ซือหลี่ชางยหวี่ตกตะลึง เขาไม่ได้พิจารณาข้อนี้เลย เขาเพียงแต่รู้สึกว่า จั๋วซือหรานหยิบวัสดุยาจากชั้นวางของอย่างจริงจังและนางไม่ลังเลใจ เขาเลยคิดว่านางสอบผ่านแน่ ๆแต่หลังจากเขาฟังซือหลี่เสวียนหมิงพูดเช่นนั้น เขารู้สึกข้อสอบนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนี้“ป๋อยวนคงไม่แอบจัดข้อสอบยาก ๆ เพื่อให้นางสอบตกหรอกนะ”ซือหลี่ชางยหวี่ถาม เขามองซือหลี่ตันติ่งที่ยังคงยืนตัวตรงอยู่ที่นั่นซือหลี่เสวียนหมิงยืนอยู่ด้านข้าง เสียงของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ใครจะรู้ล่ะ เพราะป๋อยวนให้คนสอบผ่านยาก แต่ป๋อหยวนบอกข้าว่า คุณหนูจั๋วจิ่วนี้ใจกล้ามาก นางตกลงกับป๋อยวน หากนางสอบตกแพทย์กลั่นยา นางจะถูกลงโทษสิบเท่า”ขณะที่ซือหลี่เสวียนหมิงกำลังพูดอยู่ นางก็เกร็งและยืดนิ้วออกเล็กน้อย และเสียงแผ่วเบาของนางเผยให้เห็นความกระตือรือร้นเล็กน้อยที่คนอื่นสังเกตยาก“การลงโทษเท่าสิบครั้งนะ ข้าไม่ได้ลงโทษใครสิบเท่ามานานแล้ว…” นอกจากคำพูดอันเร่าร้อนของนางแล้ว การงอเล็กน้อยและการยืดนิ้วของนางกำลังแสดงความในใจของนาง-นางคันมือแล้วหากฟังเสียงที่อ่อนโยนของนางอย่างเดียว บางทีอาจไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงที่มีเสียงที่อ่อนโยนจริง ๆ แล้วคือ ซื
ซือหลี่ฉือหางเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงกำลังจะพูดบั่นทอนกำลังใจแต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป“นี่คือ...!” ซือหลี่ฉือหางพูดด้วยความตกใจ นี่ไม่ใช่แค่พลังวิญญาณของไม้ธรรมดา ๆพลังทางจิตวิญญาณของจั๋วซือหรานสั่นสะเทือนอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน จากนั้นนางค่อย ๆ ปิดเข้าไป แน่นอนว่าเจ้าของร่างเดิมเหมือนกับสมาชิกของตระกูลจั๋วคนอื่น ๆ พวกเขาถูกควบคุมด้วยเลือดแต่จั๋วซือหรานไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม พลังการแพทย์สายวิเศษ ของนางเปิดทางให้พรสวรรค์ทางสายเลือดของตระกูลจั๋วโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าพลังนี้ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ แต่แรงบันดาลใจแค่นี้ก็พอที่จะไปใช้ในห้องโถงยาของหน่วยสืบสวนพิเศษ การรับรู้ของนางพอที่จะให้นางใช้ในห้องโถงนี้แล้วจากนั้นนางก็หันหลังอย่างสงบ นางหยิบสมุนไพรอีกสองสามชนิดออกมาจากชั้นวางยาแล้วเรียงยาเหล่านี้และวางทั้งหมดไว้บนโต๊ะ“นี่คือยาตอนที่ข้าเดินเข้ามาในหน่วยสืบสวนพิเศษ มีหญ้าจาง ๆ อยู่ในรอยแตกของผนังข้างฉาก ข้าเกือบจะพลาดไปแล้ว…”“ส่วนนี่คือสาหร่ายใต้น้ำที่ก้นบ่อปลาหน้าห้องโถง”ทุดท้าย จั๋วซือหรานวางกล่องหนึ่งลงบนโต๊ะ "และนี่คือลูกปัดว
ซือหลี่ตันติ่งเป็นผู้ที่ไม่ชอบคุย เขาไม่ค่อยคุยกับซือหลี่คนอื่น ๆ แต่เขาเคารพซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็มิได้คัดค้านและพยักหน้า “เชิยท่านตามสบายขอรับ”จั๋วซือหรานรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อได้นางยินคำแนะนำของชายคนนั้นแม้ว่านางจะจำได้ว่าตอนที่นางถูกเหยียนชางใส่ร้ายและถูกทรมานเพื่อสอบปากคำ หลังจากชายคนนี้ปรากฏตัว คนอื่นจึงหยุดการทรมานแต่คนอย่างเขาเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้และยากที่จะรู้ว่า เขาเป็นศัตรูหรือเพื่อนเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกอันตรายโดยไม่มีเหตุผลจั๋วซือหรานกัดริมฝีปากของนางเบา ๆ แต่เสียงของนางไม่ได้ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง "มิทราบว่า ท่านจะทดสอบข้าอย่างไร"ด่านที่สองของการแพทย์กลั่นยาคือยาแก้พิษนั่นคือการวิเคราะห์ลักษณะยาและวัตถุดิบของยาด่านที่สามคือการกลั่นยาต่อหน้าทุกคนหากจั๋วซือหรานผ่านสามด่านนี้ได้ จะถือว่านางสอบผ่านฟังดูง่าย แต่จริง ๆ แล้วทำได้ยากมากเพราะถ้านางไม่ใช่คนที่รู้เรื่องยาและสรรพคุณทางยามากนัก นางจะติดอยู่ที่นี่ในด่านที่สองยาเม็ดสามารถแบ่งคร่าว ๆ ออกเป็นคุณภาพชั้นหนึ่งถึงชั้นก้าวโดยชั้นหนึ่ง คือคุณภาพที่แย่สุด และชั้
คิ้วของจั๋วซือหรานขมวดเล็กน้อย จากนั้นนางเงยหน้าและมองไปที่ชายที่นั่งอยู่บนที่นั่งนางมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกความรู้สึกที่ผู้ชายคนนี้ทำให้นางซับซ้อนมาก เมื่อเทียบกับการเขาจงใจพยายามทำให้นางสอบไม่ผ่านจั๋วซือหรานรู้สึกเขานำยาเม็ดเล็กชั้นสี่มาทดสอบนาง นั่นไม่ใช่จงใจสร้างด่านให้นาง แต่เหมือนอยากทดสอบความลึกของนางมากกว่า เพราะเขาอยากรู้นางได้ซ่อนความสามารถอะไรบ้างจั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ “ยาเม็ดเล็กชั้นสี่หรือ ท่านกำลังพยายามหาเรื่องกับผู้หญิงที่อ่อนแออย่างข้าหรือ”ซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษจ้องจ้องมองใบหน้าของนางครู่หนึ่ง และเขาพูดด้วยนำเสียงแบบเดิม "เมื่อเห็นเจ้ามีความมั่นใจอย่างมาก ข้ารู้สึกนี่ไม่ใช่หาเรื่องหรอก"จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากของนางเบา ๆ นางแอบคิดในใจ เมื่อครู่นี้นางควรทำตัวน่าสงสารหน่อยนางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางนึกแผนรับมือออก นางเลิกคิ้วที่สวยงามของนางเล็กน้อย “ไม่ต้องสนใจข้าจะลำบากหรือไม่ ท่านเป็นผู้ใหญ่ เอายาเม็ดเล็กชั้นสี่มาเป็นการทดสอบของการสอบแพทย์กลั่นยา ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง”ซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษถามอย่างไร้ความรูั้สึก “เจ้าจะยอมแพ้หรือ”“นั่นไ
พลังของการแพทย์สายวิเศษพุ่งออกมาจากแหวนเสวียนเหยียน และห่อยาเม็ดเล็กนั้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับพลังทางจิตวิญญาณไม้ธรรมชาติของตระกูลจั๋วแม้แต่จั๋วซือหรานก็สังเกตถึง หลังจากรวมพลังของการแพทย์สายวิเศษเข้ากับพลังทางจิตวิญญาณไม้ธรรมชาติของตระกูลจั๋ว พลังนั้นทรงพลังและมั่นคงอย่างยิ่งแรงบันดาลใจอันสูงสุดแก่จั๋วซือหราน ต้องยอมรับว่าบางทีพลังของการแพทย์สายวิเศษของตัวเองและพลังทางจิตวิญญาณจากไม้ตามธรรมชาติของตระกูลจั๋วใช้คู่กันดีจริง ๆแรงบันดาลใจในสมองของจั๋วซือหรานช่วยจั๋วซือหรานรู้จักลักษณะยาและช่วยหาส่วนผสมของยาเม็ดเล็กซือหลี่หลายคนเห็นนางเริ่มกลั่นยาหลังจากได้รับแรงบันดาลใจอย่างรวดเร็วพวกเขาทั้งหมดดูนางและไม่พูดคำใด ๆ ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ซือหลี่ชางยหวี่อดไม่ได้ที่ต้องบถามด้วยเสียงต่ำ "ข้าได้ยินมาว่า ดูเหมือนตระกูลจั๋วประกาศว่า ไล่นางออกจากกสำนักงานใหญ่"ซือหลี่เสวียนหมิงตอบสั้น "จ้ะ น่าจะใช่"“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตระกูลจั๋วเสื่อมโทรมเรื่อย ๆ มีสายตาสั้นเช่นนี้ มันก็จะจบล้มละลายไม่ช้าก็เร็ว” ซือหลี่ชางยหวี่พูดตรง ๆ หากพูดอย่างสุภาพคือ ไม่มีวิจารณญาณ หากพูดอย่างไร้มารยาทคือ มองคนไม
การหลอมยาคือ ใช้พลังทางจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องเพื่อห่อแก่นแท้ของวัสดุยาที่ได้รับการขัดเกลาและหลอมให้เป็นรูปทรงกลม ส่วนการอัดยาหมายถึง ในระหว่างกระบวนการนี้ มักใช้พลังทางจิตวิญญาณอัดยาจากทุกทิศทางให้เข้าในยาเม็ดเล้กในกระบวนการนี้ ผู้กลั่นยาไม่เพียงแต่ต้องใช้พลังทางจิตวิญญาณมาหลอมยาให้เป็นกลม ๆ ยังต้องใช้พลังทางจิตวิญญาณมาคุมความร้อนอีกด้วย หากไม่ระมัดระวัง ผู้กลั่นยาอาจจะระเบิดยาเม็ดเล็กหรือระเบิดเตาหม้อดังนั้นทักษะพื้นฐานของแพทย์กลั่นยาคือการควบคุมพลังทางวิญญาณอย่างละเอียดและแม่นยำ ยิ่งควบคุมพลังทางวิญญาณได้ละเอียดและแม่นยำเท่าใด คนก็ยิ่งมีโอกาสเป็นแพทย์กลั่นยาที่เก่งมากขึ้นเท่านั้นเดิมทีจั๋วซือหรานมีสมาธิมากอยู่แล้ว และเมื่อมาถึงสองขั้นตอนนี้ นางยิ่งมีสมาธิมากขึ้น ราวกับว่านางอยู่ในโลกที่มีแต่นางผู้เดียวเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นไม่ใช่เสียงใหญ่ที่เกิดจากเตาหม้อระเบิด แต่เป็นเสียงที่คมชัด - ดิ๊งเนื่องจากจั๋วซือหรานมีสมาธิมากเกินไป ม่านตาของนางจึงไม่มีสมาธิในขณะนี้ ม่านตาสีดำอันสว่างมีสมาธิและมีแสงสว่างเจิดจ้าดวงตาและมุมปากของนางเริ่มค่อย ๆ โค้งงอเสียงที่คมชัดในเมื่อครู่นี
เสียงของซือหลี่ฝายเทียนฟังติด ๆ ขาด ๆ จะว่าเขาพูดติดอ่าง ดูเหมือน...มากกว่าจั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องมองซือหลี่ฝายเทียนสองครั้งและซือหลี่ฝายเทียนท่านนี้ดูผอมและไม่สูงมาก ดูเหมือนเขาจะเขินอายเล็กน้อยเมื่อเขาสังเกตจั๋วซือหรานมองเขา เขาหันไปด้านข้างและหลบสายตาของนางซือหลี่ตันติ่งมีนิสัยที่เย็นชาและตรงไปตรงมา เขาค่อนข้างใจร้อนกับซือหลี่ท่านอื่น ทีนี้เขาดูเหมือนจะค่อนข้างดีกับซือหลี่ฝายเทียนเขาเรียกชื่อของซือหลี่ฝายเทียนตรง ๆ “เอาล่ะ ชิ่งหมิง มานี่สิ”ซือหลี่ฝายเทียน ซึ่งถูกเรียกว่า ชิ่งหมิง ในตอนแรกเขาหันไปด้านข้างและรักษาระยะห่างอย่างสุภาพกับจั๋วซือหราน จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ ยับตัวไปที่ด้านข้างของ ซือหลี่ตันติ่งจั๋วซือหรานรู้ลัทธิฝานเทียน ในเจ็ดลัทธิหลัก ลัทธิฝานเทียนไม่ใช่ลัทธิที่ถนัดการต่อสู้ แต่ลัทธินี้มีฐานะสูงอยู่ เนื่องจากลัทธิฝานเทียนเชี่ยวชาญด้านฝึกฝนนักกลั่นอาวุธ เช่นเดียวกับลัทธิตันติ่ง ซึ่งถนัดในด้านการฝึกฝนแพทย์กลั่นยาผู้มีความสามารถพิเศษเช่นนี้ แม้ว่าบุคคลธรรมดาไม่ไปตีสนิทเอง แต่พวกเขาก็ไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองด้วยตัวอย่างนักหลอมดาบของห้องกระบี่ประจำตระกูลที่ตร
"อ้าว" ซือหลี่ตันติ่งเหลือบมองเขาจากด้านข้างจากนั้นเขาได้ยินซือหลี่ฝายเทียนพูดติดอ่าง"นาง นางหน้าตาดี ดวงตา ดวงตาของนางสวยมาก"Alaซือหลี่ตันติ่งดูเหมือนจะหัวเราะและพูดว่า "เอาน่า"หลังจากพวกเขาออกไป ห้องโถงเงียบลงทันทีจั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่า หน่วยสืบสวนพิเศษ ซึ่งดูจริงจังเกินไป เคร่งขรึม และมืดมน จะมีคนเช่นซือหลี่ฝายเทียนทั้ง ๆ ที่ชื่อของลัทธิฟังเผด็จการ ฝานเทียน(ฝานเทียนในภาษาจีนหมายถึง เผาท้องฟ้า)จริง ๆ แล้วเขาเป็นเด็กน่ารักที่พูดติดอ่าง...จั๋วซือหรานไม่รีบเดินไปข้างนอก นางเลยนั่งอยู่บนพื้นในห้องโถง เริ่มลองใช้พลังทางจิตวิญญาณของนางและพลังของการแพทย์สายวิเศษอีกครั้ง เพื่อรู้สึกการผสมผสานที่ลึกลับนางรู้สึกการคาถาที่ซับซ้อนที่อยู่บนพื้นของห้องโถงน่าจะช่วยกระตุ้นด้วยห้องโถงตันติ่งเงียบมาก ซึ่งเงียบกว่าที่อื่นมาก ดูเหมือนว่าไม่ต้องต้องกังวลใครเข้ามาอย่างกะทันหันจั๋วซือหรานไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร นางรู้สึกว่าน่าจะเกือบหนึ่งชั่วยามพอดีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกประตูของห้องโถงตันติ่ง เสียนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆจั๋วซือหรานลืมตาขึ้นและเห็นซือหลี่ฝายเทียนที่สวมหน้า
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"