สิ่งที่หลิงอวี๋พูดคือความจริงก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับท่านอาสุ่ย หลิงอวี๋ก็ถูกบีบให้จนตรอกจนระเบิดพลังบางส่วนของหยกหล้าสุขาวดีออกมาและในการต่อสู้กับอูอวี๋หลานครั้งนี้ ก็เป็นตอนที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นกันจึงได้ดึงพลังของหยกหล้าสุขาวดีออกมาได้นางรู้สึกได้ว่า ตอนนั้นในร่างกายของตนยังมีพลังที่ใหญ่กว่าอยู่อีก แต่ตนกลับมิรู้ว่าจะควบคุมมันอย่างไร“คุณหนู บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านลืมวิธีใช้หยกหล้าสุขาวดีไปแล้ว หากท่านนึกขึ้นได้ ก็อาจจะควบคุมหยกหล้าสุขาวดีได้นะเจ้าคะ!”เถาจื่อเอ่ยขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “คุณหนู เหตุใดท่านจึงมิปลดเข็มเงินออกจากสมองของท่านหรือเจ้าคะ?”“พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันกับท่าน ท่านก็น่าจะเชื่อว่าพวกเราไม่มีทางทำร้ายท่าน หากปลดเข็มเงินออกมาแล้วท่านก็จะนึกได้ว่าหยกหล้าสุขาวดีใช้อย่างไร!”หลิงอวี๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกไป “สิ่งที่เจ้าพูดมามันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี รอข้าไปถามปรมาจารย์เย่ก่อนค่อยว่ากัน!”“เถาจื่อ ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถิด!”เมื่อเถาจื่อเห็นว่ามิได้อะไรจากหลิงอวี๋ นางจึงกลับไปพักผ่อนอย่างหมดอารมณ์หลิงอวี๋มองแผ่นหลังของเถาจื่อเดินจากไป ตอนนี้ข้า
หลังจากที่ทั้งสองคนหารือเรื่องแผนการเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเซียวหลินเทียนมิง่วงเลยแม้แต่น้อย เนื่องด้วยคนน้อยลงไปถึงสองในสามส่วน คฤหาสน์อู่ที่เมื่อก่อนเคยคึกคักแต่ในคืนนี้กลับเงียบเหงา เมื่อเซียวหลินเทียนนึกถึงการตายของจ้าวซวนและคนอื่น ๆ หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีดหลังจากนี้ เขาก็จะมิได้ยินเสียงของคนเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว และจะมิได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพวกเขาอีกแล้วหลายปีมานี้พี่น้องเหล่านี้ติดตามตนมาร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน แต่ในทุก ๆ ภัยพิบัติพวกเขาก็ล้วนติดตามตนมาอย่างแคล้วคลาดปลอดภัยแต่คาดมิถึงว่าพวกเขาจะมาเสียชีวิตที่แดนเทพ พวกเขาต้องมิพอใจอย่างแน่นอน!เซียวหลินเทียนเองก็มิยอมรับเช่นกัน เขามองความมืดยามค่ำคืนที่ด้านนอกนั้นอย่างว่างเปล่า เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนเดียวดายเช่นนี้หลิงอวี๋ลืมอดีตไปแล้ว ยามนี้สำหรับตนแล้ว นางที่เคยรู้ใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างที่เคยเป็นได้หายไปแล้วไม่มีความรักต่อเขา เมื่อให้เขาเผชิญหน้ากับนางก็มักจะรู้สึกว่ามีหมอกหนาทับซ้อนกันอยู่ระหว่างทั้งสองเขาจะยังสามารถตามอาอวี๋ที่รักตนและตนรักนางอย่างลึกซึ้งกลับมาได้หรือไ
คำพูดของหลิงอวี๋ทำให้เซียวหลินเทียนและอีกสองคนเงียบไปเซียวหลินเทียนยังมิเท่าไร แต่เย่หรงและหลงเพ่ยเพ่ยเป็นคนที่เกิดและโตที่นี่ พวกเขายำเกรงในความแข็งแกร่งของเจ้าแห่งทะเลมากผู้แข็งแกร่งเช่นนี้คือคนที่พวกเขามิสามารถเหนือกว่าได้ แม้ว่าจะสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็มิสามารถสั่นคลอนรากฐานอำนาจของเขาได้มิฉะนั้นเหตุใดเจ้าแห่งทิศใต้และบรรดาองค์ชายของมหาเทพหลง จึงถูกเจ้าแห่งทะเลกดไว้มานานหลายปีถึงเพียงนี้และมิสามารถพลิกสถานการณ์ได้เล่า“คิดดูก่อนเถิด เป็นคนก็ย่อมต้องมีจุดอ่อน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งก็เช่นกัน!”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าหลงเพ่ยเพ่ยและเย่หรงต่างเงียบมิพูดอะไร นางจึงเอ่ยปลอบใจพวกเขา“ขอเพียงพวกเราพบจุดอ่อนของเจ้าแห่งทะเล พวกเราก็สามารถโจมตีเขาได้!”เซียวหลินเทียนเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ต่อให้เจ้าแห่งทะเลจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็แข็งแกร่งอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น พวกเรามิสามารถต่อสู้กับเขาซึ่งหน้าได้ ก็ต้องตัดปีกของเขาออก!”“ข้ามิเชื่อว่า หากเขาหัวเดียวกระเทียมลีบแล้ว เขาจะพึ่งแค่ตนเองเพียงผู้เดียวในการจัดการแดนเทพได้!”เมื่อใกล้จะถึงเมืองหลวงแดนเทพ จึงหยุดหารือเ
ในระหว่างทางกลับ ทุกคนต่างก็รู้สึกหนักอึ้งกันหมดหลิงอวี๋ก็รู้สึกหดหู่เช่นกัน แม้ว่านางจะลืมเรื่องที่ได้อยู่ร่วมกันกับพวกหานอวี้ในอดีตเหล่านั้นไปแล้ว แต่เมื่อเห็นหานเหมยร้องไห้จนตาทั้งสองข้างบวมแดงเช่นนั้น ในใจของหลิงอวี๋ก็รู้สึกหนักอึ้งเช่นกันกระทั่งรถม้ามาถึงทางสามแยกและแยกทางกับพวกเผยอวี้แล้ว หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนก็ไปขึ้นรถม้าของหลงเพ่ยเพ่ยและเย่หรง“เมื่อคืนทุกคนถูกซุ่มโจมตี เห็นได้ชัดว่ามีคนทรยศพวกเรา!”เซียวหลินเทียนเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ตลอดทางมานี้ข้าได้วิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว กำลังพลในการซุ่มโจมตีของมหาปราชญ์และเจ้าแห่งทะเลนั้นล้วนมุ่งเป้าเตรียมพร้อมตามลักษณะเฉพาะของพวกเราแต่ละคน!”“ทางด้านอาอวี๋คือเจ้าแห่งทะเลและอูอวี๋หลาน เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าไปหาอาอวี๋!”“หากมิใช่คนของพวกเราเองที่ทรยศพวกเรา แล้วพวกเขาจะรู้ละเอียดถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หลงเพ่ยเพ่ย เจ้ากลับไปก็จงสืบหาคนในจวนเจ้าแห่งทิศใต้ให้ละเอียด! ทางคนของข้าข้าก็จะสืบหาอย่างละเอียดเช่นกัน!”หลงเพ่ยเพ่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อนึกถึงการตายที่น่าเศร้าของมู่ตง นางก็สาบานว่าจะตามหาหนอนบ่อนไส้ให้พบ“หาให
แม่นางเฟิ่งจะบอกความจริงกับหลิงอวี๋ได้อย่างไรกัน นางจึงแสร้งทำเป็นครุ่นคิดแล้วส่ายหัว “ข้ามิรู้หรอก!”“ห้องปรุงโอสถนี้สร้างขึ้นหลังจากที่อูอวี๋หลานนำคนของนางออกไปจากหมู่บ้านตระกูลอู พวกเราก็มิรู้เช่นกันว่านางได้หินก้อนนี้มาเมื่อใด!”“จริงสิ หลิงอวี๋ อาจารย์ของข้ามิเคยวางยาพิษอูอวี๋หลาน เจ้าบอกว่าร่างกายของนางเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว จะเป็นเพราะนางได้รับผลกระทบจากหินก้อนนี้ด้วยหรือไม่?”“ในทุกวันนางจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องปรุงโอสถนี้ สตรีที่คลอดลูกพิการเหล่านั้นมิได้สัมผัสกับก้อนหินบ่อยเท่านางก็ล้วนได้รับผลกระทบกันหมด นางก็น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกันกระมัง!”หลิงอวี๋ครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า “มีความเป็นไปได้!”หากหินก้อนนี้ของอูอวี๋หลานมีรังสีที่รุนแรง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของอูอวี๋หลานได้จริง ๆตอนนั้นหลิงอวี๋รู้สึกได้ถึงสนามแม่เหล็กแข็งแกร่งของหินในห้องปรุงโอสถ เช่นนั้นอูอวี๋หลานที่อยู่ในห้องปรุงโอสถวันแล้ววันเล่า จะถูกสนามแม่เหล็กแข็งแกร่งเหล่านี้ทำลายร่างกายก็เป็นเรื่องปกติมากเช่นกันหลิงอวี๋กลั้นหายใจพลางตั้งสมาธิ พยายามรับรู้ถึงสนามแม่เหล็กของหินก้อนนั้น แต่ก็มิอาจสัมผัสก
หลิงอวี๋รอจนแม่นางเฟิ่งว่างแล้วจึงไปพูดกับแม่นางเฟิ่งในเรื่องนี้“แม่นางเฟิ่ง ข้าขอยืมที่ดินตรงห้องปรุงโอสถนั้น ให้พวกเราเผาศพพวกเขาได้หรือไม่?”ตระกูลอูนับถือเรื่องการฝากศพไว้กับต้นไม้ หลิงอวี๋ก็กังวลว่าจะไปละเมิดข้อห้ามของพวกเขาเข้าแม่นางเฟิ่งมองศพจำนวนมากนั้น นางครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ได้สิ!”“หลิงอวี๋ เจ้าเชี่ยวชาญทักษะการแพทย์ เจ้าสามารถช่วยพวกเราตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้เกิดความพิการของเด็กเหล่านี้ได้หรือไม่?”อูอวี๋หลานบรรลุเป้าหมายในการอาศัยร่างผู้อื่นคืนชีพแล้ว นางครอบครองร่างกายที่อ่อนเยาว์ของแม่นางเฟิ่งได้เช่นนี้ วันเวลาในภายภาคหน้าก็ยังอีกยาวไกล!ส่วนคนในตระกูลเหล่านี้ก็เป็นรากฐานของตน นางยังต้องพึ่งพาพวกเขาให้ทำอะไรอีกมากมายนักการหาสาเหตุความพิการของเด็กให้กระจ่างชัด ก็นับว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่พวกเขา และต่อไปจึงจะทำให้ตระกูลอูพัฒนาต่อไปอย่างแข็งแกร่งได้“วันพรุ่งไปดูที่ห้องปรุงโอสถแล้วค่อยว่ากันเถิด!”หลิงอวี๋เองก็อยากรู้ความลับของหินก้อนนั้นของอูอวี๋หลานให้กระจ่างชัดเช่นกัน นางจึงตอบตกลงกระทั่งเจ้าแห่งทิศใต้พากองทัพใหญ่มาถึง ก็เกือบจะรุ่งสางแล้วเมื่อเจ้าแห่งทิ