ทันทีที่อันซินได้ยินก็ลากคุณหนูอีกสามสองคนที่มาด้วยกันก้าวออกมาพลางเอ่ย “ท่านอ๋องเฉิง พระชายาองค์รัชทายาทให้หลิวเจินไปเชิญองค์หญิงหกจริง ๆ เพคะ แต่นางมิกลับมา หม่อมฉันยังบอกว่าจะช่วยไปเชิญองค์หญิงหกให้พระชายาองค์รัชทายาทเลยเพคะ!”“พระชายาองค์รัชทายาทกับพวกเราอยู่ด้วยกันตลอด ได้มาศาลาเหยาฮั๋วกับหลิวเจินที่ไหนกัน ชัดเจนเลยว่าหลิวเจินกำลังโกหกเพคะ!”คุณหนูอีกสองสามคนล้วนช่วยเป็นพยานให้หลิงอวี๋หลิวเจินร้อนใจแล้วเอ่ยขึ้นมา “พวกท่านเป็นลูกสาวตระกูลร่ำรวย แต่บ่าวเป็นเพียงบ่าว พวกท่านย่อมช่วยเพียงพระชายาองค์รัชทายาทอยู่แล้ว!”“ท่านอ๋องเฉิงเพคะ บ่าวกล้าสาบานต่อสวรรค์ พระชายาองค์รัชทายาทพาบ่าวมาที่ศาลาเหยาฮั๋วจริง ๆ เพคะ! พระนางคงเห็นว่าเรื่องแดงขึ้นมาแล้วจึงแอบหนีออกไปทางด้านหลัง!”ไท่เฟยเส้าฟังอยู่ด้านข้างก็รู้สึกกังวลขึ้นมา หรือว่าหลิงอวี๋จะหนีรอดจากเหตุการณ์นี้ได้อีกแล้ว?นางเห็นอยู่แท้ ๆ ว่าแผนการราบรื่นดีและทำทั้งสองอย่างด้วยกันแล้วเพื่อที่ต่อให้หลิงอวี๋รอดพ้นจากเรื่องที่หนึ่งก็จะมิอาจรอดพ้นเรื่องที่สองได้ ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องราวจะไปไกลเกินการควบคุมของตนนางมีหรือจะยอมแพ้ให้หลิงอ
หลิงอวี๋เหลือบมองไท่เฟยเส้าอย่างดูถูกแล้วยิ้มเยาะพลางเอ่ย “คนที่ร้อนตัวมิใช่หม่อมฉันหรอก แต่เป็นไท่เฟยเส้าเองกระมัง!”“องค์จักรพรรดิให้สิทธิ์ในการไต่สวนกับท่านอ๋องเฉิงแล้ว ท่านอ๋องเฉิงยังมิทันได้ตัดสิน ไท่เฟยเส้าก็วิ่งออกมาพูดเช่นนี้ ผู้ใดร้อนตัวมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว!”หลิงอวี๋หันไปทางเซียวหลินเทียน พลางเอ่ยด้วยเหตุผล“ฝ่าบาทเพคะ ก่อนหน้านี้องค์ชายคังก็เคยใส่ร้ายหม่อมฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง การใส่ร้ายหม่อมฉันซ้ำ ๆ เช่นนี้ช่างยากที่จะรู้เจตนาที่แท้จริง หม่อมฉันขอเพียงให้ฝ่าบาททรงรอให้คดีนี้ได้รับการไต่สวนจนเสร็จสิ้นแล้วให้คำอธิบายหนึ่งแก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”“มิเช่นนั้น วันนี้หม่อมฉันคงต้องตายอยู่ที่นี่เพื่อให้สมความปรารถนาขององค์ชายคังกับไท่เฟยเส้าที่อยากจะบีบหม่อมฉันให้ตายไป!”นี่...ไท่เฟยเส้ากับองค์ชายคังต่างมิกล้าพูดสิ่งใดอีก หากพูดต่อไป พวกเขาจะกลายเป็นผู้ร้ายที่บีบให้พระชายาองค์รัชทายาทต้องตาย แล้วพวกเขาก็คงจะถูกประณามจนต้องจมน้ำลายตาย“พระชายาองค์รัชทายาทอย่าได้หุนหันพลันแล่น อดทนรอฟังข้าไต่สวนคดีก่อน!”ท่านอ๋องเฉิงรู้ว่าหลิงอวี๋มิแสวงหาความตายหรอก จึงได้ปลอบใจออกไป ทั้ง
เผยอวี้ยื่นมือออกไปชี้หลิวเจินพลางเอ่ยอย่างโมโห “พวกเขาประคองสตรีผู้หนึ่งอยู่ แต่เพราะว่ากระหม่อมยังเบลออยู่จึงมองมิชัด แต่สัญชาตญาณของกระหม่อมรู้สึกได้ว่าอันตรายจึงพยายามจะพุ่งไปหาพวกเขา...”“ไหนเลยจะคิดว่าในมือของชายผู้นั้นจะมีกริชอยู่ เขาจึงแทงมาทางกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”“ฤทธิ์ยาในตัวกระหม่อมยังมิหมดจึงทำให้การเคลื่อนไหวช้าและหลบมิทันจึงถูกแทงพ่ะย่ะค่ะ!”“ก่อนที่กระหม่อมจะหมดสติไปยังได้ยินหลิวเจินพูดกับชายผู้นั้นด้วยว่า ในเมื่อก่อเรื่องจนถึงแก่ชีวิตแล้ว ในเมื่อลงมือทำไปแล้วก็ต้องทำต่อ นางจึงล่อลวงพระชายาองค์รัชทายาทมาสร้างสถานการณ์...”“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกระหม่อมก็มิรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”หลิงอวี๋ได้ฟังคำพูดของเผยอวี้แล้วก็แอบยิ้ม เผยอวี้กับตนห็นตรงกันโดยปริยาย ต่างโยนความผิดเรื่องการสังหารเซียวทงไปให้หลิวเจิน เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิวเจินจะยังพูดอะไรได้อีกเล่า!ต้องจัดการหลิวเจินก่อนแล้วจึงจะตรวจสอบในขั้นต่อ ๆ ไปได้“ไปเรียกตัวขันทีที่คอยดูแลพู่กันและหมึกในวันนี้มาให้แม่ทัพเผยชี้ตัว!”ท่านอ๋องเฉิงออกคำสั่ง องครักษ์กองทัพหลวงจึงไปพาตัวขันทีมาในขณะเดียวกัน ท่านอ๋องเฉิงก็
หลิวเจินลืมตาขึ้นแล้วกวาดมองไปที่ขุนนางเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองท่านอ๋องเฉิงอย่างตัดสินใจมิหันหลังกลับ แล้วหัวเราะออกมา“ใช่แล้ว พวกท่านคาดเดาได้ถูกต้อง หม่อมฉันสังหารองค์หญิงหกเอง”“ก่อนหน้านี้บ่าวมิได้คิดจะสังหารแม่ทัพเผย แต่ใครบอกให้เขามิฟื้นขึ้นมาเสียทีแล้วดันมาพุ่งใส่บ่าวเลยตกใจพลั้งมือแทงเขาไป!”“เมื่อทำเรื่องที่ถึงแก่ชีวิต บ่าวก็กังวลว่าจะถูกประหารชีวิต จึงสังหารองค์หญิงหกไปเสีย บ่าวคิดจะโยนความผิดให้แม่ทัพเผยเพคะ!”“การใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทก็เป็นเพียงเพราะอยากจะย้ายเป้าหมาย ให้พวกท่านคิดมิถึงตัวบ่าว ไหนเลยจะคิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะโชคดีถึงเพียงนี้ที่มีคุณหนูจำนวนเช่นนี้ช่วยเป็นพยานให้นาง!”“หม่อมฉันยอมรับความผิดเพคะ!”หลิวเจินกัดฟันพิษที่ซ่อนอยู่ในปากจนแตก และพยายามพูดต่อเพื่อที่จะมิให้ผู้ใดเห็นความผิดปกติ“องค์หญิงหกมีสิทธิ์อะไรที่เกิดมาในราชวงศ์ อยากได้อะไรก็ได้ ส่วนพวกเรา… ต้องตกอยู่ในสถานะที่ถูกกดขี่บังคับโดยปัดป้องมิได้เลย...”“แม่ทัพเผย ท่านควรจะขอบคุณข้า มิเช่นนั้นท่านจะต้องถูกบังคับให้แต่งงานแล้ว...”เลือดสีดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากปากของหลิวเจิน
หลิงอวี๋เอ่ยอย่างแค้นเคืองต่อความมิเป็นธรรม “พวกของไท่เฟยเส้า ใส่ร้ายหม่อมฉันกับแม่ทัพเผยตามอำเภอใจโดยมิได้มีหลักฐาน ๆ เพคะ”“หม่อมฉันเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท แต่พวกเขาก็ใส่ร้ายและบีบบังคับหม่อมฉันให้แขวนคอเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ได้ตามใจ หากเป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ จะมิถูกต่อว่าต่อขานจนจมน้ำลายตายไปเลยหรือ!”“แม่ทัพเผยเป็นเสาหลักของแคว้น วันนี้เขาโชคดีที่สามารถรอดมาปกป้องตนเองได้! แต่หากว่าเขาตายไปโดยที่มีเรื่องใส่ร้ายติดตัวเช่นนี้ เช่นนั้นชื่อเสียงอันดีงามที่เขาสั่งสมมาโดยตลอดจะมิเสียหายไปหรือเพคะ?”เผยอวี้ฟังถึงตรงนี้ก็คุกเข่าตามลงไปพลางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “กระหม่อมจงรักภักดีมาตลอดชีวิต ไม่มีทางทำเรื่องเช่นการลักลอบสมสู่กันเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!”“ใต้เท้าวาง ใต้เท้าหลิน หากมุมมองทางการเมืองของเรามิตรงกันก็สื่อสารและเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ พวกท่านมาใส่ร้ายในเรื่องส่วนตัวของข้าตามแต่ใจเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจะให้ข้านำทัพได้อย่างไร?”“ฝ่าบาท พระชายาองค์รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้มิสามารถปล่อยไว้ได้ มิเช่นนั้นในภายหน้าจะกลายเป็นความนิยมของสังคม มิว่าผู้ใดก็ใส่
“พวกท่านทำเช่นนี้มิกลัวว่าจะทำร้ายใจของพวกขุนนางและเหล่าทหารหรือ?”การบีบให้ตอบคำถามแบบที่แทบจะทรมานวิญญาณออกไปเหล่านี้ทำให้สีหน้าของไท่เฟยเส้าดูแย่ลงและองค์ชายคังกับใต้เท้าวางก็พูดมิออกหลิงอวี๋กับเผยอวี้ล้วนอยู่บนหลักของเหตุผล แต่สิ่งที่พวกของตนทำนั้นมิอาจนำออกมาแสดงให้เห็นได้เลยจริง ๆ แล้วจะโต้แย้งได้อย่างไร?เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋เช็ดน้ำตาเช่นนั้นก็ปวดใจเป็นอย่างมากหลิงอวี๋ต้องทนทุกข์และเหนื่อยยากไปกับตนเพื่อให้ตนได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมังกรอย่างมั่นคงพวกของไท่เฟยเส้าใส่ร้ายนางกับเผยอวี้เช่นนี้เพื่อที่จะตัดแขนตัดขาตน นี่ถือเป็นการยั่วยุและมิสนใจตนสีหน้าของเซียวหลินเทียนอึมครึมและมองไปทางท่านอ๋องเฉิงท่านอ๋องเฉิงปวดหัวกับเรื่องนี้ ตนสามารถจัดการกับองค์ชายคัง ใต้เท้าวางและใต้เท้าหลินได้โดยที่เขามิต้องพูดอะไรแต่กับไท่เฟยเส้า นางเป็นสตรีของจักรพรรดิสูงสุด หากตนไปจัดการนาง… เช่นนั้นคงมิดีกระมัง!“ท่านอ๋องเฉิง เมื่อครู่ตัวข้าบอกไว้เช่นไร? การใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทและแม่ทัพเผย หากได้รับการตรวจสอบจนรู้ความจริงว่ามิเป็นตามนั้นจะต้องรับโทษโบยสามสิบไม้!”เซียวหลินเทียนเห็นว่
ไทฮองไทเฮากับหลิงอวี๋ได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดการไท่เฟยเส้าเช่นนี้ก็แอบขำอยู่ในใจองค์ชายคังที่ถูกโบยสามสิบไม้กลายเป็นห้าสิบไม้ การถูกโบยไปเช่นนี้ ชีวิตก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว!ความเจ็บปวดในครั้งนี้มากพอที่จะทำให้เขามิสามารถออกมาก่อเรื่องไปได้อีกสักพักเลยทีเดียวฮูหยินวางกับฮูหยินหลินตกใจจนตัวสั่นอยู่นานแล้ว พวกนางต่างก็คุกเข่าอย่างหวาดกลัวอยู่กับที่มิกล้าขยับไปไหนไท่เฟยเส้า องค์ชายคังและสามีของตนล้วนถูกลงโทษกันหมด พวกนางหนีมิพ้นแล้วเป็นดังที่คาดไว้ หลังจากที่เซียวหลินเทียนจัดการกับไท่เฟยเส้าและองค์ชายคังแล้ว ก็หันกลับมาที่ทั้งสองคนพลางเอ่ยอย่างรังเกียจ “ตระกูลวางกับตระกูลหลินล้วนทำความผิดเดียวกันกับใต้เท้าวางและใต้เท้าหลิน ฉะนั้นก็รับการโบยสามสิบไม้! ลากตัวไปลงโทษ!”พวกแม่นมในวังต่างก้าวไปลากตัวของทั้งสองคน“ฝ่าบาททรงตัดสินอย่างปรีชาชาญ!”หลิงอวี๋กับเผยอวี้ได้ระบายความโกรธแล้วจึงคุกเข่าขอบคุณเซียวหลินเทียนทำตัวมิถูก เขารู้สึกว่าตนเป็นจักรพรรดิแล้วสิ่งนี้มิดี แค่ทำเรื่องเล็กน้อยให้พวกเขาก็ต้องได้รับคำขอบคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วสิ่งนี้เป็นการแบ่งแยกอย่างเห็นได้ชัด!“พระช
ท่านอ๋องเฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “อาภรณ์ของเซียวทงยุ่งเหยิงไปหมด อิงจากที่เผยอวี้บอกมาคือ นางถูกสังหารมาก่อนแล้วจึงโยนเข้าไปในห้องของเผยอวี้ ข้าเองก็มิแน่ใจว่า อาภรณ์ของนางยุ่งเหยิงไปตอนที่นางต่อสู้ หรือว่ายุ่งเหยิงในตอนที่ถูกย้ายตัวมา!”หลิงอวี๋คิดแล้วก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ย “ดูจากนิสัยของเซียวทงแล้ว หากถูกคนบีบคอเอาไว้ไม่มีทางที่จะมิต่อสู้ดิ้นรน!”“หากเป็นหม่อมฉัน ถ้าเกิดหม่อมฉันสู้มิไหวก็จะต้องทำร้ายเขาที่ใบหน้าทำให้เขามิอาจซ่อนได้!”เผยอวี้ได้ยินดังนั้นก็เอ่ย “ท่านอ๋องเฉิง พระชายาองค์รัชทายาทเอ่ยเรื่องนี้ก็ถูกพ่ะย่ะค่ะ ท่านไปตรวจดูที่มือของเซียวทงดูดี ๆ อีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะในเล็บว่ามีเบาะแสอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่!”ท่านอ๋องเฉิงมองหลิงอวี๋อย่างชื่นชม จากนั้นก็กลอกตาให้เผยอวี้ไปแล้วเอ่ย“ยามที่ข้าตรวจสอบคดีจะละเลยในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า! เจ้าเด็กนี่ ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร!”เผยอวี้จึงแย้มรอยยิ้มออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ๆ… กระหม่อมลืมไปว่าท่านอ๋องเฉิงทรงเติบโตมากับกระทรวงยุติธรรมจะละเลยไปได้อย่างไรกัน!”ท่านอ๋องเฉิงจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ตรวจสอบเล็บของเซียวทงไปแล้ว เล็บข
หลิงอวี๋มาที่เมืองหลวงแดนเทพได้สักพักหนึ่งแล้ว นางรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลอูเป็นการดำรงอยู่ที่เหนือกว่าตระกูลใหญ่ ๆ หลายตระกูลเนื่องจากพวกนางได้ปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์มารุ่นแล้วรุ่นเล่า และควบคุมเครื่องยาสมุนไพรชั้นยอดอันล้ำค่าที่เหล่าบรรดาตระกูลใหญ่และผู้บำเพ็ญตนในแดนเทพต้องการ ดังนั้นตระกูลเหล่านี้จึงเคารพพวกนางมากอีกทั้งนี่ยังทำให้เกิดเป็นตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทำตัวสูงส่งมิเห็นหัวใครและอวดดีอีกด้วยแต่ก็เช่นเดียวกับที่ตระกูลหลงนั่งอยู่อย่างมั่นคงในแผ่นดินของแดนเทพมาหลายร้อยปีนี้ พวกตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็มิได้ให้ความเคารพต่อตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปเหล่าตระกูลใหญ่ส่วนมากต่างก็รู้สึกว่าเครื่องยาสมุนไพรของภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ฟ้าดินประทานให้ทุกคน เหตุใดจึงต้องให้ตระกูลหลงและตระกูลอูเป็นผู้ควบคุมและจัดสรรให้ทุกคนด้วยเล่า?ในตอนนี้เมื่อได้ยินมู่ตงบอกว่าตระกูลอูมิได้เห็นฮองเฮาและท่านหญิงอยู่ในสายตา หลิงอวี๋ก็รู้สึกเป็นห่วงตระกูลอูขึ้นมาการยั่วยุอำนาจจักรพรรดิและตระกูลใหญ่เหล่านั้นเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลอูจะปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่ในท้ายที่สุด
กลุ่มของหลิงอวี๋รีบมุ่งตรงไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างรีบร้อน เผยอวี้เอ่ยถามออกไป “พี่หญิงหลิงหลิง เหตุใดเจ้าแห่งทะเลจึงปล่อยท่านออกมาง่ายดายถึงเพียงนี้เล่า?”“ก่อนหน้านี้พวกเราคิดว่าต่อให้นำพระราชโองการจากฮองเฮามา เจ้าแห่งทะเลอาจจะมิปล่อยท่านออกมาก็เป็นได้!”“ข้ายังมีประโยชน์กับเขาอยู่ ตอนนี้เขาทำอะไรข้ามิได้ และมิอาจสังหารข้าได้ด้วย จึงได้ปล่อยข้าออกมา!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาเรียบ ๆ “แต่เจ้าแห่งทะเลรู้ตัวตนของข้าแล้ว เขาน่าจะมีแผนสำรองอยู่!”หลังจากเถาจื่อขึ้นรถม้าก็มิได้พูดอะไรทั้งนั้น จิตใจของนางค่อนข้างอ่อนล้า หลังจากพักผ่อนไปสักพักหนึ่งจึงรู้สึกดีขึ้นแต่หลิงอวี๋และเผยอวี้ต่างก็มิได้สังเกตว่า สายตาที่เถาจื่อมองพวกเขานั้นค่อนข้างแปลก ทั้งยังแฝงความเกลียดชังอยู่ในนั้นด้วย“เช่นนั้นทางที่ดีพวกเรารีบไปจากแดนเทพกันเถิด!”วิกฤตในวันนี้ ทำให้เซียวหลินเทียนและเผยอวี้ตระหนักถึงอันตรายของการอยู่ในแดนเทพต่ออำนาจของพวกเขาในแดนเทพนั้นมิอาจเทียบกับเจ้าแห่งทะเลได้ พลังก็สู้เจ้าแห่งทะเลมิได้ การรีบไปจากแดนเทพต่างหากจึงจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก เมื่อทำเสร็จแล้วค่
เจ้าแห่งทะเลมองท่านอาสุ่ยอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ท่าทางของท่านอาสุ่ยดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บภายในจริง ๆ ท่าทางของหลิงอวี๋เมื่อครู่ก็มิได้ดูดีนักการประลองของทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย!แต่ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้จริงหรือ?“เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางใช้หยกหล้าสุขาวดีอย่างไร?”เจ้าแห่งทะเลซักต่ออย่างมิยอมปล่อยท่านอาสุ่ยส่ายหัว “หม่อมฉันสร้างภาพลวงตาให้หลิงอวี๋ นางเองก็ทำเช่นกันเพคะ นางใช้พลังจิตในการใช้หยกหล้าสุขาวดี ตั้งแต่ต้นจนจบหม่อมฉันมิเคยเห็นหยกหล้าสุขาวดีปรากฏออกมาเลยเพคะ!”“เจ้าแห่งทะเล ท่านเคยตรัสว่าหยกหล้าสุขาวดีหลอมรวมกับหลิงอวี๋แล้วมิใช่หรือเพคะ?”“หยกหล้าสุขาวดีอยู่ในร่างของนาง นางแค่คิดก็สามารถใช้หยกหล้าสุขาวดีได้แล้ว!”เมื่อท่านอาสุ่ยนึกถึงคำสั่งที่หลิงอวี๋ทิ้งเอาไว้ในจิตของตน นางก็อยากจะให้หลิงอวี๋ตายไปเสียใครจะชอบให้คนที่สามารถทำให้ตนกลายเป็นคนโง่ได้ทุกเมื่อมีชีวิตอยู่กัน!ในเมื่อตนมิสามารถจัดการกับหลิงอวี๋อย่างเปิดเผยได้ เหตุใดมิใช้อำนาจของเจ้าแห่งทะเลกำจัดภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้เล่า!“เจ้าแห่งทะเล หม่อมฉันคิดว่าท่านไปนำหยกหล้าสุขาวดีของนางมาใ
หลิงอวี๋แย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “หลังจากออกไปแล้ว หากท่านทำตัวดี มิทำเรื่องชั่วช้าอีก ท่านก็จะมีชีวิตสงบสุขไปจวบจนแก่เฒ่า!”“แต่หากท่านกล้าไปร่วมมือกับคนชั่วแล้วมาหาเรื่องข้าอีก ทะเลทรายแห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ฝังศพของท่าน!”“เจ้าทำอะไรกับข้า?”ท่านอาสุ่ยเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจและสงสัย“ท่านเชี่ยวชาญวิชาดูดกลืนวิญญาณ ก็น่าจะรู้ว่าข้าสามารถทิ้งคำสั่งไว้ในจิตสำนึกของท่านได้ หากมิไปกระตุ้นคำสั่งนี้ ก็จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น!”“ทว่าหากไปกระตุ้นมัน ท่านก็จะกลับมาอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้อีกครั้ง!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาอย่างมีความหมาย “นี่นับว่าเป็นการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ท่านให้ข้าเรียกท่านว่าแม่!”ท่านอาสุ่ยตกตะลึง แต่นางมิได้แข็งแกร่งเท่าหลิงอวี๋ แม้ว่าจะมิพอใจกับวิธีการนี้ของหลิงอวี๋แต่ก็มิอาจต่อต้านได้“ออกไปเถิด ท่านเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรบอกกับเจ้าแห่งทะเลว่าอย่างไร!”หลิงอวี๋จึงเปลี่ยนความคิดในใจ จากนั้นท่านอาสุ่ยและนางก็ออกจากภาพลวงตามาสู่ความเป็นจริงทั้งสองคนต่างก็ล้มลงไปกับพื้นพร้อมกันการประลองพลังจิตครั้งนี้สิ้นเปลืองพลังของทั้งสองคนไปเป็นอย่างมาก แม้ว่าหลิงอวี๋จะชนะ แต่ปฐม
หลิงอวี๋มิได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกเลยแม้แต่น้อย นางและท่านอาสุ่ยยังคงต่อสู้กันอยู่ในภาพลวงตาพลังของท่านอาสุ่ยสูงกว่าของหลิงอวี๋ ดังนั้นหลิงอวี๋จึงต้านอย่างยากลำบากมากขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะต้านมิอยู่นั้น จู่ ๆ นางก็นึกถึงหยกหล้าสุขาวดีขึ้นมาเย่ซงเฉิงเคยบอกไว้มิใช่หรือว่า หยกหล้าสุขาวดีนี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เหนือกว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ความลับของมันมีเพียงตนเท่านั้นที่จะเข้าไปสำรวจได้?ส่วนการสูญเสียความทรงจำสามารถทำให้ตนละทิ้งข้อจำกัดของอดีต ทำความรู้จักตนเองใหม่อีกครั้ง และไปสำรวจความลึกลับของหยกหล้าสุขาวดีได้!เย่ซงเฉิงสามารถสร้างภาพลวงตาที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้นให้ตนได้ นี่มิใช่สิ่งที่พลังของเขาสามารถทำได้แน่นอน!เขาแค่ใช้อิทธิฤทธิ์ของหยกหล้าสุขาวดีของตนมาสร้างภาพลวงตาให้กับตนในเมื่อเขาสามารถใช้ตนกระตุ้นศักยภาพของหยกหล้าสุขาวดีได้ แล้วเหตุใดตนที่อยู่ในฐานะเจ้าของหยกหล้าสุขาวดีจะมิสามารถใช้ได้เล่า?หลิงอวี๋คิดแล้วก็หลับตาลง จากนั้นในหัวของนางก็ตั้งสมาธิแน่วแน่นึกถึงทะเลทรายในชั่วพริบตาบริเวณรอบ ๆ ก็เป็นทะเลทรายทั้งหมด ทะเลทรายสีเหลืองทองนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วนางก็
หากวิชาดูดกลืนวิญญาณของตนถูกอีกฝ่ายต้านกลับได้ มีหรือที่ท่านอาสุ่ยจะมิรู้จุดจบ นางอาจจะติดอยู่ในภาพลวงตาที่หลิงอวี๋สร้างขึ้นตลอดไปและมิสามารถออกไปได้อีกในยามนี้ ท่านอาสุ่ยมิกล้าประมาทหลิงอวี๋แล้ว นางจึงพยายามช่วงชิงอำนาจการควบคุมอย่างสุดความสามารถในเวลานี้หลิงอวี๋เองก็มิสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน หากนางมิกดท่านอาสุ่ยเอาไว้ นางก็คงจะกลายเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งทั้งสองคนแข่งขันกันโดยที่ต่างคนต่างก็ใช้วิธีการของตนมากดอีกฝ่ายไว้เจ้าแห่งทะเลเห็นเพียงปากของคนทั้งสองขยับอยู่ และการแสดงออกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับมิได้ยินว่าทั้งสองคนพูดอะไรกันนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เจ้าแห่งทะเลมิได้คิดว่าหลิงอวี๋มีวิชาดูดกลืนวิญญาณและสามารถควบคุมท่านอาสุ่ยได้แต่เขาแค่สงสัยว่า ท่านอาสุ่ยจะมิอยากให้ตนรู้ความลับของหยกหล้าสุขาวดี จึงสื่อสารกับหลิงอวี๋เป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นเลือดไหลออกมาจากจมูกของท่านอาสุ่ยและหลิงอวี๋!นี่คือธาตุไฟเข้าแทรกหรือไม่?ยามนี้ต่อให้เจ้าแห่งทะเลจะเขลาแค่ไหนก็รู้แล้วว่าเรื่องราวมิได้เป็นไปตามทิศทางที่ตนคาดไว
แม่บ้าอะไรเล่า!หลิงอวี๋ลอบกำหมัดแน่นผู้ที่ศึกษาวิชาสะกดจิตต่างก็รู้กันดีว่า ผู้ที่จิตแข็งจะมิถูกสะกดจิตได้ง่าย ๆอีกทั้งผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาสะกดจิตก็ยังรู้ด้วยว่า หากพบผู้ที่จิตแข็งกว่าพวกเขา การสะกดจิตจะมิสำเร็จ และอาจจะถูกอีกฝ่ายสะกดจิตกลับได้ด้วย!ในชั่วพริบตานั้นหลิงอวี๋จึงตัดสินใจว่าจะใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ให้ท่านอาสุ่ยได้ลิ้มรสการถูกสะกดจิตกลับเช่นกัน“ข้ายังมองมิเห็นทางออกเลย ข้าปวดหัวยิ่งนัก ข้าจะทนมิไหวแล้ว!”หลิงอวี๋ยังคงแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดต่อแต่ในหัวของนางกำลังคิดหาวิธีที่จะจัดการกับท่านอาสุ่ยอยู่วิชาสะกดจิตของท่านอาสุ่ยในยุคนี้ก็คือวิชาดูดกลืนวิญญาณนั่นเอง การที่เจ้าแห่งทะเลเชิญนางมาจัดการกับตนก็เป็นการยืนยันได้แล้วว่าท่านอาสุ่ยเป็นปรมาจารย์ทางด้านนี้หากคิดจะจัดการกับปรมาจารย์เช่นนี้ การพึ่งวิธีการธรรมดาทั่วไปไม่มีทางที่จะบรรลุเป้าหมายได้แน่!ใกล้มือหลิงอวี๋เองก็ไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมแก่การสะกดจิตท่านอาสุ่ยกลับด้วยอีกทั้งเจ้าแห่งทะเลก็ยืนจ้องตาเป็นมันอยู่ด้านข้าง หากเขาพบว่ามีอะไรผิดปกติแล้วมาขัดขวางนาง นางก็จะมิอาจบรรลุเป้าหมายได้เช่นกันหลิงอวี๋นึก
“เจ้าค่ะ ท่านแม่!”หลิงอวี๋ตอบรับ จากนั้นตรงหน้าก็ปรากฏประตูไม้โบราณบานหนึ่งขึ้นมา เมื่อนางผลักประตูเปิด ข้างในห้องนั้นล้วนเป็นหมอก จนมองมิเห็นการตกแต่งใด ๆ“อาอวี๋ เจ้าเห็นสิ่งใด?”ท่านอาสุ่ยเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน“ท่านแม่ มีแต่หมอกเต็มหมด นอกจากนี้แล้วข้ามองมิเห็นอะไรเลย!”หลิงอวี๋บอกไปตามความจริงท่านอาสุ่ยรู้สึกสับสนขึ้นมา วิชาดูดกลืนวิญญาณของตนถึงขั้นสูงสุดแล้ว ในแดนเทพแทบจะไม่มีใครเทียบเทียมกับตนได้นางชี้นำให้หลิงอวี๋เปิดประตูแห่งความทรงจำ ตามหลักเมื่อหลิงอวี๋เปิดประตูนั้นไปก็น่าจะนึกถึงเรื่องที่เกี่ยวกับหยกหล้าสุขาวดีได้ แต่เหตุใดสิ่งที่เห็นจึงมีแต่หมอกเสียได้เล่า!ท่านอาสุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “อาอวี๋ เดินเข้าไป เดินฝ่าหมอกเหล่านั้นไปแล้วเจ้าจะพบ!”หลิงอวี๋จึงเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่อฟัง แต่นอกจากหมอกแล้วนางก็ยังมิเห็นสิ่งใดอยู่ดีอีกทั้งยังปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงด้วย“ท่านแม่ ข้าปวดหัว!” นางเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวดท่านอาสุ่ยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ นี่คือปฏิกิริยาที่หลีกเลี่ยงมิได้เมื่อหลิงอวี๋อยู่ในกระบวนการขุดค้นความทรงจำ“อดทนไว้ ขอเพียงฝ่าหมอกไปได้ก็จะม
“ข้ามีนามว่าหลานฮุ่ยจวน ข้าเป็นคนให้กำเนิดเจ้ามา เป็นแม่ของเจ้า!”ท่านอาสุ่ยเอ่ยต่อ “อาอวี๋ แม่รอเจ้ามาหลายปีแล้ว ขอเพียงเจ้าเปิดห้องขังนี้ แม่ก็จะอยู่กับเจ้าตลอดไปได้!”หลิงอวี๋เห็นแสงสีรุ้งเหล่านั้นจางลงไป จากนั้นนางก็มาอยู่ในห้องขังที่มืดมิดห้องหนึ่งสตรีที่สวมอาภรณ์เก่า ๆ ผู้หนึ่งกำลังถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดูราวกับว่าถูกทุบตีมาอย่างสาหัสเมื่อนางเห็นหลิงอวี๋ สตรีผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาคว้าลูกกรงไว้แล้วเรียกนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังใบหน้านั้นมีความอ่อนโยนและค่อนข้างคุ้นเคย หลิงอวี๋จึงเดินเข้าไปหาโดยมิรู้ตัว“ท่านคือท่านแม่ของข้าหรือ?”นางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสับสน“ข้าคือแม่ของเจ้า… อาอวี๋ เจ้าคือลูกที่ข้าอุ้มท้องมาสิบเดือนและให้กำเนิดเจ้ามา เหตุใดเจ้าจึงจำข้ามิได้เล่า?”“อาอวี๋ แม่ก็มิอยากแยกจากเจ้าเช่นกัน แต่คนเลวพวกนั้นมาพรากเราออกจากกัน พวกเขาขังแม่ไว้ที่นี่ ทุบตีทำร้ายแม่ ทรมานแม่!”สตรีผู้นั้นสะอื้นพลางเอ่ยออกมา “แม่คิดถึงเจ้าตลอดเวลาที่อยู่ในคุก ที่เจ้ามาหาที่นี่มิใช่ว่าเพื่อจะมาช่วยเหลือแม่หรอกหรือ?”“เจ้ารีบไขประตูช่วยแม่ออ