“เมื่อราชสำนักมอบรางวัลแก่แม่ทัพและขุนนางล้วนเป็นการมอบที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ แต่หลังจากที่มอบให้พวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดไปจัดการดูแล พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยราชสำนักดูแลที่ดินอุดมสมบูรณ์เหล่านี้หรือไม่เพคะ!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “การเก็บภาษีก็เก็บตามระดับของขุนนาง เช่นนี้ก็แสดงว่าแม่ทัพขุนนางได้รับที่ดินอุดมสมบูรณ์ไปมากที่สุดแต่กลับจ่ายภาษีน้อยที่สุด!”“ท่านตรัสว่าทำการเกษตรมิคุ้มเงิน แม่ทัพเหล่านี้ก็คิดเช่นนี้เพคะ หากจ้างคนมาทำเกษตรก็ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอีก ดังนั้นพวกเขาจึงยอมปล่อยให้ที่ดินที่อุดมบูรณ์เปล่าประโยชน์ไป แต่มิยอมจ้างคนมาทำเกษตร!”“ส่วนราษฎรจำนวนมากก็มิได้มีที่นาเป็นของตน ต้องพึ่งการเช่าไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ทั้งยังต้องถูกผู้ว่าจ้างกับผู้ดูแลไร่นาหาประโยชน์อีก!”“วงจรอุบาทว์เช่นนี้ จะมีราษฎรอยู่เท่าใดกันที่สามารถทำไร่นาได้อย่างมั่นใจ?”เซียวหลินเทียนยิ่งฟังก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาที่หลิงอวี๋พูดมาเหล่านี้มีอยู่จริงค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจคำนวณละเอียดได้ มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างตนเองมีที่ดินอุดมสมบูรณ์อยู่ห้าพันหมู่
หลิงอวี๋ได้ยินเซียวหลินเทียนพูดเช่นนี้ก็โล่งอก นางนึกถึงนิทานสุภาษิตเรื่องน้ำอุ่นต้มกบขึ้นมาได้จึงเล่าให้เซียวหลินเทียนฟังเซียวหลินเทียนฟังจบก็หัวเราะออกมา “นิทานสุภาษิตเรื่องนี้ดีนะ ข้าจะใช้นิทานสุภาษิตที่เจ้าเล่าให้ฟังนี้ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนกบต้มไปเสีย!”สายตาของเซียวหลินเทียนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จะเป็นการค่อย ๆ ให้มันเป็นไปโดยมิทันรู้ตัวก็ดี หรือจะใช้ไม้แข็งควบคุมก็ดี เขาจะต้องเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาชาญ มิกลัวความท้าทายและภัยคุกคามเหล่านี้หลิงอวี๋พูดแค่ถึงจุดนี้ก็มิสนใจในเรื่องนี้แล้วส่วนเซียวหลินเทียนเมื่อถูกหลิงอวี๋พูดอย่างจริงใจเช่นนี้ก็พบว่าตนยังขาดความรู้อีกมากหลังจากผ่านช่วงปีใหม่มาก็ใกล้จะเป็นช่วงวสันตฤดูแล้ว เขาต้องรีบทำให้แผนการเปลี่ยนแปลงที่ดินเป็นจริงก่อนวสันตฤดู แม้ว่าจะสามารถดำเนินการให้เป็นจริงได้ทั้งแคว้น แต่ก็ต้องทำให้ที่ดินสองในสามของแคว้นสามารถเพาะปลูกพืชผลให้ได้ในช่วงวสันตฤดูเซียวหลินเทียนมิได้รีบร้อนเอ่ยเรื่องนี้ เขากำลังรอโอกาสอยู่ผ่านไปสองสามวัน รายงานด่วนฉบับแรกของอันเจ๋อก็ส่งกลับมาที่เมืองหลวงแล้วเซียวหลินเทียนเปิดอ่านจนจบสีหน้าก็อึมครึมอันเ
เฉาเฉียงนำชาวบ้านไปยึดครองภูเขา ทำการปล้นคนรวยและแจกจ่ายให้คนจนเมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นภัยคุกคามของเหล่าคนรวยเช่นเกาต้าหู้ หวางหมิงผู้ว่าการอำเภอสิงหยางได้ส่งทหารไปล้อมปราบอยู่หลายต่อหลายครั้ง สิ่งนี้จึงไปกระตุ้นความโกรธของเฉาเฉียงความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายนับวันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นประกอบกับที่ช่วงนี้ราษฎรที่ถูกกดขี่ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงหมดหนทางพากันไปหาเฉาเฉียงกองกำลังของเฉาเฉียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ดึงดูดความสนใจของข้าหลวงเจิ้งโจวใต้เท้าเจียงข้าหลวงเจิ้งโจวจึงพาคนมาออกตรวจอย่างลับ ๆ ที่สิงหยางด้วยตนเอง แต่มิรู้ว่าพบสิ่งใด นับแต่นั้นมาก็หายตัวไปหวางหมิงจึงใส่ความผิดนี้ไปที่เฉาเฉียงบอกว่าเขาสังหารข้าหลวงไป และฟ้องร้องต่อใต้เท้าจางผู้ตรวจของทั้งสองฝั่งขอร้องให้ส่งทหารมาล้อมปราบในนั้นยังมีเงื่อนงำอยู่อีกซึ่งสายลับของอันเจ๋อยังตรวจสอบมิแน่ชัด อันเจ๋อจึงทำได้เพียงรายงานสิ่งเหล่านี้ไปก่อนสุดท้าย อันเจ๋อได้บอกในสาส์นกราบทูลไปว่า ‘ฝ่าบาท คราวนี้กระหม่อมส่งสายลับไปทั้งหมดสิบคน กลับมารายงานได้เพียงห้าคนเท่านั้น อีกห้าคนมิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ!’‘ตอนที่กระหม่อมเขียนสาส์นกร
“ฝ่าบาท พวกเขาพูดกันไปทั่วว่าอันเอ๋อร์ถูกโจรสังหาร นี่มิใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่เพคะ?”พระชายาผิงหนานเห็นเซียวหลินเทียนก็ตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวังทันทีอันซินมากับแม่ของนางด้วย นางร้องไห้จนตาบวมและมองไปที่เซียวหลินเทียนอย่างคาดหวังเซียวหลินเทียนพยายามควบคุมตนเองไว้มิให้ได้รับผลกระทบจากพวกนาง แล้วเอ่ยปลอบใจ “นี่เป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงเท่านั้น ยังมิได้รับการยืนยันในท้ายที่สุด”“พระชายาผิงหนาน ข้าส่งคนไปค้นหาแล้ว จะต้องพบอันเจ๋ออย่างแน่นอน!”นี่เป็นการยืนยันข่าวลือนั้นโดยมิต้องสงสัยเลย พระชายาผิงหนานมิเชื่อว่าผู้ใดจะกล้าลือเช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องเป็นจริงแน่ ๆ!“อันเอ๋อร์!”พระชายาผิงหนานหน้าซีดเผือด พูดอะไรมิออกแล้วตาเหลือกเป็นลมไปอีกครั้งหลิงอวี๋ได้ยินว่าพระชายาผิงหนานมาจึงรีบมา เมื่อเข้าประตูไปเห็นภาพนี้เข้าก็ตกใจรีบเข้าไปช่วยพระชายาผิงหนานผ่านไปสักพัก พระชายาผิงหนานก็ฟื้นขึ้นมาพระชายาผิงหนานจ้องมองเซียวหลินเทียนอย่างสิ้นหวัง นางมิกล้าต่อว่าเขาแต่สายตากลับปรากฏความชิงชังออกมายังดีที่ท่านอ๋องผิงหนานรู้ข่าวจึงรีบตามมาในวังเช่นกันเขาสงบกว่าพระชายาผิงหนาน เมื่อเห็
พระชายาผิงหนานจมอยู่ในความสับสนอย่างเงียบ ๆฝ่ายหนึ่งก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน อีกฝ่ายก็เป็นเสาหลักของครอบครัว นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจ“ฝ่าบาท ในเมื่อท่านอ๋องของหม่อมฉันร้องขอ หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดเพคะ ตามแต่ใจของเขาเถิด!”พระชายาผิงหนานได้สติกับคำพูดของท่านอ๋องผิงหนานหากองค์จักรพรรดิส่งขุนนางคนอื่นไป หากอันเจ๋อยังมีชีวิตอยู่แต่คนคนนั้นมิพยายามอย่างเต็มที่ เช่นนั้นจะมิเป็นการตัดหนทางการรอดชีวิตของอันเจ๋อหรือ?หากสามีตนไป แม้ว่าจะเสี่ยง แต่เขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการตามหาอันเจ๋อ!เซียวหลินเทียนเห็นว่าพระชายาผิงหนานเห็นด้วย จึงออกคำสั่งให้ท่านอ๋องผิงหนานเป็นผู้แทนพระองค์และให้รีบออกจากวังไปเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังเจิ้งโจวทันทีกระทั่งจ้าวฮุยรู้ข่าว ท่านอ๋องผิงหนานก็อยู่ระหว่างเดินทางแล้วจ้าวฮุยโกรธมาก เขาคิดว่าอันเจ๋อหายตัวไปแล้ว คราวนี้เซียวหลินเทียนจะต้องใช้คนที่ตนแนะนำให้อย่างแน่นอนไหนเลยจะคิดว่าเซียวหลินเทียนจะรวดเร็วเช่นนี้ ยังมิทันได้ขึ้นว่าราชกิจก็สั่งการท่านอ๋องผิงหนานไปแล้ว“หึ เสียอันเจ๋อไปคนหนึ่งแล้วเจ้าก็ยังจะดื้อดึงอยู่อีก เช่นนั้นข้าจะดูว่าเจ้าจ
ในขณะที่แม่ทัพฟางออกเดินทาง ข่าวลือเกี่ยวกับโจรที่เจิ้งโจวก็แพร่กระจายไปทั่วและในเมืองหลวงก็มีข่าวลือบางส่วนที่แพร่ออกไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่เซียวหลินเทียนข่าวลือเหล่านี้บอกว่า จักรพรรดิองค์ใหม่ไร้คุณธรรมไร้ความสามารถ จึงทำให้เกิดหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวัน เป็นการลงโทษจากสวรรค์ ราษฎรผู้บริสุทธิ์ต้องหนาวตาย และโจรก็ออกอาละวาดเซียวหลินเทียนได้ยินศฤคาลเงินเล่าถึงข่าวลือเหล่านี้ก็หัวเราะเยาะออกมาเซียวหลินเทียนจะเดาเจตนาของคนที่ปล่อยข่าวลือมิออกเชียวหรือ?นี่เป็นการอาศัยโจรมาทำให้ตนเสียชื่อเสียง ยั่วให้ตนโมโหทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตไปจับตัวผู้แพร่ข่าวลือ กระตุ้นความขุ่นเคืองของราษฎรแล้วยุยงให้ราษฎรโค่นล้มอำนาจทางการเมืองของตนมาตรการตอบโต้ต่อเรื่องนี้ของเซียวหลินเทียนมิใช่การจับกุมตัว แต่เป็นการนำเหล่าขุนนางไปช่วยเหลือเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองหลวงที่ได้รับภัยพิบัติด้วยตนเองเมื่อฝ่าหิมะที่ตกหนักออกมา จักรพรรดิผู้สูงส่งที่ในอดีตจะเห็นได้ที่ตำหนักกระดิ่งทองเท่านั้น กลับมิสนใจความหนาวเหน็บแล้วมาบรรเทาภัยพิบัติถึงบ้านเรือน ทำให้ราษฎรเหล่านั้นหลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งออกมาเซียว
เซียวหลินเทียนเคยชินกับการนำทัพออกรบและมุ่งตรงไปแก้ไขปัญหาหลิงอวี๋จึงอยากเปลี่ยนแนวคิดนี้ของเขา มิฉะนั้นหากมีสงครามแล้วเซียวหลินเทียนนำทัพออกรบเอง เช่นนี้จะมิยุ่งยากและเหนื่อยแย่หรือ!หลี่ว์เซียงก็มิเห็นด้วยเช่นกัน ตอนนี้เซียวหลินเทียนเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ พวกขององค์ชายคังต่างกำลังจับตามองอยู่หากเซียวหลินเทียนออกไป เมืองหลวงจะต้องยุ่งวุ่นวายเป็นแน่จากการโน้มน้าวของทั้งสองคน สุดท้ายเซียวหลินเทียนก็ละทิ้งความคิดนี้ไปส่วนอันเจ๋อที่อยู่ไกลออกไปพันลี้นั้น หลังจากที่เขาตกจากที่สูงลงแม่น้ำไปกับม้า ลอยไปได้มิไกลก็ไปชนเข้ากับก้อนหินจึงสลบไปกระทั่งอันเจ๋อฟื้นขึ้นมา เพิ่งจะลืมตาก็เห็นมีดและหน้าไม้หลายอันเล็งมาที่ตนแล้ว และตนก็ถูกมัดแขนมัดขาอยู่อันเจ๋อชะงักไปสักพักหนึ่ง และจ้องมองชาวบ้านเหล่านั้นโดยมิกล้าขยับตัวกระทั่งอันเจ๋อถูกพาตัวมาที่ว่าการอำเภอเขตสิงหยางในฐานะสายลับของราชสำนัก เขาถึงได้รู้ว่าตนถูกน้ำพัดมาที่สิงหยางซึ่งเป็นเขตที่เฉาเฉียงยึดครองอยู่ผู้ที่สอบสวนอันเจ๋อก็คือตัวเฉาเฉียงเอง เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ และดวงตาที่ถูกศัตรูทำร้ายจนบอดนั้นดูน่ากลัวแต่อันเจ๋อมิได้มีความ
“ฮ่า ๆ ๆ!”เฉาเฉียงได้ยินคำพูดของอันเจ๋อราวกับได้ฟังเรื่องตลก แล้วก็เดินรอบตัวอันเจ๋อไปสองรอบว่ากันตามตรงแล้ว ท่าทางของอันเจ๋อในเวลานี้ คาดว่าหากพระชายาผิงหนานอยู่ต่อหน้าเขาก็คงจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเช่นกันกว่าจะสามารถจำเขาได้คุณชายรูปงามในอดีต เวลานี้เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้าก็เต็มไปด้วยดินโคลนอีกทั้งตอนอยู่ในแม่น้ำยังถูกก้อนหินกระแทกอยู่ตลอด ทำให้ใบหน้าและจมูกของอันเจ๋อบวม ที่กระดูกขากรรไกรของเขามีก้อนขนาดเท่ากำปั้นนูนขึ้นมา ทำเอาตาข้างหนึ่งของเขาหยีกลายเป็นขีดและอันเจ๋อก็ยังดูซูบผอมด้วย เมื่อดูเช่นนี้ดูเหมือนว่าเฉาเฉียงตีไหล่เขาแค่ครั้งเดียวก็ทำให้เขาทรุดไปได้ครึ่งวันแล้ว“เจ้าท้าทายข้ารึ?”เฉาเฉียงเบ้ปากพลางด่า “คนเช่นเจ้า ข้าใช้มือข้างเดียวก็สามารถเอาชนะเจ้าได้แล้ว เจ้าอย่ามาทำให้ข้าเสียเวลาจะดีกว่า ยอมรับความตายแต่โดยดีไปเสียเถอะ!”“ใครก็ได้! มาลากตัวเขาไปสังหาร!”“เดี๋ยวก่อน!”อันเจ๋อรีบเอ่ย “หัวหน้าเฉา เจ้าเองก็ถูกกลั่นแกล้งจึงต้องเข้าคุก เจ้าก็ควรรู้ถึงความสิ้นหวังที่ถูกกล่าวหาอย่างมิยุติธรรมโดยไม่มีหนทางขอความช่วยเหลือสิ!”“ข้าเองก็มีพ่อมีแม่ ในบ้านมีข้าเป็น
“หึหึ!”ชายาเจ้าแห่งทะเลหัวเราะออกมา “หลิงอวี๋ เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ? หยกหล้าสุขาวดีหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าแล้ว ค้นตัวเจ้าจะหาเจอได้อย่างไร?”“หลิงอวี๋ หยกหล้าสุขาวดีมิใช่ของของเจ้าตั้งแต่แรก มารดาเจ้าเป็นนางโจร ขโมยมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของจวนเจ้าแห่งทะเลไป การให้เจ้าคืนมาก็แค่เป็นการคืนของสู่เจ้าของเดิม!”“ข้าสืบรู้มาหมดแล้ว เจ้าและเซียวหลินเทียนสามีของเจ้าต่างก็อยู่ในเมืองหลวงแดนเทพ เจ้ายังมีบุตรชายอีกคนที่ฉินตะวันตก!”“หลิงอวี๋ ที่เจ้าปฏิเสธมิยอมรับฐานะของตนเองมาตลอด คงเป็นเพราะล่วงรู้ถึงวิธีที่จะนำหยกหล้าสุขาวดีออกมาแล้วสินะ”“เจ้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่า ขอเพียงมิยอมรับก็เป็นไปมิได้ที่พวกเราจะมัดตัวเจ้าไปสลายเลือดละลายกระดูกที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำหยกหล้าสุขาวดีออกมา!”ชายาเจ้าแห่งทะเลพูดถึงตรงนี้ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้ามิจำเป็นต้องพิสูจน์ยืนยัน ก็สามารถมัดตัวเจ้าไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!”“ที่ข้าให้คนนำตัวเจ้ามาที่จวนเจ้าแห่งทะเล ก็เพื่อจะให้โอกาสเจ้า!”หลิงอวี๋หรือจะยอมรับฐานะของตนเพียงเพราะชายาเจ้าแห่งทะเลพูดเช่นนี้ได้อย่าง
“เข้าไป อย่าให้พ่อบ้านผู้นี้ต้องพูดเป็นครั้งที่สอง!”รอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อบ้านเว่ยหายไปสิ้น กล่าวอย่างมิอดทน “เมื่อให้โอกาสดี ๆ มิชอบ ก็ต้องเจอดีเสียบ้าง!”เถาจื่อกำแขนหลิงอวี๋ไว้แน่น และถามผ่านสายตา“ตอนนี้ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”หลิงอวี๋ก็คาดมิถึงว่าจวนเจ้าแห่งทะเลจะเปลี่ยนท่าทีเร็วถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่า เมื่อเข้ามาในจวนเจ้าแห่งทะเลแล้วจะสามารถยื้อเวลาสักพักได้ชายาเจ้าแห่งทะเลมิปรากฏตัว แต่กลับให้พ่อบ้านเว่ยพาตนมาที่นี่เช่นนี้เลย?นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?คิดจะขังนางไว้ หรือว่ามีแผนอื่นกระไร?หลิงอวี๋มองไปยังท่าทีมีเจตนาร้ายของพวกพลธนูและชายร่างใหญ่หลายคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหล่านั้น นางและเถาจื่อไม่มีทางหนีรอดจากเงื้อมมือของพวกเขาไปได้เลย“เข้าไปก่อนเถอะ!”หลิงอวี๋นำหน้าเดินเข้าไป เถาจื่อตามติดอยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าประตูเรือน เมื่อเห็นสภาพข้างในก็รู้สึกว่ามิดีแน่ เพิ่งจะคิดถอยหลังเถาจื่อกลับถูกคนผลักจากด้านหลังอย่างแรง ชนเข้ากับร่างหลิงอวี๋จนดันหลิงอวี๋เข้าไปข้างในทั้งสองคนล้มลงไปกองรวมกัน ยังมิทันได้ลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงดังโครมสนั่นกล
หลงเพ่ยเพ่ยห้อยอยู่บนชะง่อนผานั้น นางเองก็ทนต่อไปมิไหวแล้ว ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของทุกคน นางจึงปีนป่ายเชือกขึ้นไปนางนึกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ หากเย่หรงตายไปแล้วจริง ๆ เขาย่อมหวังให้นางช่วยหลิงอวี๋ออกมาได้อย่างแน่นอนนางมิอาจทำให้เย่หรงตายตามิหลับได้!เมื่อหลงเพ่ยเพ่ยปีนขึ้นมาได้ก็มิสนใจตรวจสอบบาดแผลของตน นางคุกเข่าลงต่อหน้าฮองเฮาทันทีนางกล่าวเสียงเครือ “เสด็จย่า เรื่องที่ทรงรับปากหม่อมฉันเมื่อครู่ สามารถประทานพระราชโองการให้หม่อมฉันตอนนี้ได้หรือไม่เพคะ?”“เมื่อครู่เย่หรงช่วยชีวิตหม่อมฉันและหยวนซานไว้ เพียงเห็นแก่บุญคุณทั้งสองครั้งนี้ เสด็จย่าทรงควรจะช่วยให้เขาสมหวังนะเพคะ!”ฮองเฮานึกถึงเรื่องที่เย่หรงและหลงเพ่ยเพ่ยอ้อนวอนตนเมื่อครู่ เย่หรงเป็นถึงเพียงนี้แล้ว นางจะยังทำให้คนที่เขาชอบพอลำบากใจได้อีกหรือ?ฮองเฮาถอดปิ่นปักผมอันหนึ่งของตนออกมาโดยมิทันคิด แล้วยื่นให้กับหลงเพ่ยเพ่ย“ถือปิ่นปักผมนี้ไปพาตัวสิงอวี๋ออกมาเถอะ!”หลงเพ่ยเพ่ยรับปิ่นปักผมหงส์คู่ปักทองคำของฮองเฮามาทั้งน้ำตา นี่คือปิ่นปักผมที่ฮองเฮาเท่านั้นจึงจะสวมใส่ได้ เห็นปิ่นดังเห็นองค์ เทียบเท่ากับพระราชโองการของฮองเฮ
“ท่านหญิง...”“เพ่ยเพ่ย...”ฮองเฮาเห็นหลงเพ่ยเพ่ยตกลงไปก็ตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ ผานกกระเรียนแห่งนี้เป็นปรปักษ์กับราชวงศ์หรืออย่างไร?เหตุใดถึงได้ตกลงไปทีละคนเช่นนี้?“เร็วเข้า ช่วยคน!”ฮองเฮาตะโกนลั่น นางกำนัลที่มีไหวพริบรีบไปตามองครักษ์มาช่วยทางด้านเย่หรงทรงตัวได้มั่นคงบนชะง่อนผาแล้ว เขาเพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านบนเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นหลงเพ่ยเพ่ยกำลังร่วงหล่นลงมาหัวใจของเย่หรงหดเกร็งวูบ มิทันได้คิด คว้าเถาวัลย์ข้าง ๆ แล้วโหนตัวไปหาหลงเพ่ยเพ่ยหลงเพ่ยเพ่ยตกใจจนหลับตาลงแล้ว เตรียมพร้อมยอมรับความตายแต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนตนชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง จากนั้นร่างก็ถูกกอดไว้“ไปทางนั้น เร็วเข้า คว้าชะง่อนผานั่นไว้!”เย่หรงพลิกตัวกลางอากาศ เหวี่ยงหลงเพ่ยเพ่ยไปทางนั้น หลงเพ่ยเพ่ยพุ่งเข้าใส่ผนังผา แต่ใช้แรงมากเกินไปจนใบหน้าชนกับผนังผาจนถลอก นางเจ็บเสียจนหน้ามืดตาลายแต่นางมิสนใจความเจ็บปวดแทบขาดใจ เช่นเดียวกันกับเย่หรง เขาพยายามสุดชีวิตที่จะคว้าเถาวัลย์เหล่านั้นไว้โชคดีที่เถาวัลย์ฝั่งนี้ยังพันเกี่ยวกับกิ่งไม้มากมาย เถาวัลย์ที่พันกิ่งไม้ไว้นั้
“ซานเอ๋อร์!”หลงอวิ๋นก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ทันใดนั้นในสมองก็ว่างเปล่า…ในฐานะมารดา นางจะมิรู้ได้อย่างไรว่าตนลำเอียงต่อบุตรชายทั้งสองคนหยวนซือและหยวนซานป่วยไข้พร้อมกัน นางกลับเฝ้าหยวนซือทั้งวันทั้งคืนส่วนหยวนซานกลับเป็นหยวนซิ่งสามีของนางที่คอยดูแลด้วยตนเองของประทานที่ได้รับจากมหาเทพและเจ้าแห่งทะเลผู้เป็นบิดาในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันสำคัญต่าง ๆ นางก็จะให้หยวนซือเลือกก่อน ที่เหลือถึงจะให้หยวนซานเรื่องเช่นนี้นับมิถ้วน แต่หยวนซานกลับถูกหยวนซิ่งบิดาของเขาสั่งสอนมาอย่างดี มิเคยบ่นว่าเรื่องความลำเอียงของนางเลย!บัดนี้มองดูหยวนซานกำลังจะตกหน้าผา หลงอวิ๋นในฐานะมารดาจะสามารถมองดูเฉย ๆ ให้บุตรชายตายตกไปเช่นนี้ได้หรือ?ฝ่ามือหลังมือก็เนื้อเดียวกัน นางทำให้หยวนซานมาสู่ใต้หล้าผืนนี้ หยวนซานมีความผิดอะไร นางมีสิทธิ์อะไรจะทำกับหยวนซานเช่นนี้“ซานเอ๋อร์!”เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิต เมื่อคิดว่าจะต้องสูญเสียบุตรชายคนนี้ไปตลอดกาล หลงอวิ๋นก็พลันเสียใจแต่ก็สายเกินไปนางมิสนใจอีกต่อไปว่าจะทำให้หยวนซือบาดเจ็บหรือไม่ นางใช้แรงดึงหยวนซือออกอย่างแรงแล้วพุ่งเข้าไปที่หน้าผา“ซานเอ๋อร์ แม่มาช่วยเจ้าแล้ว
หลงเพ่ยเพ่ยเห็นท่านหญิงชิงเฉิงและท่านหญิงอวิ๋น ในสมองพลันเกิดความคิดแวบขึ้นมา ถึงได้คิดข้ออ้างนี้ออกเมื่อเห็นเย่หรงตามแนวคิดของตนทัน หลงเพ่ยเพ่ยก็แอบชื่นชมในไหวพริบของเย่หรงในใจ แล้วกล่าวต่อไป“เสด็จย่า ท่านคงมิประสงค์ให้ท่านอาเจ้าแห่งทะเลต้องเสียหน้าใช่หรือไม่เพคะ!”“หากเย่หรงไปหาท่านปู่ของเขาให้ออกหน้า การกระทำอันเผด็จการเช่นนี้ของท่านอาเจ้าแห่งทะเลจะถูกผู้คนรังเกียจ ถึงเวลานั้นก็จะส่งผลกระทบต่อเกียรติของราชวงศ์พวกเรา!”“ในใต้หล้านี้มีสตรีมากมาย ท่านอาเจ้าแห่งทะเลก็มิได้ขาดสตรีที่มาเสนอตัวให้ เหตุใดต้องทำเรื่องทำลายวาสนาคู่ครองของผู้อื่นเช่นนี้ด้วย!”ครั้นฮองเฮานึกถึงความเหลวไหลของเจ้าแห่งทะเลก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก กล่าวเสียงเข้ม “เอาเถอะ ย่ารู้แล้ว จะออกพระราชโองการให้พวกเจ้าไปรับคนที่จวนเจ้าแห่งทะเล...”หลงเพ่ยเพ่ยและเย่หรงถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่ทั้งสองยังมิทันลุกขึ้นยืน ก็มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากที่ไกล ๆได้ยินเสียงคนกำลังตะโกนแว่วมา “ช่วยด้วย เร็วเข้า ใครก็ได้ คุณชายน้อยตกลงไปใต้หน้าผาแล้ว...”ฮองเฮาพลันลุกขึ้นยืน ร้องเรียกอย่างร้อนรน “เร็ว ไปดูซิ ใครตกลงไป?”วันนี้
หลงอวิ๋นได้สติกลับคืนมา ตามปกติแล้วคนทั่วไปหากมิได้ยินคำพูดของท่านหญิงชิงเฉิงก็จะถามว่า “เมื่อครู่เจ้าว่ากระไรนะ?”แต่หลงอวิ๋นกลับมิทำตามปกติ ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “เสด็จย่า เด็ก ๆ เดินไปไกลแล้ว หม่อมฉันไปตามพวกเขากลับมาดีกว่า ควรลงจากเขาได้แล้วเพคะ!”พูดจบ หลงอวิ๋นก็เดินออกจากศาลาพักร้อนไป ร้องเรียกสาวใช้ของตนว่า “พวกคุณชายใหญ่ไปทางไหนกันหรือ?”เนี่ยนจูนางรับใช้ของหลงอวิ๋นกล่าวพลางยิ้มประจบ “แม่นมจี้และเนี่ยนชิงพาพวกเขาไปทางนั้นเจ้าค่ะ มิน่าจะเดินไปไกล!”“ไป ไปดูกัน!”หลงอวิ๋นเดินตามทิศทางที่เนี่ยนจูชี้ไปโดยมิหันกลับมามองท่านหญิงชิงเฉิงมองแผ่นหลังของนางที่เดินจากไปเช่นนั้นก็โกรธจนแทบจะด่าทอเสียงดังลั่นออกมา“พี่หญิงชิงเฉิง พี่หญิงอวิ๋นไปตามหาเด็ก ๆ แล้ว ท่านมิไปตามหาแก้วตาดวงใจทั้งสองของท่านบ้างหรือ?”หลงเพ่ยเพ่ยเห็นดังนั้นก็จงใจกล่าว “ผานกกระเรียนแห่งนี้แม้จะไม่มีสัตว์ร้าย แต่เด็ก ๆ ยังเล็กนัก เล่นอยู่ริมผา หากพลาดตกลงไป เช่นนั้นก็…”“เจ้าแช่งลูกข้ารึ?”ท่านหญิงชิงเฉิงมองหลงเพ่ยเพ่ยอย่างโกรธเคือง ด่าว่า “หลงเพ่ยเพ่ย เจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ คบหากับเย่ห
“เรื่องคู่ครองของข้ารึ?”หลงเพ่ยเพ่ยชะงักไปครู่หนึ่ง นางยังมิได้พูดคุยเรื่องแต่งงานเลย เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องคู่ครองของตนได้เล่า“นี่เป็นเพียงข้ออ้าง หลอกพวกนางไปก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องสำคัญกับเสด็จย่าของท่าน!”เย่หรงยิ้มกล่าว “อย่างไรเสีย เรื่องนี้ค่อยอธิบายให้เสด็จย่าของท่านเข้าใจทีหลังก็ได้!”ขณะพูดคุยกัน ทั้งสองก็มาถึงศาลาพักร้อนแล้วท่านหญิงชิงเฉิงที่อยู่ในศาลาเห็นหลงเพ่ยเพ่ยกับเย่หรงตามมาถึงที่นี่ ก็พลันนึกถึงคำกำชับของชายาเจ้าแห่งทะเลนางรีบชิงพูดก่อน “ท่านหญิงฉางเล่อก็มาด้วยรึ อ้าว นี่พาคุณชายมาด้วย!”“คุณชายผู้นี้หน้ามิคุ้นเลย เมื่อก่อนมิเคยเห็น เป็นคุณชายจากตระกูลใดกัน?”เย่หรงเห็นใบหน้างดงามของท่านหญิงชิงเฉิงแสดงท่าทีดูแคลนก็รู้ว่าอันที่จริงนางรู้ว่าตนเป็นใครเพียงแต่เหมือนกับพวกคนหัวสูงในเมืองหลวงแดนเทพ นางก็ดูถูกตนที่เป็นบุตรชายที่มิได้เรื่องของตระกูลเย่เช่นกันเสด็จย่าของหลงเพ่ยเพ่ยยังคงดูสดใสร่าเริง อายุหกสิบกว่าปีแล้วแต่ใบหน้ายังคงเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แทบจะไม่มีริ้วรอยเลยฮองเฮาได้ยินคำพูดของท่านหญิงชิงเฉิงก็มองมาอย่างสงสัย พินิจพิจารณาเย่หรง แล้วกล่าวพล
สิ่งที่เย่หรงคิด หลงเพ่ยเพ่ยก็คิดถึงเช่นกัน นางกล่าวกับเย่หรงอย่างขัดแย้งในใจ“เจ้าคิดจะบอกเรื่องที่เฉาฮุยยังมีชีวิตอยู่ให้พี่หญิงอวิ๋นฟังรึ?”“แต่เช่นนี้ก็มิยุติธรรมกับพี่เขยหยวน เขาและพี่หญิงอวิ๋นก็มีลูกชายด้วยกันอีกคนแล้ว หากบอกพี่หญิงอวิ๋นว่าเฉาฮุยยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นการทำลายครอบครัวของพวกเขาเสียเปล่า!”“ข้ามิชอบที่ชายาเจ้าแห่งทะเลทำกับเฉาฮุยเช่นนี้ แต่พี่เขยหยวนและหลานชายตัวน้อยของข้าเป็นผู้บริสุทธิ์!”“อีกอย่าง พี่เขยหยวนก็ดีต่อพี่หญิงอวิ๋นมาก ก่อนหน้านี้ข้ายังอิจฉาพี่หญิงอวิ๋นที่ได้ลงเอยกับคนที่ดี!”เย่หรงยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นยุติธรรมกับเฉาฮุยแล้วหรือ? เขายังมีบิดามารดาที่ต้องกตัญญูเลี้ยงดู ท่านหญิงอวิ๋นมิช่วยเขาออกมา แล้วจะมีใครช่วยเขาได้อีก?”“ชั่วชีวิตของเขาจะต้องอยู่ในคุกน้ำไปตลอดหรือ? นี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาทิ้งเสียอีก!”หลงเพ่ยเพ่ยพูดมิออกเดิมทีเฉาฮุยมีอนาคตที่สดใส เพียงเพราะรักใคร่กับท่านหญิงอวิ๋น ถึงต้องตกอยู่ในชะตากรรมอันน่าเศร้าเช่นนี้มิอาจกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดาได้ บุตรชายก็มากลายเป็นของผู้อื่น การที่เขาสามารถทนอยู่ต่อไปในคุกน้ำได้ คาดว่าคงเพราะยังมี