Share

บทที่ 8

Author: กระจ่างแจ้ง
ใบหน้าของเซี่ยอิ๋นแดงก่ำจากการถูกด่าทอ ประกอบกับรอยฝ่ามือทั้งสองข้าง ยิ่งทำให้เขาทั้งอับอายทั้งโกรธจนทนไม่ไหว

ซ่งซูหลานเห็นดวงตาของเซี่ยอิ๋นแดงก่ำ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นข้าง ๆ “พระชายาก็เป็นผู้สูงศักดิ์ เหตุใดถึงได้เอ่ยปากพูดแต่คำว่านางสารเลวเล่า?”

“อีกอย่าง พี่อาอิ๋นก็ไม่รู้ว่าน้องสาวจะเกิดเรื่อง เป็นนางที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจจนทำร้ายจิตใจท่านพี่ก่อน ท่านพี่ถึงได้ให้นางกลับไปสำนึกผิดที่วัด พระชายาจะแยกแยะผิดถูกไม่ได้แล้วลงมือตีพี่อาอิ๋นได้อย่างไร...”

เพียะ!

พระชายาเฉิงตบสวนกลับไป “เจ้าเป็นตัวอะไร ถึงมีสิทธิ์มาเรียกบุตรชายข้าว่าท่านพี่?”

“อะไรกัน เกาะสกุลซ่งยังไม่พอ ตอนนี้ยังคิดจะมาปีนป่ายประตูจวนเฉิงอ๋องของข้าอีกหรือ?!”

ในหูของซ่งซูหลานอื้ออึง ในหัวก็ดังหึ่ง ๆ

เซี่ยอิ๋นรีบประคองเด็กสาวที่โซเซ แล้วยืนขวางอยู่ข้างหน้านาง

“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง เป็นข้าที่ไม่รอบคอบพอจนทำให้ถังหนิงบาดเจ็บ แต่ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับซูหลาน นางไม่เคยทำร้ายถังหนิง ทั้งยังจิตใจดีงามไม่เคยคิดแก่งแย่ง เป็นถังหนิงที่คอยหาเรื่อง...”

“เจ้าหุบปากไปเสีย!”

พระชายาเฉิงหัวเราะเยาะ “ถ้านางไม่คิดแก่งแย่ง ก็ควรจะเจียมตัว อยู่ในสกุลซ่งอย่าได้ออกมาอวดโฉม ถ้านางดีต่อถังหนิง ก็จะไม่ลากพวกเจ้าไปทิ้งถังหนิงไว้บนภูเขาเชวี่ย จนทำให้ถังหนิงเกือบเอาชีวิตไม่รอด”

“แต่ว่า...”

เซี่ยอิ๋นยังอยากจะพูดต่อ ซ่งถังหนิงที่เงียบมาตลอดก็พลันเอ่ยขึ้น “เซี่ยซื่อจื่อ”

เซี่ยอิ๋นหันหน้าไปทันที “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

“เซี่ยซื่อจื่อ”

ซ่งถังหนิงมองใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อของเซี่ยอิ๋น ราวกับรู้สึกว่าการที่นางเรียกเขาเช่นนี้ เป็นการหาเรื่องอย่างไร้เหตุผล ท่าทางดูเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง

นางพลันรู้สึกขยะแขยงขึ้นมา

ถังหนิงก้มหน้าลงเพื่อซ่อนรอยยิ้มเยาะ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เย็นชาอย่างถึงที่สุด

“เซี่ยซื่อจื่อเอาแต่พูดว่าข้าคอยบีบคั้น ข้าไปบีบคั้นอะไรซ่งซูหลานหรือ?”

เซี่ยอิ๋นมองซ่งถังหนิงที่เมื่อก่อนเอาแต่ดึงแขนเสื้อเรียกเขาว่าท่านพี่ คอยออดอ้อนกับเขา บัดนี้กลับมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “น้องหญิง...”

“มิกล้าอาจเอื้อมนับญาติกับซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์”

เซี่ยอิ๋นถูกขัดคำพูดจนเกือบจะสำลัก ได้แต่ข่มความโกรธแล้วกล่าวว่า “ถังหนิง เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าน้อยใจ แต่มีอะไรเราค่อยกลับไปพูดกัน...”

“เหตุใดต้องกลับไปค่อยพูดด้วยเล่า?”

ถังหนิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ข้าทำทุกอย่างถูกต้องเปิดเผย ไม่มีเรื่องอะไรที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ในเมื่อเซี่ยซื่อจื่อมั่นใจในเหตุผลของตนเองถึงเพียงนี้ จะกลัวอะไรกับการเผชิญหน้าต่อหน้าผู้คนด้วยเล่า?”

“ถังหนิง!”

เซี่ยอิ๋นเห็นนางไม่ยอมอ่อนข้อก็เริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าอย่าดื้อรั้นนัก”

สายตาของซ่งถังหนิงเย็นชา

เป็นคำพูดนี้อีกแล้ว บอกให้นางอย่าดื้อรั้น

ชาติที่แล้วนางได้ยินคำนี้มามากพอแล้ว

คำพูดของซ่งถังหนิงพลันเปลี่ยนเป็นเชือดเฉือนขึ้นมา “ข้าพูดกับซื่อจื่อด้วยเหตุผล ซื่อจื่อกลับบอกว่าข้าดื้อรั้น หากถึงคราวที่ข้าดื้อรั้นขึ้นมาจริง ๆ ซื่อจื่อคงจะกล่าวว่าข้าโอหังไร้เหตุผลอีกใช่หรือไม่?”

“คนเราเกิดมาต้องซื่อตรง เมื่อใจซื่อตรงกายก็ซื่อตรง สามารถยืนหยัดต่อฟ้าดินได้ บัณฑิตย่อมไม่ละอายต่อฟ้า ยึดมั่นในคุณธรรม”

“หากเซี่ยซื่อจื่อไม่ละอายแก่ใจ โปร่งใสและเปิดเผย คิดว่าท่านไม่เคยพูดจาใส่ร้ายข้า เรื่องที่ภูเขาเชวี่ยก็ไม่ใช่ความผิดของท่าน เช่นนั้นท่านจะเอาคำว่าดื้อรั้นสองคำมาปิดปากข้าทำไม หรือซื่อจื่อรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองผิด แต่เพียงแค่อาศัยความเป็นลูกพี่ลูกน้อง อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนมาบีบให้ข้ายอมถอย?”

“ข้าไม่ได้ทำ!”

“ในเมื่อไม่ได้ทำ แล้วท่านจะกลัวอะไร?”

ทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงหัวเราะเยาะของเซียวเยี่ยน

เขามองดูเด็กสาวที่ราวกับแมวน้อยแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ เอ่ยถามเซี่ยอิ๋นจนพูดไม่ออกด้วยท่าทีสบาย ๆ ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ตอนที่เชิดคางขึ้นเล็กน้อยก็ยังมีรอยยิ้มปรากฏ

ซ่งถังหนิงราวกับได้รับกำลังใจ นางยืดหลังตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เลียนแบบท่าทางที่เย็นชาและหยิ่งยโสที่นางเห็นจากเซียวเยี่ยนเมื่อแรกพบ

“ท่านเอาแต่พูดว่าข้ารังแกซ่งซูหลาน ขอถามเซี่ยซื่อจื่อหน่อยว่า ซ่งซูหลานเข้าเมืองหลวงมาครึ่งปีกว่านี้ ข้าทำอะไรที่ทำให้ท่านรู้สึกว่าข้ารังแกนาง?”

“เจ้า...”

เซี่ยอิ๋นอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากในหัวกลับว่างเปล่า

เขาเคยไปที่สกุลซ่งหลายครั้งแล้วเห็นซ่งซูหลานร้องไห้ พอถามนางก็พูดจาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ถามว่าน้อยใจอะไรมานางก็เอาแต่ร้องไห้ และตอนที่ซ่งซูหลานอยู่กับถังหนิงก็มักจะขอบตาแดงก่ำทำท่าหวาดกลัวอยู่เสมอ ส่วนถังหนิงก็เอาแต่โมโห

เซี่ยอิ๋นจึงคิดไปเองตามสัญชาตญาณว่าถังหนิงรังแกซ่งซูหลาน

แต่หากจะให้พูดว่าถังหนิงรังแกนางอย่างไร แล้วทำอะไรลงไปบ้าง เซี่ยอิ๋นถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

ถังหนิงเห็นดังนั้นก็เยาะเย้ย “อะไรกัน เซี่ยซื่อจื่อเป็นใบ้ไปแล้วหรือ?”

เซี่ยอิ๋นอ้าปากค้าง เต็มไปด้วยความอับอาย “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าทำอะไรในสกุลซ่งบ้าง ถึงอย่างไรเจ้าก็รังแกนาง มิเช่นนั้นเหตุใดนางถึงต้องร้องไห้ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเจ้า?”

“ซูหลานมีชาติกำเนิดน่าสงสาร ที่ผ่านมาก็ใช้ชีวิตอย่างยากจน นางเพิ่งจะได้กลับมาที่สกุลซ่งด้วยความลำบาก และนางก็เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมดีต่อนาง ต้องคอยบีบคั้นนาง ทำให้นางแม้แต่ประตูบ้านรองก็เข้าไม่ได้ ต้องไปอาศัยอยู่ทางบ้านใหญ่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ?”

“ไม่ใช่นางที่อยากจะเกาะติดซ่งจิ่นซิวถึงได้อยู่ที่บ้านใหญ่หรอกหรือ” ถังหนิงหัวเราะเยาะ “อีกอย่าง เหตุใดข้าต้องดีกับนาง นางเป็นพี่สาวข้าแต่ชาติปางไหน นางเป็นแค่...”

“ถังหนิง!”

ซ่งซูหลานได้ยินคำพูดของซ่งถังหนิงก็ใจหายวาบ เมื่อเห็นว่านางกำลังจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา ก็รีบร้องไห้ขัดจังหวะ

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า และรู้ว่าข้าไม่ควรกลับมาที่สกุลซ่ง ข้าไม่ควรไปแตะต้องตะเกียงนิรันดร์ของฮูหยิน และยิ่งไม่ควรขอร้องให้ท่านพี่พาข้าไปที่วัดหลิงอวิ๋น เจ้าไม่ชอบข้า ต่อไปข้าจะหลบหน้าเจ้าเอง”

“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องที่ใกล้ชิดที่สุด ต่างก็เป็นสายเลือดของสกุลซ่ง ท่านพ่อก็จากไปแล้ว บ้านรองก็เหลือแค่เราสองคน เราควรจะดูแลซึ่งกันและกัน เจ้าอย่าพูดจาประชดประชันเลย ท่านลุงกับท่านย่ารู้เข้าจะโกรธเอาได้...”

ซ่งถังหนิงได้ยินดังนั้น ก็มองใบหน้างดงามที่เปียกปอนไปด้วยน้ำตา มองสตรีที่เคยอยู่สูงส่ง เพียงแค่หลั่งน้ำตาก็สามารถทำให้นางต้องพบกับหายนะได้

ถึงขนาดนี้แล้ว นางยังคิดจะเอาฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและซ่งหงมาข่มขู่นางอีกหรือ?

นางยังกล้าพูดถึงท่านพ่ออีกหรือ?

นางเอาหน้ามาจากไหน!

“ข้าไม่เคยพูดจาประชดประชัน ข้าเพียงแค่อยากจะให้เซี่ยซื่อจื่อเข้าใจว่า ข้าซ่งถังหนิงไม่เคยทำผิดต่อเจ้าซ่งซูหลาน!”

ซ่งถังหนิงนั่งอยู่บนรถสี่ล้อ ไม่ได้ใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสีหน้าที่รังเกียจ

“ครึ่งปีก่อนเจ้าตามท่านอาสามกลับมาจากอันโจว บอกว่าเป็นสายเลือดที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ข้างนอก เจ้าถือจดหมายรักที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้กับแม่ของเจ้าตอนที่มีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ร้องไห้บอกว่าแม่ของเจ้าตายแล้วเจ้าไม่มีที่ไป”

“เจ้าคุกเข่าอ้อนวอนอยู่ในจวน บอกว่าขอเพียงแค่ที่ซุกหัวนอน ข้าเห็นเจ้าแล้วสงสารจึงยอมตกลง ท่านลุงกับท่านย่าเพื่อรักษาชื่อเสียงของจวนกั๋วกง บังคับให้ข้าบอกกับคนภายนอกว่า เจ้าเป็นบุตรสาวที่เกิดจากบ่าวรับใช้ที่ดีข้างกายท่านแม่ข้า”

“เดิมทีข้าไม่อยากจะถือสาหาความกับเจ้า ทั้งยังสงสารที่เจ้าไม่สามารถเลือกชาติกำเนิดของตนเองได้ จึงทำตามคำพูดของพวกท่านลุง ให้เจ้าที่เป็นบุตรีอนุนอกเรือนมาสวมรอยเป็นบุตรอนุภรรยา ได้รับเกียรติเป็นคุณหนูจวนกั๋วกง แต่เจ้าไม่ควรจะรังแกข้าเช่นนี้”

ในหัวของซ่งซูหลานราวกับระเบิดออกมา

ทั้งห้องโถงด้านหน้าของสกุลเฉียนต่างฮือฮา

เซี่ยอิ๋นไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน บุตรีอนุนอกเรือนอะไร?”

“ซ่งจิ่นซิวไม่ได้บอกท่านหรือว่า มารดาผู้ให้กำเนิดของซ่งซูหลานไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่ดีข้างกายท่านแม่ข้า และไม่เคยได้ก้าวเข้าประตูสกุลซ่งเลย”

เซี่ยอิ๋นหันไปมองซ่งซูหลานทันที

“ข้าไม่ใช่ ข้าเป็นบุตรอนุภรรยาของสกุลซ่ง...”

“เช่นนั้นเจ้ากล้าไปที่ทางการเพื่อตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ของมารดาเจ้าหรือไม่ แล้วกล้าเอาหนังสือรับรองการเป็นอนุภรรยาของนางออกมาหรือไม่?”

ซ่งซูหลานถูกถังหนิงถามจนหน้าซีดเผือด

หลังจากที่นางกลับมายังสกุลซ่ง ทุกอย่างก็ราบรื่นเป็นพิเศษ

พวกซ่งหงให้นางสวมรอยเป็นบุตรอนุภรรยาของบ้านรอง ซ่งถังหนิงก็เป็นคนหูเบา พวกเขาไม่กี่คนตอแยอยู่พักหนึ่ง ถึงนางจะไม่พอใจแต่ก็ยอมรับไว้ในที่สุด

บ้านรองนอกจากซ่งถังหนิงแล้วก็ไม่มีใครที่สามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ ขอเพียงถังหนิงเชื่อในฐานะของนาง พวกซ่งหงย่อมไม่เสียเวลาไปจัดการเรื่องทะเบียนราษฎร์และชาติกำเนิดของมารดานาง ยิ่งไม่มีทางไปทำหนังสือรับรองการเป็นอนุภรรยาให้สมบูรณ์

มาตอนนี้ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานที่มัดตัวแน่นหนา

ท่าทางที่รู้สึกผิดอย่างยิ่งของซ่งซูหลานตกอยู่ในสายตาของคนอื่น ๆ ยังจะมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกเล่า

สกุลซ่งนั่นเอาบุตรีอนุนอกเรือนมาสวมรอยเป็นบุตรอนุภรรยาจริง ๆ !

เซี่ยอิ๋นกัดฟันแน่นแล้วเอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าหลอกข้าหรือ?”

“ข้าเปล่า...”

ซ่งซูหลานอยากจะไปจับแขนเสื้อของเซี่ยอิ๋น แต่กลับถูกเขาสะบัดออกอย่างแรง

“เจ้าเป็นบุตรีอนุนอกเรือนหรือ?!”

เขามองดูคนที่น้ำตาคลอหน่วยอยู่ตรงหน้า ไม่มีความสงสารเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป

เซี่ยอิ๋นชอบซ่งซูหลานที่อ่อนแอจิตใจดีงาม สงสารที่นางเคยใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้น แต่นั่นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่านางมาจากครอบครัวที่ดี และเป็นคนใสซื่ออ่อนโยน แต่ซ่งซูหลานกลับหลอกลวงเขาในเรื่องใหญ่โตเช่นนี้

บุตรีอนุนอกเรือนที่ชาติกำเนิดไม่แน่ชัดและน่าอับอายคนหนึ่ง เขาที่เป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนเฉิงอ๋องกลับยกย่องนางราวกับของล้ำค่า

แม้จะไม่ต้องเงยหน้า เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาเยาะเย้ยจากรอบข้าง

ยิ่งสามารถจินตนาการได้ว่าหากเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป เขาจะถูกคนหัวเราะเยาะเช่นไร

เซี่ยอิ๋นรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “นางสารเลว!”

สีเลือดบนใบหน้าของซ่งซูหลานหายไปจนหมดสิ้น “พี่อาอิ๋น”

“อย่ามาเรียกข้า!”

เซี่ยอิ๋นสะบัดมือที่ซ่งซูหลานพยายามจะมาจับเขาด้วยความรังเกียจอย่างยิ่ง “ถังหนิง ข้าไม่รู้...”

เขาอยากจะอธิบาย อยากจะบอกว่าเขาไม่รู้ฐานะของซ่งซูหลาน

แต่ซ่งถังหนิงกลับเพียงแค่มองเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ไม่มีความคิดที่จะหาทางออกให้เขาเลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นท่านพี่ก็โง่เขลาจริง ๆ ”

“เจ้า!”

“ถูกสตรีหลอกลวงก็คือโง่ ถูกซ่งจิ่นซิวหลอกลวงก็นับว่าโง่ ไม่รู้ความจริงแล้วไปออกหน้าแทนคนอื่นก็ยิ่งโง่ซ้ำโง่ซ้อน”

เซี่ยอิ๋นถูกด่าจนใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว

เมื่อเห็นว่าคนรอบข้างกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น เขาก็ทั้งโกรธทั้งอับอายจนหันหลังเดินหนีไป

เซียวเยี่ยนยื่นมือไปเท้าศีรษะ ขนตายาวงอนตกลงมาเล็กน้อยแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม

เสี่ยวไห่ถังคนนี้ ดุไม่เบาเลยนะ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 80

    สีเลือดบนใบหน้าของผู้ตรวจการเหอพลันจางหายไปในพริบตาเซียวเยี่ยนหัวเราะเยาะออกมา “ข้าทราบดีในอดีตเพื่อกวาดล้างราชสำนักแทนฝ่าบาท ข้าได้ทำให้ผลประโยชน์ของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องสั่นคลอน และรู้ด้วยว่ามีคนบางส่วนไม่พอใจที่ข้าได้ถืออำนาจควบคุมองครักษ์เกราะดำกำราบผู้ที่มีใจคิดกบฏให้สิ้นแทนฝ่าบาท ทว่าข้ากลับไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า คนของฝ่ายตรวจการที่ได้ชื่อว่าซื่อตรงไม่ยอมโอนอ่อนก็เป็นพวกเหลวไหลจับแต่ลมคว้าแต่เงาเหมือนกัน”“ใต้เท้าเหอไม่มีหลักฐานแม้เพียงสักนิดก็คิดจะกล่าวหาว่าร้ายข้าแล้ว มิหนำซ้ำยังหยิบยกเหตุผลน่าขบขันที่สุดมาโจมตีข้าอีก ท่านไม่พอใจที่เมื่อก่อนข้าลงมือแทนฝ่าบาท หรือไม่พอใจที่ฝ่าบาทให้ข้ารับผิดชอบตำแหน่งหัวหน้าของคณะองคมนตรี ดังนั้นถึงได้ยอมละทิ้งชื่อเสียงอันบริสุทธิ์หมดจดของผู้ตรวจการเพื่อจะได้ทำลายข้า?”สีหน้าของฮ่องเต้อันพลันเย็นเยียบลงทันใดผู้ตรวจการเหอมีเหงื่อเย็นผุดพรายเป็นสาย เข่าสองข้างอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นทันที “ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนเที่ยงธรรม กระหม่อมหาได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย กระหม่อมเพียงแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ตรวจการอย่างเคร่งครัดก็เท่านั้นพ่ะย่ะค

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 79

    ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงก่ำ “เจ้าเล่นลิ้นเล่นสำนวน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคนนั้นก็แค่ไปเยี่ยมคุณหนูของนาง…”“วิธีการเยี่ยมของท่านคือการโจมตีใบหน้าอีกฝ่ายให้เสียโฉม ตีอีกฝ่ายจนสลบ หรือว่าทุบตีอีกฝ่ายจนกระอักเลือดล้มป่วยไม่ฟื้น?”ประโยคเดียวของเซียวเยี่ยนตอกหน้าจนคนผู้นั้นสะอึกไป“อย่าว่าแต่เรือนหลังนั้นข้ายังมิได้โอนมอบให้แม่นางน้อยซ่งเลยด้วยซ้ำ การที่คนสกุลซ่งบุกเข้ามาย่อมมีความผิด หรือต่อให้ข้าจะมอบเรือนให้แม่นางน้อยซ่งแล้วก็จริง ข้าในฐานะหัวหน้าสำนักองคมนตรีฝ่ายใน เห็นคนบุกเข้าเรือนผู้อื่นทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา หนำซ้ำยังได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือมาจากในจวนแล้ว จะต้องนิ่งดูดายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?”ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงหน้าขาว ตะคอกเสียงดังออกมาด้วยโทสะ “แบบนั้นจะไปเทียบกันได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็แค่สั่งสอนผู้น้อยในจวนเท่านั้น”“ที่แท้ผู้ตรวจการเหอก็สั่งสอนบุตรหลานด้วยการทุบตีหวังให้ตายคาที่อย่างนั้นเองหรือ?”“เจ้า!” ผู้ตรวจการเหอถูกตอกหน้าหงายก็ตะคอกขึ้นด้วยโทสะ “เจ้าจงใจบ่ายเบี่ยงเลี่ยงประเด็น ต่อให้ตัดประเด็นที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับแม่นางน้อยซ่งคนนั้

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 78

    ภายในจวนถังที่ตรอกจีอวิ๋น ถังหนิงกำลังหลับใหลอย่างสงบ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าด้านนอกมีคนกำลังโต้เถียงกันเพราะนาง ทว่าราชสำนักในห้วงความฝันของนางบัดนี้ กลับกำลังวุ่นวายโกลาหล ราวหม้อน้ำมันเดือดภายในราชสำนักการยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจระลอกที่สองดูจะรุนแรงกว่าที่พวกซ่งหงคิดเอาไว้มาก ครั้งนี้มิเพียงหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินเฉาเต๋อเจียง แม้แต่ขุนนางระดับมุขมนตรีสามสำนักทั้งสำนักราชเลขาธิการ สำนักอัครเสนาบดี และสำนักสนองราชโองการก็ทยอยกันออกมายื่นฎีกาไม่ไว้วางใจเช่นกัน ถ้อยคำรุนแรงในท้องพระโรงนั้น ทำให้ชื่อเสียงและเกียรติยศที่สะสมมาหลายปีของซ่งหงพ่อลูกพังทลายลงเพียงชั่วข้ามคืนเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อ เรื่องที่เซียวเยี่ยนทำร้ายร่างกายสตรีบรรดาศักดิ์เก้ามิ่งในราชสำนัก แอบอ้างสิทธิ์สำนักแพทย์หลวง ใช้อำนาจองครักษ์เกราะดำบีบบังคับหอโอสถในเมืองหลวง และทำตัวกร่างข่มเหงรังแกผู้คนในเมือง ก็ถูกลู่ฉงหยวนหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการและพรรคพวกจับเป็นความผิดไม่ปล่อยเช่นกัน“เป็นเพราะสกุลซ่งเป็นฝ่ายกระทำความผิดก่อน บุกเข้าตรอกจีอวิ๋นมาทำร้ายร่างกายผู้อื่นก่อน…”“นั่นก็มิใช่เหตุผลสมควรให้เขาทำร้ายร่างกายสตรีบรร

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 77

    พระชายาเฉิงจะไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้อย่างไร?เซียวเยี่ยนได้ฟังถ้อยคำของจิ้นอวิ๋นก็เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “มีความแค้นอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ขอรับ”เซียวเยี่ยนหัวเราะออกมาเบา ๆจิ้นอวิ๋นยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าประโยคไหนของตนเองทำให้ท่านหัวหน้าขบขันขึ้นมาได้ ขณะที่เขาถือเสื้อคลุมเดินตามหลังเซียวเยี่ยนออกไปด้านนอก ก็ถามขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว “เช่นนั้นแล้วเรื่องของสกุลซ่งนี้พวกเราต้องออกมือด้วยหรือไม่ขอรับ?”“ไม่ต้อง”หากเรื่องแค่นี้กู้เฮ่อเหลียนยังสืบไม่ได้ ก็เสียแรงที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพไฉ่เสิ่งเอี้ยแล้วรถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าประตูจวนแล้ว ตอนที่เซียวเยี่ยนก้าวออกไปสายตาก็เหลือบไปมองเรือนข้าง ๆ ที่ยังคงมืดสนิทเหมือนเคย พอนึกถึงเมื่อวานตอนบ่ายที่แม่นางน้อยฟังเขาเล่าเรื่องราวน่าสนุกในราชสำนักให้ฟัง จนเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะแล้วยังส่งเสียงออกมาเบา ๆ เหมือนแมวน้อยแบบนั้น แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้นมา“อีกเดี๋ยวจงให้คนไปที่ตลาดเลือกคนที่ชาติกำเนิดสะอาดไร้มลทินส่งไปที่จวนถัง แล้วหาสตรีที่เรียบร้อยเชื่อฟังในเรือนของขุนนางต้องโทษมาสักสองสามคน ส่งไปปรนนิ

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 76

    เจี่ยงหมอมอตื่นตระหนกตกใจ “พระชายาเพคะโปรดระงับอารมณ์อย่าคิดมากวิตกกังวลไปก่อนเลยเพคะ ท่านอ๋องอาจเพราะเกิดความเกรงกลัวในใจ ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะกลัวว่าหากคุณหนูขัดแย้งกับสกุลซ่งมากเกินไปจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสีย กลัวว่าหากสกุลซ่งก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้วคุณหนูจะถูกคนสกุลลู่รังเกียจ”“ไหนจะมีไท่เฟยผู้เฒ่าด้วยอีกคนเพคะ ไท่เฟยผู้เฒ่าเองก็ทรงขุ่นเคืองมาตลอดที่พระชายารักและสงสารคุณหนูมากเกินไป ท่านอ๋องเองก็อาจเป็นเพราะกังวลว่าพระชายาจะทำให้ไท่เฟยผู้เฒ่าไม่พอใจ กลัวว่าหากเกิดเรื่องอะไรกับสกุลซ่งขึ้นมาจริง ๆ อาจพัวพันมาถึงท่านและคุณหนูได้…”นางพยายามหาข้ออ้างอย่างสุดชีวิต เพื่อจะบอกว่าเฉิงอ๋องมิได้ตั้งใจ ทว่าพระชายาเฉิงกลับไม่ฟังแม้แต่ประโยคเดียว“พวกข้าเป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี เขาจะมีความกังวลใจใดที่มิอาจบอกข้า?”“โกหกก็คือโกหก ต่อให้เหตุผลจะมีมากแค่ไหนสุดท้ายทั้งหมดก็คือข้ออ้าง”“เรื่องอื่นข้ายังพอมองข้ามไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ ทว่าเขารู้อยู่แก่ใจว่าสกุลซ่งรังแกถังหนิงอย่างไร รู้อยู่แก่ใจว่าเขาทำลายชื่อเสียงความรักใคร่ปรองดองของพี่หญิงและพี่เขยของข้าอย่างไร แล้วก็รู้ทั้งรู้ว่า

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 75

    เฉิงอ๋องโอบกอดพระชายาไว้พลางปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนพระชายาเฉิงเอนกายซบลงบนไหล่ของเขา “ท่านอ๋อง คนที่ท่านส่งไปที่อันโจวส่งข่าวกลับมาบ้างหรือยังเพคะ สืบเรื่องของซ่งซูหลานมาได้บ้างหรือไม่เพคะ?”เฉิงอ๋องชะงักมือไปเล็กน้อย ก่อนจะลูบแผ่นหลังของนางต่อไปอย่างแผ่วเบา “จะรวดเร็วปานนั้นได้อย่างไร ระยะห่างระหว่างอันโจวกับเมืองหลวงต้องใช้เวลาตั้งหลายวัน หลังจากไปถึงแล้วยังต้องคิดหาวิธีสืบถามอีก เรื่องราวเหล่านี้พอสืบมาได้ความตามสมควรแล้ว ต่อให้ใช้ม้าเร็วไปกลับก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนเดือนเชียว ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าน่าจะคิดมากไปเอง”“สกุลซ่งก็มิใช่พวกเสียสติ พวกเขาจะเอาสตรีไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาปะปนในสายเลือดของจวนกั๋วกงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบุตรีอนุนอกเรือนคนนั้นโฉมหน้าก็พอจะคล้ายคลึงคนสกุลซ่งอยู่บ้าง”“ถังหนิงเองก็เพราะบาดหมางกับสกุลซ่งถึงได้จิตฟุ้งซ่านคิดมากไปเอง เจ้าเองก็ปล่อยให้นางก่อเรื่องวุ่นวาย แม้ข้าจะตกปากรับคำว่าส่งคนไปสืบแล้วก็จริง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ควรเปิดเผยเป็นการใหญ่ มิเช่นนั้นหากสืบแล้วไม่พบอะไรขึ้นมา แล้วคนนอกรู้ว่าถังหนิงกล้าสอดปากสอดคำขัดแย้งกับผู้ใหญ่ในจวนขึ้นมา เกร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status