📍 @กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
“งื้อ~ ดวงใจ…”
ร่างบางพลิกตัวมุดออกจากผ้าห่มหนา งัวเงียควานหาโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุด เสียงเพื่อนสาวคนสนิทลอดมาตามสายทันทีที่เธอกดรับ
“ถึงบ้านยังเนี่ย!”
น้ำเสียงกึ่งบ่นกึ่งห่วงแบบฉบับ ‘เพื่อนรักนักตามจิก’
“ถึงแล้วจ้า… แต่ข้าวไม่ได้กลับปักกิ่งนะ ข้าวแวะมาต่อเกาหลีเลย”
เธอลุกขึ้นนั่งพลางดูนาฬิกา ตีห้าเป๊ะ
“นี่ยังนอนไม่พอเลย…”
“หาาา! แล้วปล่อยให้ข้าวสาร เอ้ย ข้าวหอม อยู่คนเดียวได้ไงยะ หยงหนิงไม่ตามมาด้วยเหรอ จะไม่มีคนดูแลเลยใช่มั้ย?!”
“โอ๊ย~ ไม่เป็นไรเลยจ่ะคุณแม่ขา ข้าวมาทำงานกับคิมมินยง เพื่อนที่เรียนด้วยกันไง ดวงใจก็เคยเจอแล้วใช่ป่ะ อีกอย่าง ข้าวก็พักอยู่บ้านเขาเลย มีแม่บ้าน มีพ่อบ้าน บอดี้การ์ดเต็มบ้านไปหมด!”
เสียงสาธยายยาวเหยียดจบลงด้วยเสียงหอบ เหมือนกำลังพรีเซนต์บริษัทระดับโลก
แน่นอน...โกหกทั้งเพ บ้านของมินยงก็มีแค่เตียงเดียวกับกาต้มน้ำ แม่บ้านไม่มี พ่อบ้านไม่มี บอดี้การ์ดไม่ต้องพูดถึง แต่ข้าวหอมพูดแบบนั้น...เพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง
“เออ ๆ ก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน อย่าโหมงานมาก เดี๋ยวหน้าโทรม หน้าเธอไปแต่ชุดเธอพังนะจ๊ะ…”
สิ้นเสียงห่วงปนกัดของดวงใจ สายโทรศัพท์ก็ตัดไปตามสไตล์เพื่อนสาวผู้รักความกระชับข้าวหอมยืดเส้นยืดสายก่อนเดินไปเปิดประตูระเบียง
“อากาศดีเว่อร์... ออกไปวิ่งดีกว่า”
เธอเลือกชุดออกกำลังกายแบรนด์ “Rice Sport” ที่เธอภูมิใจสุดหัวใจ แบรนด์แรกในชีวิตที่เธอออกแบบเองตอนเรียนอยู่ปารีส ถึงเอเชียจะยังไม่รู้จัก แต่ในยุโรป...ขายดีจนต้องจองล่วงหน้าทุกคอลเลกชัน
เช้าวันนี้ที่โซล อากาศดีจนนึกว่าหลุดเข้าไปในโฆษณาน้ำแร่ แดดอ่อน ลมเบา ใบไม้เขียวไหวพลิ้วแสงระยิบ
หลังจากวิ่งครบตามเป้า ข้าวหอมก็เดินทอดน่องชมสวนแบบสโลว์ไลฟ์
วันนี้คือวันแรกในรอบหกเดือน...ที่เธอไม่ได้ทำงาน วันแรก...หลังคว้ารางวัลดีไซเนอร์หน้าใหม่ระดับโลก
และ—อาจจะเป็นวันแรก...ที่เธอได้เจอเขาอีกครั้ง“เมี๊ยว… เมี๊ยว!”
เสียงแมวร้องดังขึ้นกลางสวนเช้า ขัดจังหวะความสุขสงบของการเดินเล่นทันที ข้าวหอมชะงัก หันซ้ายหันขวาด้วยแววตาขี้เล่น
“อยู่ไหนเอ่ย~ เหมียววว~”
เสียงเลียนแบบแมวของเธอน่ารักเกินต้าน จนต้นไม้ยังอยากขยับเข้ามาฟัง และในที่สุด เธอก็เห็นมัน—แมวพันธุ์บองกอนขนฟู ลายเสือ กำลังห้อยหัวอยู่จากกิ่งไม้สูง ขาหลังของมันติดอยู่กับกิ่งอย่างน่าสงสาร แถมยังมีเลือดไหลอาบขา
“โอ๊ย! แย่แล้ว! รอแป๊บนึงนะน้อง! พี่ปีนไปช่วยเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ เธอก็ปีนขึ้นต้นไม้ทันทีแบบไม่คิดชีวิต
กิ่งไม้ส่งเสียงแอ่นเอี๊ยดอย่างน่าหวาดเสียว เธอพยายามเอื้อมมือไปถึงเจ้าแมว...
แกร๊ก... โครม!
“กรี๊ดดดดด!!”
ตุ๊บ!
“โอ๊ย…”
“เหมียววววววววววววว!!”
ทั้งคนทั้งแมวร้องประสานเสียงดังลั่นสวน
ภาพหญิงสาวในชุดวอร์มตัวโคร่ง นอนแผ่กับแมวในอ้อมแขน—ไม่ใช่ฉากโรแมนติกแบบพระเอกนางเอก แต่เหมือนฉากฮีโร่...ที่จบไม่สวย
“คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ!”
ชายหนุ่มร่างสูงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พูดรัวเป็นภาษาเกาหลี ฟังแทบไม่ทัน ก่อนจะช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าทั้งตกใจและเป็นห่วง
ข้าวหอมงงสุดขีด พูดกลับไปแบบอัตโนมัติ
“Thank you…”
เขาชะงักเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษชัดเป๊ะ
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ...ที่ช่วยโบโบ้ไว้”
เขาอุ้มแมวไว้แนบอก กิ่งไม้ยังเสียบขาหลังมันอยู่ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยและซาบซึ้งอย่างเห็นได้ชัด
“อ๋อ... รีบพาโบโบ้ไปหาหมอก่อนเถอะค่ะ”
เธอยิ้มให้เขาเต็มตา
“แต่คุณก็เลือดออกเหมือนกัน ไปด้วยกันไหมครับ?”
เธอชะงักนิดหนึ่ง...แล้วทำหน้างอนใส่เขานิด ๆ
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันไปเองได้ ใกล้แค่นี้เองค่ะ” ก่อนจะหันไปมองแมวในอ้อมแขนเขา แล้วยิ้มมุมปาก
“ถ้าฉันไปกับโบโบ้...คนอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นสายพันธุ์เดียวกันก็ได้~” พูดพลางหัวเราะเบา ๆ
“ถึงฉันจะน่ารัก...แต่ฉันไม่ใช่บองกอนนะคะ”
เขาขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างคนไม่เข้าใจมุก
“อ๋อ…ครับ”
“ฉันไปเองดีกว่าจริง ๆ ค่ะ บ้านอยู่ใกล้ แล้วก็...มีงานที่ต้องทำด้วย”
เธอกล่าวพร้อมจะเดินจาก
“งั้น...ผมจะตอบแทนคุณยังไงดีครับ?” เขาถามขึ้นอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ข้าวหอมส่ายหน้า ยิ้มบาง
“ไม่ต้องเลยค่ะ แค่โบโบ้ปลอดภัยก็ดีใจแล้ว”
เธอโค้งขอบคุณอีกครั้ง แล้วหันหลังวิ่งจากไปทันที
ชายหนุ่มยังคงยืนมองตามแผ่นหลังของเธอ จนเธอหายลับไปจากสายตา เขาก้มมองเจ้าโบโบ้ในอ้อมแขน แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เหมือนพยายามจะจดจำบางสิ่งที่ไม่อยากลืม
“นายครับ!”
ลูกน้องคนสนิทวิ่งเข้ามา พร้อมรับเจ้าแมวไปอย่างรู้งาน ชายหนุ่มส่งโบโบ้ให้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่เด็ดขาด
“ไปสืบมาให้กู... ผู้หญิงคนนั้นคือใคร กูให้เวลา 30 นาที”
“ครับ!”
แล้วรถหรูคันเทาสไตล์ออฟโรด...ก็แล่นออกจากสวนไป พร้อมกับความอยากรู้ และความรู้สึกบางอย่างที่เขายังเรียกชื่อมันไม่ได้
รถของเธอหมุนดริฟต์เข้าโค้งสุดท้าย ปิดโชว์ด้วยการหมุนตัวหนึ่งรอบ ก่อนเบรกลงช้า ๆจังหวะพอดีที่เขาวิ่งมาถึง—ทันเห็นเธอก้าวลงจากรถ ทันเห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาหลายเดือน แต่ก็ทัน... เห็นใครอีกคนที่เดินเข้าหาเธอก่อน“เกอ...” เขาพึมพำบางอย่างออกมาชายหนุ่มร่างสูงในชุดลำลอง เดินตรงเข้ามายืนบังเธอไว้ จากนั้นก็โอบบ่าของเธอไว้แน่น แน่น... ราวกับต้องการประกาศอะไรบางอย่างต่อหน้าทั้งสนามเขาหัวเราะเบา ๆ—แต่แววตาที่มองตรงมาหาไดออน... ไม่ขำแม้แต่นิดเดียว“เพิ่งรู้ว่า คนที่เคยทิ้งเธอไว้ได้... กล้ากลับมามองเธออีกครั้ง”น้ำเสียงของชายคนนั้น คนที่เขาคุ้นเคย ไม่ได้ดัง ไม่ได้ขู่ ไม่ได้ขึ้นเสียง แต่ทุกคำของเขา หนักพอจะฝังหมัดลงกลางอกไดออน... โดยไม่ต้องแตะตัวไดออนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สองมือกำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว เขาไม่โต้กลับด้วยความบ้าระห่ำ...แต่เขาเลือก “เงียบ” และ มองแค่เธอคนเดียวข้าวหอม...ไม่หลบตา แต่ก็ไม่ได้สบตากลับ เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ เขา เหมือนกำลัง... “รอคำตอบ” หรือไม่ก็ “ทดสอบ” อะไรบางอย่าง“ผมไม่ได้กลับมา เพื่อขอร้องให้เธอย้อนกลับมา” ไดออนพูดเสียงเรียบ แต่ชัดทุกคำ“ผมกลับมา... เพื่อยืนอยู
ปัจจุบันไดออนนั่งพิงเบาะในเครื่องบินส่วนตัว ดวงตาคมทอดมองออกไปยังท้องฟ้ากว้างที่ถูกแต่งแต้มด้วยกลุ่มเมฆสีขาวเรียงตัวเป็นระเบียบ สวยงามในสายตาใครหลายคน... ยกเว้นเขาริมฝีปากหนายกยิ้มจาง ๆ เมื่อนึกถึงวันแรกที่เธอตอบตกลงเป็นแฟนกัน—วันที่หัวใจเขาเต้นแรงที่สุดในชีวิต... แต่น่าเศร้าที่ตอนนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกลับกัดกินหัวใจเขาแทน‘ฉันมันโง่... ที่เอาความเจ็บปวดในอดีต ไปตัดสินคนที่รักผมมากที่สุด’แววตาอ่อนล้าภายใต้แว่นดำสั่นระริก ความรู้สึกผิดในใจยังไม่เคยจางลงแม้เพียงวันเดียว‘หากได้เจอเธออีกครั้ง... ไม่ว่าเธอจะยังรักผมหรือเปล่า ผมก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อชดเชยทุกอย่างที่ทำพังไปกับมือ’ณ ห้องพัก โรงแรมใจกลางเมืองบุรีรัมย์ข้าวหอมทรุดตัวนั่งริมเตียง สองมือกุมโทรศัพท์แน่น จ้องหน้าจอที่หยุดนิ่งอยู่ตรงช่วงท้ายของคลิปสัมภาษณ์ศิลปินคนหนึ่ง—อดีตคนรักของเธอ“เราเลิกกันเถอะ…”เสียงคำพูดของเขาในวันนั้นยังคงดังชัดอยู่ในหัวใจ ราวกับลมหายใจของเขายังอบอวลอยู่ตรงหน้า ทั้งที่จริง… มันกลายเป็นเพียงเศษฝุ่นในอดีตดวงตาเธอเต็มไปด้วยแววเจ็บปวด... ความเจ็บปวดจากการถูกตัดสิน ทั้งที่ไม่ได้รับโอกาสแม้แต่จะอธิบาย‘
ประตูใหญ่เปิดออกในจังหวะที่ไม่ควรที่สุด...ชายหญิงคู่หนึ่งเดินโอบกันเข้ามา ก่อนจะแลกจูบกันอย่างเร่าร้อนราวกับลืมโลก ทั้งที่อีกมุมยังมีคนสองคนจ้องมองอยู่อย่างตะลึงมือหนึ่งกอดเอว มือหนึ่งลูบต้นขา ไม่มีแม้สำนึกถึงสาธารณะ จากนั้นทั้งคู่พากันหายเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว ก่อนเสียงประตูจะ...ปัง!“ไม่ต้องเบามือนะหนุ่มน้อย เต็มที่เลย เจ้ชอบบบ~!”เสียงแสบหูดังแว่วมาทันก่อนประตูจะปิด เงียบงันอีกครั้ง...บรรยากาศเงียบ...จนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายตัวเองข้าวหอมหน้าแดงปลั่ง เธอหันไปมองหน้าไดออน ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ของตัวเองกับเขา‘ถ้าเพื่อนไม่โผล่มา...เราจะเลยเถิดไปไกลแค่ไหนนะ…’เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น...ติ๊ง!เสียงข้อความจากมือถือของไดออนดังขึ้นกะทันหันเขาหยิบขึ้นมาดู“ขอให้คืนนี้เป็นคืนที่มีความสุขนะคะ ^^ ถ้าจะใช้มุมไหนในบ้านก็ตามสบายเลยค่ะ รับรองว่าคืนนี้ทั้งคืนฉันจะไม่ออกจากห้องนี้แน่นอน😏 – มินยง”ไดออนชะงัก มือที่ถือโทรศัพท์สั่นนิด ๆ ด้วยความพยายามกลั้นหัวเราะ“มินยง...” เขายื่นมือถือให้ข้าวหอมดูข้าวหอมเห็นข้อความแล้วแทบจะเอาหน้าซุกหมอน ร้องเส
“เราเป็นแฟนกันนะ”เธอพูดเสียงเบา ใบหน้าแดงระเรื่อเต็มสองแก้ม ‘ให้ตายสิ…เขาคงไม่รู้หรอกว่า ต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนถึงจะพูดออกมาได้’แต่เขากลับ... เงียบ!?เธอเริ่มเม้มปากแน่นขึ้น เหลือบมองเขาอย่างไม่มั่นใจ ในขณะที่เขาเอนตัวพิงพนักโซฟา ทำท่าทางสบายเกินหน้าเกินตา“ผมว่า... ขอเวลาคิดก่อนจะได้ไหม?” เขาตอบเสียงเรียบ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่มีสีหน้าอะไรทั้งนั้น“ห๊ะ?” เธอเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ ‘นี่เขากำลังแกล้งเรารึเปล่าเนี่ย?’“ผมอยากแน่ใจว่าผมกำลังจะรักผู้หญิงธรรมดา... ไม่ใช่ดีไซเนอร์เพิ่งได้รางวัลระดับโลกมา”เขาเริ่มวางมาดขรึม ‘จะเอาคืนบ้าง ใครบอกให้เขารอมาได้ตั้ง 6 เดือน’“โอเคค่ะ... ฉันให้เวลาคุณคิด...” เธอลุกขึ้น ยกคางนิด ๆ อย่างวางฟอร์ม “แต่ให้ได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น!”“หืมม?” เขาเลิกคิ้ว“ถ้าครบสามนาทีแล้วคุณยังไม่ตอบ ฉันจะถือว่าไม่ตกลง... แล้วฉันจะขอคืนกำไลด้วย”ว่าแล้วเธอก็แกล้งยื่นมือไปจับข้อมือเขา ทำท่าจะถอดกำไลออก“เฮ้ย! ไม่เอาน่า!” เขารีบดึงข้อมือหลบ“ห้ามเอาคืนนะ ให้แล้วก็ต้องให้เลยสิครับ”“เวลาเดินนะคะ เหลือสองนาทีห้าสิบแปดวินาทีแล้ว”เธอทำหน้าเฉยเหมือนไม่แคร์ ทั้งที่ใจเต้นต
ในห้องนั่งเล่นข้าวหอมเปิดประตูบ้าน ค่อย ๆ หันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วผลักบานประตูให้เปิดออกช้า ๆ“เข้ามาก่อนสิคะ”เธอพูดเบา ๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำเชื้อเชิญยืดยาว เขาเดินตามเข้าไปโดยไม่ลังเล ก่อนประตูปิดลงอย่างเงียบงัน ทิ้งความวุ่นวายไว้ด้านนอกแสงไฟอุ่นในห้องนั่งเล่นค่อย ๆ ไล่ความเย็นชาในใจของทั้งสอง และ...ค่ำคืนนี้ ก็เพิ่งจะเริ่มต้นเขานั่งบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง หันไปมองเธอเดินเข้าไปในครัว ก่อนจะกลับออกมาพร้อมแก้วน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาว 2 แก้ว“เห็นคุณดื่มไปเยอะในงาน เลยทำอันนี้มาให้ค่ะ”เธอยื่นให้ เขารับไว้เงียบ ๆ ก่อนดื่มช้า ๆ สายตายังไม่ละไปจากเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว“คุณเห็นด้วยใช่ไหม?”เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ พร้อมขยับตัวเข้ามาใกล้… ใกล้จนเธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง“หะ…เห็นอะไรคะ?”“ว่า…คืนนี้ผมอยากอยู่กับคุณ...แค่สองคน”เขากระซิบเบา ๆ พร้อมกลิ่นหอมอ่อนจากลมหายใจที่ทำให้เธอเคลิ้ม“ตะ...ตัวคุณหอมจัง” ‘โอ้ยยยย ยัยข้าว พูดอะไรออกไปเนี่ย!’เขาหัวเราะเบา ๆ สบตาเธอ“ชอบเหรอ หึ...”‘ชอบค่ะ ชอบมากเลย!’ แต่เธอกลับแค่ยิ้ม...แล้วหลบตาเขาไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น เหม
หลังจากที่ข้าวหอมก้าวขึ้นเบาะข้างคนขับ เธอก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นเยียบที่ปกคลุมอยู่ภายในรถ ไม่ใช่เพราะเครื่องปรับอากาศ แต่เป็นเพราะความเงียบของคนขับที่นั่งอยู่ข้าง ๆ‘เขามาได้ยังไง ทั้งที่อ่านข้อความแล้วไม่ตอบ...อยู่ ๆ ก็โผล่มา?’คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัวข้าวหอมไม่หยุด เธอหันไปมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะรีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่เสียงเพลง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของเขารถแล่นด้วยความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง — เร็วและแรงเหมือนกับความรู้สึกที่เดือดปุด ๆ อยู่ในใจของเขา เธอไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้มาก่อน...นิ่งเงียบเกินไป ราวกับเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง‘เขา...กำลังโกรธใช่ไหม?’‘หรือ...เขาแค่เมา?’ข้าวหอมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หัวใจเต้นระรัว ทั้งหวั่น ทั้งสับสน ทั้งกลัวเขาไม่แม้แต่จะมองเธอ ไม่พูด ไม่ถาม ไม่อธิบาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาคือคนที่ขี้เล่น อารมณ์ดี ความเงียบในรถหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก เธอกำลังจะเอ่ยปากถามอะไรสักอย่าง ทว่าในจังหวะนั้นเอง เสียงเบรกรถจากรถตู้คันสีดำที่ขับตามมาอย่างกระชั้นชิดทางด้านหลังดังขึ้น ทำให้เธอสะดุ้งเฮือกดวงตาคู่สวยเบิกกว้า