พูดจบ ลั่วชิงยวนจึงไปเยี่ยมลั่วหลางหลาง ลั่วหลางหลางรู้ว่านางจะมา รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งคนให้ไปเตรียมน้ำชาและขนมหวานทันที ”ชิงยวน!” ลั่วหลางหลางเดินเข้ามาจูงมือนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลั่วชิงยวนเห็นลั่วหลางหลางใบหน้าชมพูฝาดเลือด สีหน้าค่อนข้างดี เหมือนว่าใกล้จะหายดีแล้ว “ร่างกายของพี่หลางหลางดีขึ้นแล้ว ไยถึงยังอยู่แต่ในห้องเล่า?” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัย ลั่วหลางหลางกวาดตาลง “ข้า… มิได้อยากออกไปนัก” มิใช่นางมิอยากออกไป แต่นางมิกล้าออกไปต่างหาก ลั่วชิงยวนรู้อยู่แก่ใจ นางจูงมืออีกฝ่ายนั่งลง “วันนี้ข้ามีเรื่องจักมาเล่าให้ท่านพี่ฟัง” จากนั้นนางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ประสบในหอเริงรมย์วันนี้ ได้ยินว่าลั่วชิงยวนถูกผู้อื่นล้อขัน ลั่วหลางหลางก็ดึงแขนเสื้อไว้อย่างกังวล “พวกนางเกินไปเสียจริง!” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ใช่ พวกนางพูดจาน่าเกลียดมาก เจ้าลองทายดูข้าทำอย่างไร?” “ทำอย่างไรหรือ?” คิ้วของลั่วหลางหลางขมวดแน่น กังวลใจเป็นอย่างมาก ลั่วชิงยวนยิ้มกล่าว “ข้าจึงเตะหลิวฮุ่ยเซียงตกน้ำ!” ลั่วหลางหลางได้ยิน รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก นางคิดมิถึงจริง ๆ ว่านิสัยอย่างลั่วชิงยว
เพียะ เสียงดังชัดเจน เฉียงเวยถูกตบจนอึน และยืนนิ่งอยู่กับที่ ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาดุดัน “เจ้าลองพูดอีกรอบซิ” เฉียงเวยกุมหน้าไว้อย่างอึดอัด นางร้องไห้พร้อมมองไปทางลั่วชิงยวน “พระชายารังแกผู้อื่น! เงินนี้เป็นเงินช่วยชีวิตของคุณหนูรอง! ท่านแย่งไปเช่นนี้ คุณหนูรองจะทำเช่นไร…” ลั่วชิงยวนมองลั่วเยวี่ยอิงที่ร้องไห้เสียใจอยู่อีกด้าน หัวเราะเย็นทีหนึ่ง “เงินช่วยชีวิตงั้นรึ? เจ้าก็ลองบอกมาท่านพ่อให้เจ้ามาเท่าไร ตรงกับยอดของเงินในกล่องหรือไม่?” ลั่วเยวี่ยอิงมิโง่อยู่แล้ว นางเพียงพูดสะอื้น “ข้ารู้ว่าท่านพี่ต้องการเงิน ข้าสามารถแบ่งท่านพี่ได้ครึ่งหนึ่ง แต่ท่านพี่ช่วยเหลือให้ข้าสักนิดได้หรือไม่ ข้ายังต้องรักษาหน้า” การเอาแต่ใจที่ร้องไห้เป็นอย่างเดียว ลั่วชิงยวนเห็นจนชินแล้ว บัดนี้นางรู้สึก คนอย่างหลิวฮุ่ยเซียงยังรู้จักการถกเถียง แต่ลั่วเยวี่ยอิงนั้น เอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ ไม่มีเหตุผลแม้แต่นิด! ลั่วชิงยวนแค่เห็นท่าทีร้องไห้ของนางก็รู้สึกขยะแขยง เสียงร้องไห้นางทำแก้วหูลั่วชิงยวนแสบไปหมด นางรำคาญจนสะบัดฝ่ามือใส่หน้านาง และตบนางล้มลงบนพื้น เฉียงเวยกระโจนขึ้นไป พร้อมตะโกนสุดเสียง
ในสมองของนางสามารถนึกภาพที่เขาโมโหนาง ตักเตือนนาง เค้นถามนาง และข่มขู่นางมิให้ไปทำร้ายลั่วเยวี่ยอิงออกเลย กระทั่งบางครั้งเขาอาจลงโทษนาง เพื่อเอาคืนให้กับลั่วเยวี่ยอิง ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนหลับตานึกคิด เรื่องบางเรื่อง เขาจำเป็นต้องถามให้ชัดแล้ว ท่าทีไร้ประโยชน์ของลั่วชิงยวนก่อนหน้านี้ นางแกล้งทำงั้นหรือ? ภาพวาดในวันนี้ นางวาดออกมาได้เช่นไร แล้ววันนั้นที่จู่ ๆ ลั่วเยวี่ยอิงก็เสียสติ เป็นฝีมือของนางหรือไม่? บนตัวลั่วชิงยวน มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่ ทั้งคู่คิดเรื่องที่แตกต่างจนสติหลุด จนลั่วชิงยวนมาถึงในห้องตำรา รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบ ลั่วชิงยวนมองเขานิ่ง ๆ “ฟู่เฉินหวน” ฟู่เฉินหวนกำลังจะเอ่ยปาก มิคิดว่าลั่วชิงยวนจะพูดขึ้นเสียก่อน ใบหน้าที่แสนนิ่งสงบของนาง พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงไม่แฝงความรู้สึก และชัดถ้อยชัดคำ “หย่าหม่อมฉันเถิด” เมื่อพูดจบ หัวใจของฟู่เฉินหวนกระตุก ราวกับมีสายฟ้าระเบิดที่กลางหัวของเขา สีหน้าของลั่วชิงยวนมิเหมือนวันก่อน ๆ นางในวันนี้ นัยน์ตามิมีโทสะ และมิมีความเจ็บใจ มีเพียงความสงบ ความสงบที่ล้ำลึก ทำคนมองอารมณ์ของนางตอนนี้ไม่ออก แต่กลับจ
”ลั่วชิงยวน ตั้งแต่ตอนที่เจ้าฝืนเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ เจ้าก็ทำอะไรตามใจอยากมิได้แล้ว”เขาพูดอย่างเด็ดขาดชัด ๆ ทีละคำ “อยากให้ข้าเขียนหนังสือหย่ารึ? ฝันไปเถอะ”หลังจากที่ได้พูดปฏิเสธไปอย่างหนักแน่นเช่นนั้น หน้าอกของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดบีบรัด มีกลิ่นคาวของเลือดพลุ่งขึ้นมาในปากและเขาพยายามกดข่มมันเอาไว้ลั่วชิงยวนมองแววตาเด็ดขาดของเขาและรู้สึกหนาวเหน็บในใจ เขาต้องการทรมานนางจนถึงตายเลยหรืออย่างไร?นางยิ้มเย็นชา “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าท่านอ๋องไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล แม้ท่านจะไม่มีเหตุผลที่จะปกป้องลั่วเยวี่ยอิง แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าท่านก็แค่หลงเล่ห์ของนางเท่านั้น”“เห็นชัดว่าท่านทำให้หม่อมฉันสับสนนัก ท่านมิให้หนังสือหย่าหม่อมฉัน แต่ท่านก็ยังกักขังหม่อมฉันไว้เพราะการสลับตัวแต่งงานอย่างนั้นหรือ?”“ฟู่เฉินหวน หม่อมฉันมองท่านผิดไปจริง ๆ”นางไม่ควรมีความคิดว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาเลย เขาเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการของแคว้นเทียนเซวีย เป็นท่านอ๋องผู้ไร้ปรานีเมื่อพูดจบ ลั่วชิงยวนก็หันหลังจากไปอย่างฉุนเฉียวฟู่เฉินหวนอดกลั้นโทสะเอาไว้ในใจจนสุดท้ายไม่สามารถทนเก็บกักเลือดในปากต่อไปได้จนต้อ
ตอนที่เทียบถูกส่งเข้ามาที่ห้องตำราของฟู่เฉินหวน บนโต๊ะก็มีเทียบกองอยู่นับสิบใบแล้วฟู่เฉินหวนไม่ได้เปิดดู สีหน้าเขาก็มืดครึ้มซูโหยวพูดเสียงขรึม “วันนี้เจ้ากรมหลิวเพิ่งยื่นฎีการ้องเรียนพระชายาไปตอนเช้า ตอนนี้ก็มีคนมาหานางมากมาย นี่เป็นเพราะหญิงงามซีหลานหรือว่ามีเจตนาอื่นกันแน่”แววตาฟู่เฉินหวนเย็นชา เขาพูดเบา ๆ ว่า “พวกเขาหาประโยชน์จากข้ามิได้ ดังนั้นเลยมุ่งเป้าลั่วชิงยวน”“นี่ไม่ใช่เพราะว่าบุตรสาวของเขาแพ้พนันให้กับลั่วชิงยวนแล้วเกิดอับอายขึ้นมาหรอกหรือ แต่เขาบอกว่า หลิวฮุ่ยเซียงนั้นถึงกับล้มป่วยหนักเป็นตายเท่ากัน เขาทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังแน่”ยิ่งได้ยินเช่นนี้ซูโหยวยิ่งร้อนใจ “พวกเขาจะทำร้ายพระชายาหรือ…”“ปฏิเสธเทียบเชิญไปให้หมด ห้ามใครเข้าพบทั้งนั้น แล้วก็ไม่ต้องรับเทียบเชิญจากใคร” แววตาฟู่เฉินหวนมืดครึ้ม เขาชำเลืองมองกองเทียบบนโต๊ะ“พ่ะย่ะค่ะ”……แม่นมเติ้งปลุกลั่วชิงยวนให้ตื่นจิ่นชูนางกำนัลของไทเฮามาขอพบ หลังจากที่ลั่วชิงยวนล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางก็รีบออกไปที่ห้องโถงในห้องโถงรับแขก นางกำนัลจิ่นชูนั่งอยู่ที่เก้าอี้ เมื่อนางเห็นลั่วชิงยวนเข้า
เป็นไปได้ไหมว่าฉินไป๋หลี่มาหานางหลังจากที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับรูปหญิงงามซีหลาน?ฟู่อวิ๋นโจวพยักหน้าและบอกว่า “ใช่ ข้าได้ยินคนรับใช้ของข้าบอกเช่นนั้น”“ดูเหมือนว่าเขาอยากจะมาชมภาพหญิงงามซีหลานของเจ้า”ลั่วชิงยวนตกใจ นี่ไม่ผิดแน่ฟู่อวิ๋นโจวยิ้มและบอกว่า “ชิงยวน ข้าไม่รู้มาก่อนว่าทักษะการวาดภาพของเจ้าจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เห็นกับตา แต่ก็ได้ยินข่าวจากด้านนอกว่าฝีมือเจ้าไม่ธรรมดายิ่ง”ลั่วชิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย ช่วงนี้ฟู่อวิ๋นโจวโดนกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักใต้ เขารู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดที่หอเริงรมย์เมื่อวานนี้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?ขณะที่นางกำลังคิดเรื่องนี้ จู่ ๆ ฟู่อวิ๋นโจวก็ถามขึ้นมาอย่างใคร่รู้ “ชิงยวน ข้าสงสัยว่าเจ้าวาดรูปหญิงงามซีหลานได้อย่างไรรึ?“เจ้าเคยเจอเวินซีหลานคนนี้หรือ? นางนั้นเป็นภรรยาคนก่อนของฉินไป๋หลี่”ลั่วชิงยวนตอบอย่างจริงจัง “ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร แค่วันหนึ่งข้าฝันเห็นนาง ข้าคิดว่านางต้องเป็นนางฟ้านางสวรรค์เป็นแน่จึงได้นำมาเป็นแบบวาดภาพ”“ไม่คิดว่าท่านจะบอกข้าว่านางเป็นภรรยาของฉินไป๋หลี่่… ข้าไม่รู้จักฉินไป๋หลี่ด้วยซ้ำ”ลั่วชิงยวนพูดอย่
ชายผู้นี้ไร้เหตุผลนัก“เสด็จพี่ ชิงยวนก็แค่…” ฟู่อวิ๋นโจวกำลังจะเอ่ยปากฟู่เฉินหวนมองเขาสายตาเย็นเยียบ น้ำเสียงของเขาก็หนาวเยือกไปถึงกระดูก “ลั่วชิงยวนเองก็แต่งงานเข้าตำหนักอ๋องมานานแล้ว เหตุใดองค์ชายห้าถึงยังไม่เปลี่ยนใจ? คำว่าชายาอ๋องและคำว่าพระชายานั้น ท่านอาจารย์ลืมสอนสั่งสองคำนี้กับองค์ชายห้าหรือ?”น้ำเสียงเย็นนั้นแฝงแววข่มขู่และสีหน้าฟู่อวิ๋นโจวก็ซีดเผือดเขาก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว “พ่ะย่ะค่ะ อวิ๋นโจวจะฟังคำสั่งสอนของท่านอ๋อง”ลั่วชิงดวยดูไม่มีปัญหาอะไรกับการที่องค์ชายห้าเรียกนางด้วยชื่ออย่างสนิทสนม“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน” นางยังร้อนใจอยากจะไปหาฉินไป๋หลี่แต่ใบหน้าฟู่เฉินหวนกลับบิดเบี้ยวน่ากลัว เขาตวาดเสียงแข็ง “จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้ามิได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน”“ในฐานะพระชายา เจ้าเตร็ดเตร่ไปมาในเมืองทั้งวันวี่ สร้างเรื่องให้ผู้คนพูดกันไม่หยุดหย่อน จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องอยู่แต่ในตำหนักทบทวนความผิดของตัวเจ้า เจ้ามิอาจออกไปนอกตำหนักได้โดยไม่ได้รับคำอนุญาตจากข้า”ลั่วชิงยวนตะลึง “ฟู่เฉินหวน ไยท่านถึงได้เสียสตินัก? หม่อมฉันไปยั่วโทสะท่านเมื่อใดรึ? ท่านมิได้รั
เด็กที่แทบไม่พูดเลยนั้นกลับพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อได้ยินแล้วก็เศร้าโศกยิ่งนักเวินซีหลานปลอบ “ไม่หรอก ท่านพ่อไม่ลืมพวกเรา”ลั่วชิงยวนดูเคร่งขรึม หากว่าตอนนี้นางออกไปด้านนอกมิได้ ส่วนฉินไป๋หลี่เองก็เข้ามามิได้เป็นแน่สถานการณ์พลันหยุดนิ่ง ณ จุดนี้“พวกเจ้าอดทนรอสักสองสามวัน วันนี้ฉินไป๋หลี่มาแล้ว วันนี้เขารีบร้อนมา เขาต้องคิดถึงพวกเจ้าแล้วอยากหาความจริงเป็นแน่”“เขาจะมาอีกแน่ ข้าจะให้พวกเจ้าได้พบ”ลั่วชิงยวนพูดอย่างมุ่งมั่นเวินซีหลายพยักหน้า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”เมื่อพูดไปเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็ไม่กล้าฝากความหวังไว้กับความกระตือรือร้นของฉินไป๋หลี่ว่าจะมาที่หน้าตำหนักเอง นางจะพยายามโน้มน้าวให้แม่นมเติ้งมาร่วมมือกับนางเพื่อหนีไปจากตำหนักแอบออกทางประตูหลังปีนกำแพงสวนออกไปกลางดึกนางลองทำทุกทางแต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ล้มเหลวเพราะว่าเซียวชูนั้นลอบจับตามองนางอยู่ และทุกครั้งที่นางต้องการหนี องครักษ์ของตำหนักก็จะมาพาตัวนางกลับไปเพราะแบบนี้ ลั่วชิงยวนจึงล้มเลิกความคิดที่จะหนีออกจากตำหนักนางนั้นเบื่อมาก แล้วทำได้เพียงขอให้องครักษ์ในตำหนักอ๋องนำหุ่นไม้มาตั้งไว้ให้นางในเรือนสองสามตั
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน