หมื่นตำลึง! สวีซงหย่วนรู้สึกตื่นตกใจ "หมื่นตำลึงเชียวหรือ?!" นี่มันแพงเกินไปแล้ว! ซ่งเชียนฉู่พยักหน้าพลางดื่มกินแล้วกล่าวว่า "ข้าใช้ชีวิตตัวข้าเองแลกมาเชียวนะเจ้าคะ!" "หากท่านคิดว่าแพงก็ไม่เป็นกระไรเจ้าค่ะ ข้าจะเก็บเอาไว้เอง วันข้างหน้าอาจจะมีประโยชน์ก็ได้!" สวีซงหย่วนครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าไม่เข้าใจเรื่องตลาดนักหรอก ข้าจะลองถามสหายของข้าดูก็แล้วกันว่าพวกเขายินดีจะรับซื้อในราคานั้นหรือไม่" "แม่นางซ่ง หากข้ามีข่าวคราวจะติดต่อเจ้าได้อย่างไร? เจ้าอาศัยอยู่ที่ใดหรือ?" สวีซงหย่วนถามขึ้นมา ซ่งเชียนฉู่ตอบว่า "ข้าพักอยู่บ้านสหาย ฉะนั้นข้าจึงไม่สะดวกจะบอกท่านว่าอยู่ที่ไหน" "หากท่านมีข่าวคราวอันใดก็ให้ไปยังสถานที่ที่พวกเราเจอกันแล้วผูกผ้าแถบแดงเอาไว้ใต้ต้นไม้ริมทาง วันรุ่งขึ้นก็มารอข้าที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เถิดเจ้าค่ะ!" สวีซงหย่วนผงกศีรษะ "ก็ได้" เดิมทีเขาอยากจะรู้ว่าซ่งเชียนฉู่อาศัยอยู่ที่ไหน ตอนกลางคืนจะได้ไปขโมยดีงูมาเสียเลย แต่ซ่งเชียนฉู่กลับไม่ยอมบอกอะไรเลย เช่นนั้นเขาคงได้แต่รอให้ถึงวันติดต่อซื้อขายถึงจะแย่งชิงมาได้ เมื่อซ่งเชียนฉู่เห็นแววตาของสวีซงหย่ว
ยามเช้าตรู่มีหมอกจาง ๆ และทุกสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็คือ อาณาบริเวณสีขาวโพลนอันกว้างใหญ่ไพศาล ชายคาและพื้นเรือนปกคลุมไปด้วยหิมะชั้นหนา ๆ ลั่วชิงยวนแต่งตัวเสร็จก็ถูไม้ถูมือ จากนั้นหยิบไม้กวาดแล้วออกมาเก็บกวาดหิมะข้างนอก ระหว่างที่กวาดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีรองเท้าปักลายเมฆทองคำปรากฏอยู่บนหิมะ ชายเสื้อคลุมอันหรูหราเผยให้เห็นถึงตัวตนของผู้มาเยือน ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวแล้วเงยหน้ามองคนผู้นั้น "ท่านอ๋อง" ฟู่เฉินหวนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ท่ามกลางหิมะ โดยที่หิมะสีขาวสะท้อนดวงเนตรกระจ่างของเขา จากนั้นน้ำเสียงที่ออกจะเย็นชาอยู่บ้างก็ผสมกลมกลืนกับโลกอันหนาวเหน็บได้อย่างไร้ที่ติ "วันนี้ท่านเซียนฉู่ยินดีจะแก้ไขเคราะห์ดอกท้อให้ข้าแล้วหรือไม่?" ยามนั้นลั่วชิงยวนกำไม้กวาดในมือเอาไว้แน่น อยากกวาดไล่เขาไปแทบใจจะขาดอยู่แล้ว "ท่านอ๋อง ท่านคิดจะให้กระหม่อมพูดเรื่องนี้กับท่านอีกสักกี่ครั้งพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมมองมิเห็นเคราะห์ดอกท้อของท่านเลย ตัวกระหม่อมไร้ความสามารถ ท่านอ๋อง เชิญเสด็จไปหาผู้อื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ!" นางไม่คาดคิดเลยว่าฟู่เฉินหวนที่เมื่อวานนี้อยู่กับนางมาทั้งวัน เช้านี้จะกลับมา
ลั่วชิงยวน ทันใดนั้นเขาก็นึกสงสัยขึ้นมา ลั่วชิงยวนทำนายดวงชะตาเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ? หากลั่วชิงยวนมีความสามารถถึงเพียงนั้น วันข้างหน้านางย่อมกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโดยไม่ต้องสงสัยเลย ไฉนนางถึงคิดไม่ตกแล้วอยากเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลเหยียนด้วยเล่า? เมื่อนึกได้เช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็รู้สึกหม่นหมองอยู่บ้าง เขามองแผ่นหลังของฉู่ลั่วด้วยสายตาลึกล้ำแล้วถอนหายใจ หากนางสามารถเป็นเทพพยากรณ์ที่แสนบริสุทธิ์และซื่อตรงได้อย่างฉู่ลั่ว นางจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า เมื่อถึงยามบ่าย เมื่อแสงแดดอบอุ่น ก็ทำให้มีผู้คนออกมากันมากขึ้น ในยามนี้มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งมาด้วย "นี่มันทำนายดวงชะตาไร้สาระอันใดกัน? ก็แค่เรื่องหลอกลวง! ไม่เห็นแม่นเลยสักนิด! อย่าโดนมันหลอกเข้าเชียว!" "นักต้มตุ๋น! ไอ้คนลวงโลก!" ชาวบ้านตะโกนด่าแล้วขว้างปาเศษผักใส่โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลั่วชิงยวนรู้ว่าจะต้องเป็นฝีมือของลั่วอวิ๋นสี่อีกแล้ว พวกเขาเป็นคนธรรมดาสามัญจึงได้แต่ขว้างปาเศษผักแล้วก่นด่าอยู่ไกล ๆ แต่มิได้เข้ามาลงไม้ลงมือ ทำให้ลั่วชิงยวนไม่มีโอกาสโต้ตอบ เศษผักเน่า ๆ ผสมเข้ากับไข่เละ ๆ ทำให้ประตูท
ระหว่างนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าพร้อมแล้ว วันนี้ข้าจักเปิดโปงสวีซงหย่วน ส่วนท่านต้องดึงดูดความสนใจของลั่วอวิ๋นสี่!" ลั่วชิงยวนพยักหน้า "มิต้องห่วง!" ซ่งเชียนฉู่หยิบกล่องเปล่าแล้วเดินออกไปหาสวีซงหย่วนทางประตูหลัง ลั่วชิงยวนเองก็เปิดประตูแล้วเริ่มดำเนินกิจการเช่นกัน ฟู่เฉินหวนมาอีกแล้วดังที่คาดคิดเอาไว้ ทว่ายามนี้ลั่วชิงยวนปฏิบัติกับเขาราวกับว่าเขาไร้ตัวตนและไม่สนใจเขาอีก หลังจากนั้นสักพัก ชาวบ้านอีกกลุ่มก็ปรากฏตัวขึ้นบนถนน ลั่วชิงยวนรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาพวกเขา แน่นอนว่านางย่อมเห็นลั่วอวิ๋นสี่อยู่ไม่ไกลจากเบื้องหลังฝูงชน จากนั้นนางก็เดินตรงเข้าไปหา "มาคุยกันเถอะ" ลั่วอวิ๋นสี่กอดอกพลางยิ้มอวดดีแล้วเดินเข้ามาหา "ในที่สุดเจ้าก็ยินดีตกปากรับคำแล้วใช่หรือไม่? คนฉลาดย่อมรู้ว่าเมื่อใดถึงต้องยอมก้มหัว!" ลั่วชิงยวนเหลือบมองผู้คนที่กำลังมุ่งหน้ามาที่ร้านพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "เจ้าจักหยุดได้แล้วหรือไม่?" ลั่วอวิ๋นสี่รีบส่งสัญญาณให้คนพวกนั้นหยุดมือ เมื่ออยู่ตรงหน้าลั่วชิงยวน นางก็ยื่นเงินถุงหนึ่งให้แก่พวกเขา "เอาไปแบ่งกันเสีย วันนี้ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่อง!" "ข
"ช่วยด้วย! ช่วยด้วยเจ้าค่ะ!" "อย่าเข้ามานะ!" "ปล่อยข้านะ!" เสียงร้องอุทานของสตรีดังขึ้นมาจากห้องข้าง ๆ นางกำลังวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนกแล้วชนเข้ากับโต๊ะ ลั่วชิงยวนหน้าเปลี่ยนสีแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปนอกห้อง ลั่วอวิ๋นสี่เองก็ตามไปทันที ลั่วชิงยวนถีบประตูห้องข้าง ๆ แล้วรีบวิ่งเข้ามา เมื่อนางเห็นซ่งเชียนฉู่ถูกกดลงกับเตียง ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที "เจ้าคนไร้ยางอาย!" ลั่วชิงยวนบริภาษแล้วรีบก้าวเข้ามาผลักสวีซงหย่วนออกไป เมื่อลั่วอวิ๋นสี่เข้ามาในห้อง นางก็เห็นสวีซงหย่วนเข้าพอดี ชวนให้คนเขารู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมาทันที "พี่หย่วน?" สวีซงหย่วนเองก็รู้สึกตื่นตะลึงเช่นกัน เขามาเจอลั่วอวิ๋นสี่เอาที่นี่ได้อย่างไรกัน? ลั่วชิงยวนรีบเข้าไปช่วยประคองซ่งเชียนฉู่ให้ลุกขึ้น "แม่นาง เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?" ซ่งเชียนฉู่ดวงตาแดงก่ำ จากนั้นนางก็คว้าคอเสื้อที่คลายออกแล้วชี้นิ้วใส่สวีซงหย่วนด้วยความโกรธแค้น "ข้ามองเจ้าผิดไปจริง ๆ! เจ้าคนสารเลว!" สวีซงหย่วนขมวดคิ้วแล้วพูดไม่ออก น่าเสียดายที่เขาแย่งชิงดีงูไม่สำเร็จ ลั่วอวิ๋นสี่จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ด้วยสายตาว่างเปล่
ซ่งเชียนฉู่ผงกศีรษะ "แน่นอน ข้ารู้แล้ว มิต้องเป็นห่วง!" พวกนางสองคนกำลังเดินมาตามตรอกเพื่อกลับเรือน แต่ทันใดนั้นกลับมีร่างหนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่ข้างหน้าพวกนาง จากนั้นก็มีน้ำเสียงเยียบเย็นดังขึ้นมา "ร่วมมือกันขุดหลุมพรางใส่ลั่วอวิ๋นสี่ ก็คือทางเลือกที่สามที่ท่านเซียนฉู่ว่าเช่นนั้นหรือ?" ฟู่เฉินหวนหรี่ตาเล็กน้อย เขาล่วงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมภายในวันนี้ เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่ฉู่ลั่วคิดจะแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่ถูกขว้างปาเศษผักอยู่ทุกวัน ลั่วชิงยวนกับซ่งเชียนฉู่ต่างรู้สึกตื่นตกใจมากเสียจนต้องหยุดก้าวเดิน ซ่งเชียนฉู่ลอบกระตุกแขนเสื้อของลั่วชิงยวน จากนั้นก็ลดเสียงลงพลางกล่าวว่า "พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?" ลั่วชิงยวนตบมือของนางเพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า "กลับไปก่อนเถอะ" เมื่อเห็นท่าทีสนิทสนมของทั้งสองคน ฟู่เฉินหวนก็หรี่ตาพลางคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกนาง ซ่งเชียนฉู่จึงรีบจากไป ลั่วชิงยวนค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวน "ท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่เพื่อขัดขวางกระหม่อมโดยเฉพาะเลยเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?" ฟู่เฉินหวนกอดอกแล้วจ้องมองนางด้วยควา
สิ่งที่เขาเห็นคือ รอยแผลเป็นบนใบหน้าของนาง เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เช่นนั้นนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ฉู่ลั่วสวมผ้าคลุมหน้าเช่นนั้นหรือ? ลั่วชิงยวนพลันดึงผ้าคลุมหน้าลงพลางปิดบังใบหน้าแล้วจ้องมองเขาด้วยความโกรธจัด ในยามนี้เอง ก็มีท่านป้าผู้หนึ่งถือตะกร้าเดินผ่านมาพลางเหลือบมองพวกเขาแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยความรังเกียจว่า "เป็นบุรุษตัวโต ๆ สองคนแท้ ๆ พวกเจ้ามียางอายบ้างหรือไม่?" ลั่วชิงยวนซัดฝ่ามือใส่หน้าอกของฟู่เฉินหวน เพื่อบังคับให้ฟู่เฉินหวนปล่อยนางไป ตอนนั้นฟู่เฉินหวนรู้สึกตื่นตกใจและเห็นว่าฉู่ลั่วกำลังจะร่วงลงกับพื้น แต่ทันทีที่ลั่วชิงยวนหล่นสู่พื้น นางก็ใช้มือยันพื้นพลางพลิกตัวแล้วร่อนลงอย่างสง่างาม นางปกปิดรอยแผลเป็นตรงแก้มแล้วจ้องฟู่เฉินหวนตาเขม็ง "ท่านอ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน! ท่านสงสัยหน้าตาของผู้อื่นจนมิสนใจว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นเลยใช่หรือไม่?" น้ำเสียงตั้งคำถามอันเย็นชาทำให้ฟู่เฉินหวนแววตามืดดำลงบ้าง "ข้า..." เขาเพียงแค่รู้สึกว่าฉู่ลั่วคล้ายกับลั่วชิงยวนเกินไป มิหนำซ้ำจู่ ๆ ก็มีเทพพยากรณ์ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง เขาจึงรู้สึกว่าออกจะน่าสงสัยอยู่บ้าง ไม่ค
เมื่อแม่สื่อหลิวได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็เริ่มเอ่ยวาจาไม่รู้จักจบสิ้นและคำพูดของนางก็ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด หลังจากได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็รู้สึกปวดศีรษะจึงตอบไปเพียงว่า "ข้ามีคนในใจอยู่แล้ว" วาจาประโยคนี้ทำเอาแม่สื่อหลิวพูดไม่ออกทันที "ท่านมีคนในใจอยู่แล้วหรือเจ้าคะ? จริงหรือเจ้าคะ? เช่นนั้นท่านอยากให้ข้าช่วยจัดการเรื่องสู่ขอหรือไม่?" แม่สื่อหลิวยังไม่ยอมแพ้ "ไม่ต้องหรอก พวกเรารักใคร่กันก็พอ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องพิธีการ ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปเองเถอะ" วาจาของลั่วชิงยวนทำเอาแม่สื่อหลิวหมดสนุก นางคิดว่ามีผู้คนตั้งมากมายขนาดนั้นชอบพอเทพพยากรณ์ฉู่ ไม่ว่านางจะแนะนำผู้ใดให้แก่เทพพยากรณ์ฉู่ นางย่อมหาเงินได้มากมาย นางไม่คาดคิดว่าเช้านี้จะเดินทางมาเสียเที่ยว! "อายุยังน้อยเพียงนั้น แต่กลับงมงายในรักเสียแล้ว" แม่สื่อหลิวสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปทันที ระหว่างที่เดินอยู่นั้น แม่สื่อหลิวก็เอาแต่บ่นกับตนเอง เมื่อนางเดินมาถึงปากตรอก หญิงชราที่ถือตะกร้าใส่ไข่ก็ถามแม่สื่อหลิวว่า "ท่านเซียนฉู่อยู่ถนนสายนี้ใช่หรือไม่?" "ใช่ แค่เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นแผงทำนายดวงชะตาตั้งอย
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ
หวังเพียงว่าจะกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้บนเขาได้ เพราะหากเขาไปสิงอยู่ในร่างผู้อื่นแล้วหนีลงเขาไปได้ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงแต่ในตอนนี้ นางไม่มีแรงพอที่จะไล่ตามแล้ว จึงไปหายาในคลังกับคนใบ้เมื่อไปถึง โฉวสือชีและอวี๋โหรวก็อยู่ที่นั่นอวี๋โหรวปรุงโอสถเสร็จแล้วโฉวสือชีกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่ข้าง ๆ“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” โฉวสือชีถามด้วยความเป็นห่วงลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไร”โฉวสือชียื่นกล่องในมือออกมา แล้วพูดว่า “เจอโสมมังกรเพียงกิ่งเดียวเอง”ลั่วชิงยวนรับกล่องมา แล้วส่งให้คนใบ้ “รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ข้าจะจัดยาให้เจ้าชุดหนึ่ง แม้จะมิสามารถรักษาอาการของเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็พอจะยืดชีวิตได้”คนใบ้พยักหน้า รับโสมมังกรมาด้วยสีหน้าซับซ้อนภายใต้หน้ากากโฉวสือชีกล่าวเสียงหนักแน่น “คลังโอสถนี่ใหญ่โตเกินไป ข้าหาบัวถวายมิเจอจริง ๆ”“และเมื่อดูแล้วในนี้ก็มีร่องรอยการถูกรื้อค้น ต่งอวิ๋นซิ่วคงมิได้หลอกพวกเรา บัวถวายคงถูกใครบางคนชิงไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “บังเอิญเกินไปแล้ว บัวถวายถูกชิงไปตอนที่เรามาถึงพอดี”“แถมยังถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”“สมุนไพรอื่นก็มิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ