แต่ลั่วชิงยวนก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตบดีนางอีกนางยกมือขึ้นมาคว้าข้อมือของลั่วไห่ผิงเอาไว้แน่นนางมองลั่วไห่ผิงด้วยสายตาคมกริบเชือดเฉือนและเอ่ยวาจาเด็ดขาดเพื่อข่มขู่ว่า “ท่านพ่อ ข้าหวังว่าท่านคงยังไม่ลืมว่ามหาราชครูลั่วบอกอะไรท่านไว้”“ถึงแม้ข้าจะเป็นบุตรีของท่าน แต่ว่าตอนนี้ข้าก็เป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะมาลงโทษข้าอีกต่อไป! ก่อนที่จะลงมือคิดให้ดีก่อนเถิดว่า ท่านกำลังจะตบตีบุตรี หรือว่าชายาอ๋องกันแน่?”นางพูดอย่างเด็ดขาดชัดเจนก่อนปล่อยมือของลั่วไห่ผิงเมื่อคิดถึงสิ่งที่ท่านอารองได้กล่าวเตือนเขาไว้ ลั่วไห่ผิงก็เก็บกลั้นโทสะเอาไว้ เขากำหมัดแน่นไว้ด้านหลัง และไม่กล้าลงมืออีกลั่วเยวี่ยอิงนั้นโมโหจนกัดฟันแน่น นางสารเลวลั่วชิงยวนตอนนี้ไต่เต้าพึ่งพิงไม้ใหญ่ของจวนมหาราชครูได้แล้ว ตอนนี้แม้แต่บิดาก็ทำอะไรนางไม่ได้นางสารเลวผู้นี้ เหตุใดถึงได้มากเล่ห์นัก! นางหลอกลวงมหาราชครูลั่วและฮูหยินลั่วได้เช่นไรกันลั่วเยวี่ยอิงเกาะแขนลั่วไห่ผิง “ท่านพ่อ ไม่ต้องไปสนใจนาง เราไปหาท่านปู่รองดีกว่าเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นว่าลั่วเยวี่ยอิงเปลี่ยนน้ำเสียงฉับพลัน ลั่วชิงยวนก็อดแค่นเสียงใส่ไม่ไ
ลั่วหรงเดินออกมาแล้วคว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ สีหน้าของนางดูเคร่งขรึมก่อนหน้านี้ นางพูดเสียงจริงจังว่า “ไปคุยกันที่เรือนข้า”……หลังจากที่นั่งลงในห้องและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ลั่วหรงก็บอกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมีคำถามมากมาย แต่ข้าบอกเจ้าเรื่องปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตำหนักที่ท่านอ๋องบอกมาได้”“เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามของในวังและเมืองนี้ เจ้าห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้ เจ้าต้องไม่พูดถึงเรื่องนี้นอกวังด้วย”แม้ลั่วชิงยวนจะรู้ว่าท่านอาลั่วหรงนั้นไม่อยากให้นางรู้เรื่องนี้ก็เพื่อประโยชน์ของนางเอง แต่นางก็ยิ่งอยากรู้เมื่อได้ยินเช่นนี้นางกลัวว่าน่าจะเป็นฟู่เฉินหวนที่บอกท่านอาว่าไม่ให้บอกนาง และใช้ข้ออ้างว่าเป็นไปเพื่อผลดีต่อตัวนางเองลั่วชิงยวนไม่ได้บังคับฝืนใจ นางเพียงพยักหน้า “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม”“เพียงแต่ว่าท่านอาทราบหรือยังว่าใครกันที่เป็นหนอนบ่อนไส้? ในเมื่อคราวนี้แผนใหญ่ของมันผู้นั้นล้มเหลว ไม่แน่ว่าจะไม่ลงมือครั้งที่สอง”ลั่วหรงพูดเสียงเคร่งเครียด “เจ้าก็ได้เห็นความมีเกียรติของท่านปู่เจ้าแล้ว ตระกูลของเรามิเคยล่วงเกินใคร แม้ว่าเราอาจจะมีเรื่องมีราวกับบิดาของเจ้าแต่นั้นก็เ
ก่อนที่แม่นมเติ้งจะทันพูดจบ ความกระวนกระวายร้อนใจของนางก็ทำให้ลั่วชิงยวนมีลางสังหรณ์ไม่ดี นางจึงรุดออกจากห้องไปที่เรือนของฟู่เฉินหวนนั้นมีองครักษ์เฝ้าอยู่มากมาย และมีคนโดนโยนออกมาจากห้องคนแล้วคนเล่า เสียงการต่อสู้ในห้องผสานกับเสียงร้องไห้อย่างหวาดกลัวของสตรีเมื่อลั่วชิงยวนมาถึง เซียวชูก็โดนฟู่เฉินหวนเตะออกมาพอดีเขาลอยลงกระแทกพื้นอย่างแรง“พระชายา ท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ” ซูโหยวรีบหยุดลั่วชิงยวนไว้ทันที ตอนนี้ท่านอ๋องนั้นอันตรายมาก เขาจึงไม่กล้าจะให้ลั่วชิงยวนเข้าไปใกล้“ถอยไปให้พ้น” ลั่วชิงยวนนิ่วหน้า ก่อนผลักซูโหยวให้พ้นทางแล้วพุ่งเข้าไปในห้อง“พระชายา” เมื่อซูโหยวกำลังจะตามทัน ลั่วชิงยวนก็ชิงปิดประตูและลั่นดาลไว้ก่อนตอนนั้นเองกลิ่นอายชั่วร้ายของฟู่เฉินหวนแผ่ผ่านดวงตาของเขา และมีรังสีมารสีแดงก่ำอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสองเขานั้นเกือบจะคลุ้มคลั่งเสียสติแล้ว แววตาเขาขุ่นมัวพร้อมแผ่กลิ่นอายสังหารออกมารอบกายเมื่อฟู่เฉินหวนเห็นนาง เขาก็พุ่งเข้าใส่นางทันทีโดยไม่ลังเลลั่วชิงยวนนั้นเตรียมตัวไว้แล้ว นางหลบทันทีพร้อมมีเข็มเงินอยู่ในมือ นางเอาเข็มนั้นปักเจ้าที่ด้านหลังคอของฟู่เฉินหวน
นางกำลังจะตาย!แววตาลั่วเยวี่ยอิงวาววับ มีแววบ้าคลั่งเจือเล็กน้อยแต่ขณะที่ลั่วเยวี่ยอิงกำลังรอด้วยใจระทึกนั้นเอง ประตูก็เปิดออกกะทันหันและมีเสียงร้อนรนดังขึ้น “ท่านอ๋อง หยุดมือ”ซูโหยว เซียวชูและท่านหมอกู้ต่างก็พุ่งเข้ามาในห้อง พวกเขาคว้ามือของฟู่เฉินหวนทันที หมอกู้ก็รีบใช้เข็มเงินฝังเข้าที่หลายจุดบนร่างของฟู่เฉินหวนทำให้เขาหมดสติไปจังหวะที่ฟู่เฉินหวนอ่อนแรงนั้น เรี่ยวแรงที่มากมายจนเหมือนปีศาจของเขาก็หายไป ลั่วชิงยวนถูกปล่อยพ้นมือเขาแ ละลงไปทรุดกองกับพื้น นางรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่นางสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด พร้อมยกมือขึ้นแตะลำคอที่เจ็บปวด ก่อนมองดูฟู่เฉินหวนโดนแบกไปที่เตียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดฟู่เฉินหวนนั้นออกจากตำหนักอ๋องไปเพื่อรักษาตัวเมื่อเดือนก่อน และกลับมาเพียงวันเดียวก่อนวันเกิดของท่านมหาราชครู ในช่วงหนึ่งเดือนนี้อาการป่วยของเขาไม่เพียงไม่ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงเมื่อได้เห็นโรคของฟู่เฉินหวนอาการหนักขึ้น เขานั้นเหมือนกลายร่างเป็นผีดิบที่โดนผู้อื่นควบคุมร่าง และสุดท้ายก็จะทำร้ายตัวเองผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังนั้นต้องการให้ฟู่เฉินหวนคลุ้มคลั่งตอนที่อยู่ในจวนมหาราชครู แต่ค
นางรู้สึกเย็นสันหลังวาบทันใดท่านหมอเทวดากู้นั้นมายืนมองนางตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว?เขาได้ยินทุกสิ่งที่นางคุยกับซูโหยวหรือไม่?ลั่วชิงยวนยิ้มโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนบอกว่า “ดูจากอาการที่ท่านอ๋องเป็นตอนนี้ มันช่างเหมือนกับตอนที่มีเหตุผิดปกติในตำหนักและมีบ่าวรับใช้คลุ้มคลั่งเลยใช่หรือไม่?”“ตอนนี้ท่านอ๋องต่อต้านข้านัก ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกท่านหรอก เพียงแต่อยากเตือนไว้บ้างก็เท่านั้น”เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูโหยวก็ตัวแข็งทื่อและรู้สึกในใจเย็นเยียบเมื่อพระชายาพูดขึ้นมาก็ดูเหมือนว่า อาการของท่านอ๋องในคืนนี้จะเหมือนเรื่องคืนก่อนนั้นมาก เป็นไปได้ไหมว่าท่านอ๋องโดนวิญญาณร้ายบางตนสิงสู่?“ขอรับ ขอบคุณที่พระชายาช่วยเตือนข้า”ลั่วชิงยวนไม่พูดอะไรอีก นางเดินกลับเรือนไปนางเองก็ได้ยินเสียงซูโหยวจากไปแล้ว แต่นางยังคงรู้สึกได้ถึงแววตาน่าหวาดหวั่นที่มองมาต้องมีบางอย่างไม่ปกติกับหมอเทวดากู้เป็นแน่ตำหนักอ๋องและจวนมหาราชครูต่างก็เกี่ยวข้องกัน นางกลัวว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะมีมือเท้ายาวไกล และท่านหมอกู้เองก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นนางคิดเรื่องนี้ขณะที่เดินกลับเรื
“เช่นนั้น ก็วัดให้องค์ชายห้า และตัดเย็บอาภรณ์ให้เขาด้วยเถิด” สายตาของฟู่เฉินหวนยะเยือกลงทันที ลั่วชิงยวนถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านอ๋องคงมิได้มีจิตใจคับแคบเช่นนั้นใช่? คนทั้งตำหนัก กระทั่งคนนอกอย่างลั่วเยวี่ยอิงยังมีอาภรณ์ใหม่ แต่เสด็จน้องแท้ ๆ ของท่านกลับมิมีน่ะหรือ?” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก แต่กลับกำลังพูดเหน็บแนม สีหน้าของฟู่เฉินหวนมืดครึ้มลงทันที น้ำเสียงก็เยือกเย็นมากยิ่งขึ้น “เจ้าช่างห่วงใยน้องห้าของข้าเสียจริง” ลั่วชิงยวนยิ้มเลิกคิ้ว และตั้งใจพูดแซะ “หม่อมฉันเรียนรู้มาจากท่านอ๋องเพคะ” สีหน้าของฟู่เฉินหวนอึมครึม ส่วนลั่วชิงยวนหันร่าง และเดินจากไปทันที ซูโหยวที่อยู่อีกด้านมองอย่างอกสั่นขวัญหาย เขารีบขึ้นหน้าประคองท่านอ๋องไว้ “ท่านอ๋อง ท่านหมอเทวดากล่าว อาการของท่านตอนนี้มิควรกริ้วโกรธ! ท่านต้องควบคุมอารมณ์พ่ะย่ะค่ะ” ลมหายใจของฟู่เฉินหวนรุนแรงขึ้น ปลายนิ้วเย็น ๆ ของเขากดไปบนหน้าผาก “บางทีหมอเทวดากู้พูดถูก เมื่อหย่าร้างกับลั่วชิงยวน ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ” ตั้งแต่ที่ลั่วชิงยวนแต่งเข้ามาในตำหนัก ก็มิเคยมีวันสงบอีกต่อไป และวันนี้ที่เขาต้องกริ้วโกรธ ก็เป็
ลั่วชิงยวนตะลึงเล็กน้อย นักทำนายชะตาหรือ? แท้จริงนางอยากบอกฟู่อวิ๋นโจว บนตัวเขามิมีสิ่งอัปมงคลใด ดังนั้นต่อให้เชิญนักทำนายชะตามาดูก็เปล่าประโยชน์ “องค์ชายห้า ยามนี้ในยุทธจักรมีพวกต้มตุ๋นมากหลายนัก ท่านระวังจะถูกหลอกทรัพย์!” ลั่วชิงยวนทำได้เพียงตักเตือน ชีวิตของฟู่อวิ๋นโจวอาจลำบากยิ่งกว่านางเสียอีก เงินเหล่านั้นสำคัญต่อเขามาก หากโดนหลอกไปคงน่าเสียดาย “วางใจเถิด มิมีทางโดนหลอกแน่! ข้าสืบข่าวมาหลายครั้ง อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง ทุกวันเขารับทำนายเพียงหนึ่งชั่วยาม อีกทั้งเวลามิแน่นอน ผู้ที่เคยทำนายกับเขาต่างแก้ไขปัญหาชีวิตกันได้จนสิ้น ข้าว่าจะไปลองเสี่ยงดู” “เผื่อจะได้” เมื่อฟู่อวิ๋นโจวพูดสามคำนี้ นัยน์ตาเขาราวกับฉายแสงจ้า จนทำลั่วชิงยวนสะเทือนใจเล็กน้อย ต่อให้เขาไปแล้วจะไม่มีประโยชน์ แต่ลั่วชิงยวนก็มิได้พูดขัดเขาต่อ เพียงแค่ถามขึ้น “นักทำนายชะตาที่ใดหรือ หม่อมฉันลองดูก่อน หากแม่นจริง ๆ ท่านค่อยไปเถิดเพคะ” ฟู่อวิ๋นโจวพยักหน้า จากนั้นบอกที่อยู่ให้กับนาง ขนาดอาภรณ์วัดเสร็จ ลั่วชิงยวนมิได้อยู่ต่อ และพาคนจากไป เมื่อกลับไป แม่นมเติ้งต้องไปจัดการเรื่องอาภรณ์ฤดูหนาว
ลั่วชิวยวนมองโหวงเฮ้งของหญิงสาวผู้นั้น เป็นอย่างที่อาจารย์ท่านนั้นพูด โหงวเฮ้งคู่ชีวิตอ่อนแอ แต่โดนรวมแล้วมิใช่โหงวเฮ้งเดียวดาย นางมีบุพเพสันนิวาส เพียงแต่มาช้า “ขอบคุณท่านอาจารย์!” หญิงสาวผู้นั้นวางเงินตำลึง และลุกจากไป ลั่วชิงยวนมองอยู่ด้านข้าง นักทำนายชะตาจึงมิได้สังเกตเห็นนาง เขาทำนายให้ผู้อื่นต่ออย่างตั้งใจ มิว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่เขาก็ต่างทำนาย จากที่ลั่วชิงยวนสำรวจ พบว่านักทำนายชะตาท่านนี้ถือว่าทำนายได้ค่อนข้างแม่น ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เงินตำลึงก็ได้วางเต็มโต๊ะเสียแล้ว จือเฉาถามอย่างอดมิได้ “พระชายา ท่านมองนานเช่นนี้ มองอะไรออกหรือไม่เจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนกลับถอนหายใจ “กำไรเยอะเสียจริง…” จือเฉาชะงัก “เจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนมองตำลึงมากมาย อย่างน้อย ๆ ก็ได้เป็นร้อยตำลึงแล้ว มิน่าจึงตั้งร้านเพียงวันละหนึ่งชั่วยาม เพราะเพียงแค่หนึ่งชั่วยามก็สามารถหาได้เป็นร้อยตำลึง จะเป็นพระชายาไปทำกัน? นางควรรีบเปิดร้านแต่แรก! ได้เงินเยอะกว่าพระชายาอีกมิใช่หรือ? หนึ่งชั่วยามผ่านไป นักทำนายชะตาท่านนั้นมิเสียเวลาแม้แต่นิด เขาเก็บของ โกยเงินตำลึงมากมาย พร้อมกล่าว “พบกันพรุ่งนี้เช้าทุกท่าน!
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ
หวังเพียงว่าจะกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้บนเขาได้ เพราะหากเขาไปสิงอยู่ในร่างผู้อื่นแล้วหนีลงเขาไปได้ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงแต่ในตอนนี้ นางไม่มีแรงพอที่จะไล่ตามแล้ว จึงไปหายาในคลังกับคนใบ้เมื่อไปถึง โฉวสือชีและอวี๋โหรวก็อยู่ที่นั่นอวี๋โหรวปรุงโอสถเสร็จแล้วโฉวสือชีกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่ข้าง ๆ“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” โฉวสือชีถามด้วยความเป็นห่วงลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไร”โฉวสือชียื่นกล่องในมือออกมา แล้วพูดว่า “เจอโสมมังกรเพียงกิ่งเดียวเอง”ลั่วชิงยวนรับกล่องมา แล้วส่งให้คนใบ้ “รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ข้าจะจัดยาให้เจ้าชุดหนึ่ง แม้จะมิสามารถรักษาอาการของเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็พอจะยืดชีวิตได้”คนใบ้พยักหน้า รับโสมมังกรมาด้วยสีหน้าซับซ้อนภายใต้หน้ากากโฉวสือชีกล่าวเสียงหนักแน่น “คลังโอสถนี่ใหญ่โตเกินไป ข้าหาบัวถวายมิเจอจริง ๆ”“และเมื่อดูแล้วในนี้ก็มีร่องรอยการถูกรื้อค้น ต่งอวิ๋นซิ่วคงมิได้หลอกพวกเรา บัวถวายคงถูกใครบางคนชิงไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “บังเอิญเกินไปแล้ว บัวถวายถูกชิงไปตอนที่เรามาถึงพอดี”“แถมยังถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”“สมุนไพรอื่นก็มิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ