ลั่วชิงยวนตะลึงเล็กน้อย รีบสั่งคนเปิดประตูห้องเพื่อยกฟู่อวิ๋นโจวออกมาเมื่อลั่วชิงยวนสัมผัสโดนข้อมือฟู่อวิ่นโจว เพิ่งพบว่าร่างเขาเยือกเย็นดุจน้ำแข็งภายในห้องอบอุ่นมาก นางป้อนแกงโสมให้เขา ร่างของฟู่อวิ๋นโจวจึงอบอุ่นขึ้นมาหน่อยลั่วชิงยวนจับชีพจรให้เขาเพื่อตรวจหาสาเหตุการบาดเจ็บมือของฟู่อวิ๋นโจวถูกห่อไว้ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่านิ้วก้อยของเขาหายไปฟู่อวิ๋นโจวตื่นมาอย่างสะลึมสะลือ เขายันร่างลุกขึ้นนั่ง “ชิงยวน ข้าสร้างปัญหาให้เจ้าหรือ”ลั้วชิงยวนยกชาร้อนมาให้เขา “ท่านบาดเจ็บ ควรนอนพักผ่อนบนเตียง เหตุใดต้องมาหาหม่อมฉันด้วย”ฟู่อวิ๋นโจวมองนางอย่างเป็นกังวล ลังเลพักหนึ่งจึงเอ่ยปากอย่างหนักอึ้ง “ชิงยวน เจ้าอุตส่าห์ออกมาได้ ข้ามิอยากต้องเห็นเจ้าจมปลักในบ่อโคลนอีก”ฟู่อวิ๋นโจวพูดไป สายตามองไปทางนอกประตูอย่างลึกซึ้ง พร้อมเอ่ยพรึมพรำ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายร่วมป่วยมาโดยตลอด เมื่อข้าเศร้าโศกเสียใจ มีเพียงเจ้าที่ปลอบข้า” “นับแต่ข้ากำเนิด ชะตาข้าก็มิใช่ของข้าอีกต่อไป ข้าเป็นเพียงหุ่นเชิด เป็นเพียงเครื่องมือ”“แต่เจ้ามิเหมือนข้า เจ้าอิสระกว่าข้านัก ข้าหวังว่าเจ้าจักปล่อยวางทุกอย่างและเดินออ
เสียงฝีเท้าอันหนักแน่น เหยียบลงบนใจคนทีละก้าวหวังว่าฟู่อวิ๋นโจวจักคิดได้มิเช่นนั้นร่างกายของเขา คงต้องทลายลงจริง ๆ ร่างกายเขาไม่มีปัญหามากนัก ที่เป็นปัญหาคือจิตใจหลังจากฟู่อวิ๋นโจวจากไป ก็ไม่มีคนมารบกวนลั่วชิงยวนหลายวันฟู่เฉินหวนเองก็มิได้มาอีก ส่วนลั่วชิงยวนก็มิออกจากเรือน รักษาอาการอย่างสบายใจอยู่หลายวันวันเกิดของลั่วไห่ผิงใกล้มาถึงแล้ว ผู้คนมิน้อยในเมืองหลวงเริ่มจัดเตรียมของกำนัลดังนั้นของของลั่วชิงยวนในหอมหาสมบัติก็เริ่มทยอยขายออกไปบ้างแล้วข่าวสารเหล่านี้จือเฉาออกไปสืบมาให้นางทุกอย่างในร้านโอสถก็เป็นไปได้ดี เพียงแต่ซ่งเชียนฉู่ต้องรับมือกับผู้คนที่จะมาดูดวงจำนวนไม่น้อย ซึ่งปวดหัวไปนิดได้ยินว่า ฟู่เฉินหวนไปที่ร้านหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาได้แต่จากไปเหตุเพราะมิเจอผู้ใดเลย แต่เขามิได้สงสัยสิ่งใดทั้งนั้นอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นลั่วชิงยวนแกะฝ้ายส่วนหนึ่งออกมาจากในเสื้อจือเฉาแต่งตัวให้นางไปด้วย พร้อมถามไถ่อย่างเป็นห่วง “พระชายา แกะฝ้ายตั้งแต่อากาศเช่นนี้ เมื่อถึงคิมหันต์ฤดู(1)จักทำเช่นไรเจ้าคะ?”“ใส่หนาขนาดนั้นมิได้ มิเช่นนั้นคงร้อนจนเป็นโรคแน่”ลั่วชิงยวนถอนหายใจพร
โสมร้อยปี หากนางทายไม่ผิด เป็นยาในมือของซ่งเชียนฉู่!ก่อนหน้านี้นางบาดเจ็บ ซ่งเชียนฉู่มารักษานางถึงตำหนัก นางนำเครื่องยาสมุนไพรหายากมากหลายมาอย่างใจกว้าง และมอบยาให้กับฟู่เฉินหวนส่วนหนึ่งด้วยในนั้น มีโสมร้อยปีอยู่ด้วย!แต่ฟู่เฉินหวน กลับนำโอสถที่มีค่ามากมายเช่นนี้ มอบให้ลั่วไห่ผิง!ลั่วไห่ผิงมันคู่ควรอย่างไรกัน!ลั่วชิงยวนหันไปมองฟู่เฉินหวนอย่างตกตะลึง ในสายตานางมีแต่การเค้นถามแต่ฟู่เฉินหวนกลับไม่มีการอธิบายใด ๆ พวกเขาต่างรู้ดี การให้ภาพอายุหมื่นปีเพื่อแสดงความกตัญญูนั้น เสแสร้งเพียงไหน!หลังงานเลี้ยงผ่านไป นางหาโอกาสลากฟู่เฉินหวนเข้าไปในสวนดอกไม้ที่ไร้ผู้คน“ท่านอ๋อง ท่านหมายความเยี่ยงไร? ท่านมอบของกำนัลเองมิพอ ท่านเตรียมให้หม่อมฉันด้วยงั้นหรือ? หม่อมฉันต้องขอบคุณความใส่ใจของท่านหรือไม่?”สายตาของฟู่เฉินหวนซับซ้อนขึ้น สองมือไคว้ไว้ด้านหลัง “บ่าวเป็นผู้เตรียม”ลั่วชิงยวนหลุดหัวเราะเบาอย่างไม่น่าเชื่อ “บ่าวเตรียมหรือ? โสมร้อยปีก็บ่าวเตรียมหรือ? หากหม่อมฉันจำมิผิด นั่นเป็นเครื่องยาสมุนไพรที่แม่นางซ่งให้หม่อมฉันไว้รักษาบาดแผล!”สายตาของฟู่เฉินหวนเยือกเย็นลง “นี่เป็นสิ่งที่ข
ฟู่เฉินหวนตั้งใจสั่งคนเตรียมของกำนัลให้ลั่วชิงยวนโดยเฉพาะ เพราะเขารู้ว่านางเกลียดลั่วไห่ผิง นางไม่มีทางเลือกของกำนัลแน่เขาให้คนเตรียมเผื่อ เพราะอยากรับมือให้ผ่าน ๆ ไป มิคิดว่านางจะเป็นการตอบสนองเช่นนี้ กลับกลายเป็นเขาที่ตัดสินใจโดยคิดไปเอง!“ลั่วชิงยวน! ข้าเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย! อย่าได้มีความคิดเหลวไหล! เจ้าอยากตายย่อมได้ แต่อย่ากระทบถึงตำหนักอ๋อง!”โทสะฟู่เฉินหวนปะทุ จึงเอ่ยพูดคำรุนแรงอย่างควบคุมไม่ได้ขณะนี้เอง ร่างตรงทางแยก ในที่สุดก็เดินออกมาจับฟู่เฉินหวนที่กำลังโมโหไว้ และพูดปลอบเสียงเล็ก “ท่านอ๋อง ไม่ทรงกริ้วหนาเพคะ วันนี้มีแขกมากหลายเช่นนี้ หากมีผู้ประสงค์ร้ายได้ยินเข้า เกรงว่าจะซุบซิบนินทาเรื่องของท่านและท่านพี่อีกนะเพคะ”ลั่วเยวี่ยอิงท่าทีเข้าใจหัวอกผู้อื่น ทำลั่วชิงยวนที่อยู่อีกด้านดูไม่มีเหตุผลขึ้นมาฟู่เฉินหวนเห็นลั่วเยวี่ยอิง น้ำเสียงผ่อนลงในทันที “มิเป็นไร”ลั่วเยวี่ยอิงพยักหน้า นางกวาดตาลง เอ่ยพูดอย่างเป็นห่วงด้วยเสียงแผ่วเบา “ช่วงนี้หม่อมฉันมิได้ไปที่ตำหนัก มิรู้ว่าบาดแผลของท่านอ๋องเป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ?”ฟู่เฉินหวนเอ่ยตอบ “มิเป็นไร แค่แผลเล็ก”ลั่วเยวี่ย
ลั่วชิวยวนเงยหน้า มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นทีหนึ่ง ลุกขึ้นลงจากรถม้าทันทีและเดินเข้าตำหนักโดยมิหันกลับมามองฟู่เฉินหวนตะลึง เขาขมวดคิ้วแน่น ในใจเอ่อล้นไปด้วยโทสะเขาคิดมาทั้งทาง เดิมทีอยากอธิบายกับนางผู้ใดจะรู้ว่านางจะมิใส่ใจสักกระผีก ก้าวขาลงจากรถม้าเดินเข้าตำหนักไปซูโหยวรีบขึ้นหน้า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่มีคนส่งข่าวมา งานล่าสัตว์วสันตฤดูใกล้มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ จึงอยากเชิญท่านเข้าวังเพื่อปรึกษา”น้ำเสียงฟู่เฉินหวนรำคาญใจ “ไม่ไป”เขาเดินเข้าเรือนในก้าวใหญ่ และเอ่ยเสียงเย็น “ความคิดมิอยู่บนชาติแคว้น คิดแต่เรื่องเล่นทั้งวัน วันหนึ่งต้องเล่นจนตำแหน่งจักรพรรดิหายแน่!”ซูโหยวชะงักเล็กน้อย และมิกล้าเอ่ยตอบท่านอ๋องร่วมงานเลี้ยงที่จวนอัครมหาเสนาบดีแล้ว โมโหสิ่งใดมากัน?ไฉนราวกับทรงเสวยดินปืนมาเลยเล่า?……หลังจบงานเลี้ยงลั่วไห่ผิง แม้ลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนจะอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่กลับมิได้เจอหน้ากันอีกประตูเรือนของนางมักปิดไว้ ทุกวันนอกจากจือเฉาและแม่นมเติ้งที่เข้าไปส่งข้าวให้นาง ไม่มีผู้ใดอื่นเข้าออกอีกส่วนลั่วชิงยวนนั้นได้กลับไปค้าขายในร้านแต่นานแล้วตอนดึก ๆ นางจึงแอบกลับตำห
เหนือศีรษะนางกลับเป็นเสียงอุทานเจ็บปวด “เจ้าเหยียบข้าทำไม!”เฉินเสี้ยวหานเจ็บจวนแทบยกเท้าขึ้นมากอดซ่งเชียนฉู่ได้ยินเสียงนี้จึงเงยหน้ามองเขา วินาทีที่เห็นเฉินเสี้ยวหาน หัวใจที่ลนลานของนางจึงเริ่มรู้สึกวางใจขึ้น“ท่านเองหรือ? ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ซ่งเชียนฉู่รู้สึกคล้ายไอมืดมนรอบด้านเริ่มซาลงเล็กน้อยแต่มิรู้ว่าเป็นเพียงความรู้สึกนางหรือไม่“ข้าเห็นเจ้าแต่ไกลแล้ว เรียกเจ้าเจ้าก็มิได้ยิน เห็นเจ้าเดินเข้ามาในตรอก จึงอ้อมมารอเจ้าที่นี่ แต่กลับได้ยินเสียงกรีดร้องของเจ้า ข้าก็คิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเสียอีก”เฉินเสี้ยวหานพูดไปพร้อมเดินไป และเก็บผักผลไม้ที่ร่วงกระจายเต็มพื้นเข้าในตระกร้าทีละอย่างซ่งเชียนฉู่เดินตามหลังเขาอย่างกังวลใจ นางดึงชายเสื้อเขาไว้ “ไม่มีสิ่งใดจริงหรือ?”นางมิกล้าแม้แต่ลืมตามอง“จริง ๆ เจ้าตื่นกลัวเพราะสิ่งใดกัน? เหงื่อเจ้าท่วมหัวแล้วดูสิ!” เฉินเสี้ยวหายพูดไป พร้อมซับเหงื่อบนหน้าผากของนางซ่งเชียนฉู่ตกใจจนลืมตาขึ้น ระยะใกล้เช่นนี้ นางถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างลนลาน“เจ้าเจออันตรายใดรึ?” เฉินเสี้ยวหานถามอย่างเป็นห่วง และสำรวจรอบด้าน แต่กลับมิพบความผิดปกติใด
หางขนาดยักษ์เส้นหนึ่งขดอยู่บนพื้น และส่งเสียงเกล็ดขูดกับหินผู้ที่ได้ยินเย็นวาบที่สันหลังทุกสรรพสิ่งมืดมิดขึ้นมาทันควัน มีเพียงปลายทางที่ทอแสงลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวฝีเท้าหนักแน่นเดินไปด้านหน้า นางรู้ว่าตนได้ก้าวสู่เขตอาคมของมันแล้วนางมองไปทางงูยักษ์ภายในแสงเบื้องหน้าอย่างหวาดระแวงงูยักษ์นั้นอ้าปากกว้าง ขู่ฟ่อด้วยความพิโรธ เสียงที่แหบพร่าปนกับความโมโหดังขึ้น “ชายหนุ่มผู้นั้นคือผู้ใด?”“ชายหนุ่มข้างกายนางคือผู้ใด!”โทสะดั่งไฟโหม ไอเข่นฆ่าพุ่งแรงกล้าลั่วชิงยวนตะลึง นี่เขาถามสิ่งนี้ขึ้นก่อนหรือ?ดูท่ามันมิอยากสังหารซ่งเชียนฉู่แต่แล้วมันกลับรับรู้ถึงความคิดนาง เสียงหัวเราะอ่อนแอดังขึ้น “เจ้าสังหารข้า นางเองก็จักตาย”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นคลอน“เจ้าว่ากระไรนะ?”เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำกลับแฝงไปด้วยความแหบพร่า “ข้าและนางได้ผูกพันธะชีวิตเสียนานแล้ว หากเจ้ามิเชื่อ สามารถดูได้ว่าที่สะบักหลังของนางมีตราพันธะหรือไม่”“เพื่อสิ่งใดกัน”ลั่วชิงยวนได้ยินแล้วมีแต่ความตะลึง คิดย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ที่ซ่งเชียนฉู่ถูกมันดึงลงกลางบ่อน้ำหลังจากนั้นนางไปช่วยซ่งเฉียนฉู่กลับมาได
ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ดึกเพียงนี้แล้ว กลับห้องพักผ่อนเถิด”“รัฐทายาทเฉิน ท่านเองก็ไปพักผ่อนเถิด ข้าขอคุยกับเชียนฉู่หน่อย”เฉินเสี้ยวหานมิได้ถามมาก และกลับห้องไปก่อนลั่วชิงยวนพาซ่งเชียนฉู่เข้าห้อง ซ่งเชียนฉู่จับแขนเสื้อของนางไว้อย่างเป็นกังวล “มันใช่หรือไม่? มันมาแล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้งในใจซ่งเชียนฉู่เคร่งเครียดยิ่งขึ้น นางนั่งลงบนเตียงด้วยแววตามืดหม่น และสีหน้าเจ็บปวด “เหตุใด ไฉนมันยังมิปล่อยข้าไปอีก?”“ต้องให้ข้าตายก่อนหรือจึงจะปล่อยข้าไป…”หลังออกจากจวนนอกเมือง ซ่งเชียนฉู่จึงเริ่มชีวิตใหม่ นางมิคิดว่า สิ่งนี้จะมาพัวพันนางอีก และเกี่ยวความผวาส่วนลึกในใจของนางออกมาลั่วชิงยวนพูดอธิบาย “เขามิได้มาสังหารเจ้า”“เชียนฉู่ ข้าขอดูสะบักหลังเจ้าหน่อย”ซ่งเชียนฉู่ตะลึงเล็กน้อย “ไฉนต้องมาดูสะบักหลังข้า?”นางรู้สึกมิเข้าใจ แต่ก็ยังเปลื้องอาภรณ์ออกลั่วชิงยวนดึงเสื้อที่หลังคอของนางลง ตราประทับอสรพิษสีแดงตกสู่นัยน์ตาชิงยวน!“เหตุใดรึ? บนไหล่ข้ามีอะไรงั้นหรือ?” ซ่งเชียนฉู่หันหัวพยายามมอง แต่อย่างไรก็มองมิเห็น“รอยประทับ นี่เป็นของที่เขาทิ้งไว้บนตัวเจ้า” น้
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน