร้างปาฏิหาริย์เหมือนเกาะลอยฟ้าขึ้นมา"ฟังถึงตรงนี้ จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ถึงอย่างไร คนที่เคยลิ้มรสความหอมหวานมาแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อยากจะลิ้มรสความหอมหวานมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์เพียงแต่ว่า จั๋วซือหรานเพิ่งจะคิดแบบนี้ ก็เห็นถังฉือขมวดคิ้ว เหมือนจะดูไม่ค่อยพอใจกับเนื้อหาคำพูดของตัวเองราวกับว่า รู้สึกว่าคำพูดของตัวเอง ยังแสดงความหมายที่อยากจะบอกออกมาไ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1457

    จั๋วซือหรานพูดถึงตรงนี้ ก็หัวเราะขึ้นมา แต่ไม่ใช่หัวเราะใส่เฟิงเหยียนหรือปันอวิ๋นถ้าให้พูดจริงๆ น่าจะเป็นเจ้าสภาผู้อาวุโสสมควรตายนั่นมากกว่าจั๋วซือหรานหัวเราะเสียงเย็นชา "พวกเขาพอได้ลิ้มลองของดีแล้ว ต้องไม่ยอมปล่อยวางพลังสัตว์เทพไปแน่นอน"พลังแห่งมังกรครามสามารถทำให้เกาะมังกรลอยบนท้องฟ้าได้ ทำให้ฐานที่มั่นพวกเขาดูราวกับเป็นปาฏิหาริย์แห่งทวยเทพได้อย่าว่าแต่สภาผู้อาวุโสพวกนี้เลยจั๋วซือหรานลองสมมติว่าถ้าตนเองเป็นแบบนั้น ก็คงรู้สึกอยากจะรู้ว่าพลังของสัตว์เทพอื่นๆ จะเป็นเช่นไร"ใช่เลย" ปันอวิ๋นถอนหายใจ "เพียงแต่ว่า พลังสัตว์เทพมันหาได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน"ถังฉือที่อยู่ข้างๆ ก็พูดต่อมาว่า "พวกเราหามาตั้งหลายปี ไอ้ที่หาเจอจริงๆ ก็มีแค่หงส์แดงกับพยัคฆ์ขาวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นแค่พวกน้ำไร้รากด้วย"จั๋วซือหรานรู้สึกสนใจกับคำพูดนี้ของถังฉือ"น้ำไร้ราก..."ประหลาด จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายคำนี้ของถังฉือขึ้นทันทีพลังแห่งพยัคฆ์ขาวที่ถังฉือพูดถึงเป็นอย่างไร จั๋วซือหรานไม่รู้แต่ที่นางรู้คือบนตัวเฟิงเหยียน หรือก็คือพลังหงส์แดงที่สืบทอดมาของตระกูลเฟิงมันก็ดูเป็นน้ำไร้รากจริงๆ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1456

    เขาพยักหน้า "พวกเขาสะสมมานานหลายปี มีทรัพยากรที่ดีที่สุด มีเส้นสายที่ดีที่สุดกับสำนักต่างๆ"ถังฉือพูดต่อไปและเพราะมีทรัพยากรเช่นนี้ พวกเขาจึงมีสายข่าวที่เยอะถึงเยอะมากๆสัตว์เทพเอย สัตว์ชั่วร้ายเอย สิ่งที่คนปรารถนาแต่ไม่อาจเอื้อมถึง แค่คิดก็ยังไม่กล้าจะคิด ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว กลับเป็นสิ่งที่ได้มาง่ายดายและเพราะได้มาง่ายดาย จึงไม่ได้ดูมีคุณค่าขนาดนั้นดังนั้น จึงมีทะเลทรายทางเหนือขึ้นมาทะเลทรายทางเหนือก็เหมือนกับเป็นศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งของสภาผู้อาวุโส รวบรวมตัวตนอันตรายจำนวนมากไว้ เป็นตัวตนที่สภาผู้อาวุโสรู้สึกว่าเก็บไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่จะทิ้งก็เสียดายถ้าบอกว่าให้ทิ้งไป พวกเขาก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ถ้าจะบอกว่ามีค่า...ก็เหมือนไม่ได้ไปถึงขนาดนั้นดังนั้นจึงให้พวกเขาอยู่กันที่ทะเลทรายทางเหนือ อยู่ในเมืองโม่ทั้งใช้งานต่อได้ และไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตของสภาผู้อาวุโสด้วยจั๋วซือหรานฟังออกถึงความหมายในคำพูดนี้"ดังนั้นก็คือ...ที่พวกเขาเอาคนเหล่านี้มาทำงานในเมืองโม่ อันที่จริงก็เพื่อไม่ให้พวกเขาไปยังฐานที่มั่นสภาผู้อาวุโส แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของพวกเขาต่อไปได้"

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1455

    ถังฉือชอบจั๋วซือหราน ไม่ใช่ความรู้สึกชอบแบบหนุ่มสาว แต่เป็นความชอบแบบบริสุทธิ์ใจดังนั้น ขอแค่จั๋วซือหรานอยากรู้ ถังฉือก็จะตอบสิ่งที่รู้ออกมาทั้งหมดดังนั้นจั๋วซือหรานจึงมีความเข้าใจต่อสภาผู้อาวุโส และทะเลทรายทางเหนือพอควรแล้วสภาผู้อาวุโส ตอนแรกสุดที่ก่อตั้ง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี และไม่มีการกดขี่ข่มเหงตอนนั้น แผ่นดินใหญ่แตกแยกล่มสลายแคว้นเล็กต่างๆ สับสนวุ่นวายไม่พัก สู้กันไปสู้กันมาตอนนั้นลัทธิยังไม่เรียกเป็นลัทธิ แต่ยังเรียกเป็นแค่กลุ่มสำนัก และกลุ่มสำนักภูเขาหรือกลุ่มสำนักริมน้ำก็ผุดขึ้นมาไม่ขาดสายและก็มีการช่วงชิงระหว่างกันทั้งที่ลับที่แจ้งอยู่ไม่น้อยพูดแบบนี้ดีกว่า เป็นยุคสมัยที่ค่อนข้างวุ่นวายเลยทีเดียวระหว่างแคว้นรบราต่อสู้กัน วุ่นวายไม่หยุดหย่อนระหว่างสำนักเองก็ต่อสู้กัน มีคนตายไปไม่น้อยสถานการณ์เช่นนี้ยืดยาวต่อมาเป็นเวลานาน กินเวลาหลายสิบปีเลยทีเดียวต่อมาไม่รู้เนื่องจากโอกาสอะไร โดยรวมคือ มีสำนักอันดับแรกที่ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมตัวเป็นพันธมิตรพลังของสำนักเช่นนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ธรรมดา ดีกว่ากลุ่มสำนักแต่ก่อนมากมายดังนั้น เพื่อจะต่อสู้กับสำนักนี้ สำนักอื่นๆ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status