로그인จินเยว่และครอบครัวกลับมายังที่บ้านได้ประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว พวกเขาผลัดกันไปอาบน้ำจนครบทุกคน นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้วหนิงเทียนต้องไปทำอาหารสำหรับทั้งครอบครัว จินเยว่จึงอาสาไปช่วยทำด้วย ตอนเด็กๆศศิธรชอบเข้าครัวทำอาหารกับแม่ของเธอ พอโตมาเธอก็ทำอาหารกินเองไม่ค่อยไปซื้อข้างนอกเพราะต้องการประหยัดเพื่อเก็บเงิน
หนิงเทียนรู้สึกประหลาดใจที่เห็นลูกสาวหั่นผักอย่างชำนาญทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นจินเยว่เข้าครัวเลยสักครั้ง
“เจ้าทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เยว่เอ๋อร์ แม่ไม่เคยเห็นเจ้าเข้าครัวเลย”
“ข้าก็แค่ลองทำตามที่เคยเห็นท่านแม่กับคนอื่นๆ ทำเจ้าค่ะ สงสัยข้าจะมีพรสวรรค์ด้านนี้นะเจ้าคะ”
“อย่างนั้นหรือ เยว่เอ๋อร์ของแม่เก่งจริงๆ” คำชมของหนิงเทียนทำให้จินเยว่น้ำตาซึม นางคิดถึงแม่แท้ๆของนางคิดถึงความอบอุ่นที่เคยได้รับ
“เป็นอะไรไปลูก มีดบาดหรือ” หนิงเทียนที่เห็นลูกร้องไห้ก็เป็นห่วงขึ้นมา
“เปล่าเจ้าค่ะ” จินเยว่บอกพร้อมกับยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกเบาๆ และช่วยท่านแม่ทำอาหารต่อ
โครม!
ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังช่วยกันทำอาหารอยู่นั้น ซูฮวาแม่ของจางลี่ก็เดินเข้ามาใช้มือกวาดวัตถุดิบที่เตรียมไว้ร่วงลงพื้นจนเกือบหมด
“นี่มันอะไรกันท่านป้าสะใภ้” จินเยว่กระชากเสียงถามขึ้นมา คล้อยหลังของซูฮวามีจางลี่ น้องชายของจางลี่ ท่านลุง ท่านปู่และท่านย่า นี่มากันเกือบครบเลยนะเนี่ย เมื่อเห็นหน้าจางลี่ที่แอบยิ้มเยาะอยู่ข้างหลังจินเยว่ก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดจากเรื่องอะไร
“เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ เจ้ารวมหัวกับพี่ชายสารเลวของเจ้ารังแกลี่เอ๋อร์ของข้าจนหน้าเขียวช้ำขนาดนี้” แม่เฒ่าตะคอกเสียงดังใส่จินเยว่
เมื่อได้ยินว่าลูกทั้งสองไปทำอะไรไว้หนิงเทียนก็รีบคุกเข่าลงทันที
“ท่านแม่อย่าถือโทษลูกๆ ของข้าเลยนะเจ้าคะ หากท่านจะลงโทษพวกท่านลงโทษข้าแทนเถอะเจ้าค่ะ” หนิงเทียนก็ยังคงเป็นหนิงเทียน ยังไม่ทันจะ
สืบสาวราวเรื่องก็ยื่นปากออกมาจะรับโทษทัณฑ์ไว้เองเสียแล้ว“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านย่า นางตั้งใจทำให้ข้าเสียโฉมเจ้าค่ะ”
จางลี่อิจฉาในความงามของจินเยว่มาโดยตลอด จางลี่ก็นับว่าเป็นโฉมงามนางหนึ่งในเมืองนี้ แต่ความงามของนางนั้นช่างดาษดื่นเพียงแต่นางมีนิสัยชอบออดอ้อนเอาใจทำให้เฟยหรงชมชอบนางเพราะเรื่องนี้ ส่วนจินเยว่นางซ่อนความงามสะพรั่งไว้ภายใต้เสื้อผ้าเก่าสีซีดร่างบางไม่มีแม้กระทั่งเครื่องประทินโฉมสักชิ้น ร่างกายผอมซูบจากอาหารที่ได้รับส่วนแบ่งเพียงน้อยนิด แต่โฉมสะคราญก็ยังเผยความงามออกมาได้อย่างล้นเหลือ
“ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ นางจงใจทำให้ลี่เอ๋อร์เสียโฉมจนออกเรือนไม่ได้แน่ๆ
เจ้าค่ะ” ซูฮวาช่วยผสมโรงฮุ่ยชิวที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งโมโหจนหน้าดำคร่ำเครียด ก้าวเข้าไปในห้องครัวนำหน้าซูฮวา
“เจ้ามันสารเลวเหมือนแม่ของเจ้าไม่มีผิด วันนี้ข้าจะโบยเจ้าให้ขาขาด”
พูดเสร็จก็หันไปหาซูฮวา “ไปเอาไม้มาข้าจะโบยมัน”
“ท่านย่าลองถามข้ากับพี่ชายหรือยังเจ้าคะว่ามันเกิดอะไรขึ้น” จินเยว่ที่เงียบมานานพูดพร้อมจ้องหน้าผู้เป็นย่าตาเขม็ง
“เจ้า! เจ้าดูสายตาที่มันใช้มองย่ามันสิหนิงเทียนเจ้าสอนให้ลูกเจ้าประพฤติตัวเช่นนี้หรือ”
หนิงเทียนที่คุกเข่าอยู่ส่ายหน้าเป็นพัลวันไม่กล้าเถียงกลับ
“แล้วสรุปท่านย่าได้ถามข้ากับท่านพี่หรือยังเจ้าคะ พวกเราไม่ใช่หลานของท่านหรือ มีแค่จางลี่ที่เป็นหลานของท่านใช่หรือไม่” จินเยว่ย้อนถามเสียงเย็น
ในตอนแรกกู้ซีฮันคิดว่าเป็นเรื่องเด็กๆ ทะเลาะกันเขาจึงไม่อยากยุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเริ่มกังวลแล้วว่าเสียงที่ทะเลาะกันดังสนั่นของ
ย่าหลานคู่นี้จะเรียกเพื่อนบ้านให้เอาไปโพนทะนาไปทั่วหรือไม่“พวกจ้าช่วยลดเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ ที่จินเยว่พูดมามันก็ถูกเราเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องฟังความทั้งสองฝ่าย” กู้ซีฮันเอ่ยเสียงราบเรียบอย่างรำคาญ
“ท่านจะบอกว่าข้าลำเอียงหรือเจ้าคะ หลานสาวเราหน้าเขียวช้ำขนาดนี้ยังต้องฟังอะไรอีกเล่า” ฮุ่ยชิวตัดพ้อ
“นั่นสิเจ้าคะท่านพ่อหลักฐานก็ชัดขนาดนี้แล้ว ทุกคนก็รู้ว่าจินเยว่นางอิจฉา
ลี่เอ๋อร์ของข้าขนาดไหน” ซูฮวาพูดเสียงแข็งผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านส่ายหน้าเอือมระอา “เจ้าว่าอย่างไรจินเยว่เกิดอะไรขึ้น”
หลังจากที่อีกฝ่ายให้โอกาสนางอธิบายจินเยว่ก็เล่าไปตามเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนถึงช่วงที่จินเยว่จะต่อยจางลี่นางก็ใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไป
“ข้าเห็นว่าจางลี่กำลังจะตบหน้าท่านพี่เจียวจิ้นข้าตกใจเลยเหวี่ยงมือออกไปหมายจะปัดมือนางเจ้าค่ะ” ร่างเล็กค่อยๆ อธิบายอย่างใจเย็น
“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านปู่ ท่านย่า พวกท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ” จางลี่แผดเสียงขึ้นมา
“ข้าไม่ได้ทำอะไรนางเลยนะเจ้าคะ อยู่ดีๆ นางก็เดินมาหาเรื่องข้าหาว่าข้าเป็นหญิงแพศยาแย่งคนรักของนาง พี่ชายของนางก็ช่วยจับตัวข้าไว้ด้วย” นางแกล้งบีบน้ำตาทำหน้าเศร้าพร้อมกับเอามือกุมแก้มข้างที่เขียวช้ำไว้
“เจ้าบังอาจโกหกพวกข้าหรือจินเยว่ เจ้าจงใจจะทำให้ลี่เอ๋อร์เสียโฉมจนออกเรือนไม่ได้แล้วยังจะมีหน้ามาพูดปดอีก วันนี้ข้าจะสั่งสอนคนชั้นต่ำเช่นเจ้า” หญิงชราพูดจบก็เดินดุ่มๆ ไปที่เตาและหยิบหม้อที่ยังมีน้ำร้อนๆ ขึ้นมา
ฟรึ่บ!
ทุกคนในห้องอยู่ในอาการตกตะลึงไม่คิดว่าฮุ่ยชิวจะทำถึงขนาดนี้ ยกเว้น
แม่ลูกที่ยืนยิ้มเยาะอยู่ จินเยว่ไม่คาดคิดว่าฮุ่ยชิวจะทำแบบนี้เพราะถึงยังไงนี่ก็คือหลานสาวนางจะทำรุนแรงขนาดนั้นได้อย่างไร หนิงเทียนที่ตั้งสติได้ผลักลูกสาวออกไปทันแต่ไหล่ด้านหลังของนางโดนน้ำร้อนลวกกินวงกว้างไปประมาณเกือบฝ่ามือ“โอ๊ย!” หนิงเทียนที่โดนน้ำร้อนสาดใส่น้ำตาซึมนางทำได้แค่อดกลั้นไว้เห็นลูกสาวปลอดภัยดีก็โล่งใจ
“ท่านแม่ เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” จินเยว่รีบหันไปดูหนิงเทียนที่ก้มหน้างุด แววตาร่างเล็กฉายแวววาวโรจน์เต็มไปด้วยความโกรธแค้น หนิงเทียนยื่นมือมากำมือจินเยว่ไว้มองเข้าไปในตาลูกสาวและส่ายหน้าห้าม
บทที่ 18 หมูกรอบเช้านี้จินเยว่และเจียวจิ้นออกไปขายของตามปกติ จินเยว่รู้สึกได้ว่าวันนี้นางขายดีกว่าสองวันแรก เพียงเปิดร้านไม่ถึงครึ่งชั่วยามส้มที่เตรียมมาประมาณร้อยผลก็หมดเกลี้ยงขนาดปิดร้านแล้วยังมีคนมาถามหาอยู่เลย ถ้าขายดีแบบนี้ทุกวันก็ดีสิแต่อะไรก็ไม่แน่นอนคนเราคงไม่สามารถกินส้มได้ทุกวันหรอกนางจะต้องหาสินค้ามาขายเพิ่มก่อนจะกลับบ้านจินเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่านางยังไม่มีอุปกรณ์สำคัญสำหรับมื้อเย็นนี้เลยชวนเจียวจิ้นไปยังร้านที่ต้องการทันที“เจ้าจะซื้ออะไรอีกหรือเมื่อวานเราก็ใช้จ่ายไปเยอะแล้วนะ” เจียวจิ้นเอ่ยปากเตือนน้องสาว เขากลัวว่าน้องสาวจะกลายเป็นคนฟุ่มเฟือยภายหน้าจะเดือดร้อนได้“ข้าอยากได้เหล็กแหลมลักษณะคล้ายเข็มที่เราเอาไว้เย็บผ้าแต่ขนาดใหญ่กว่าหน่อยเจ้าค่ะ” จินเยว่บอกก่อนจะหันไปถามเจ้าของร้าน“ท่านลุงมีเหล็กแหลมความยาวประมาณฝ่ามือความใหญ่ประมาณตะเกียบไหมเจ้าคะ”“ตอนนี้ไม่มีหรอก ถ้าอยากได้เจ้ามารับพรุ่งนี้ลุงจะทำให้ใหม่”“งั้นข้าเอาสักสองอันนะเจ้าคะ”“ได้สิ ทั้งหมดก็ยี่สิบห้าอีแปะนะเจ้าสั่งจำนวนน้อยราคาก็จะสูงหน่อย”“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะมารับช่วงสายๆ นะเจ้าคะ”จินเยว่รู้สึกเ
บทที่ 17 คนที่ไม่อยากเจอบ่ายวันนั้นจินเยว่เข้าไปเก็บส้มในมิติ นางไม่ต้องกังวลว่าส้มพวกนี้จะหมดเพราะพวกมันมีมากมายเหลือเกินแต่อาจจะต้องเอาสินค้าอย่างอื่นไปขายเพิ่มมาหมุนเวียนไปเรื่อยๆเมื่อเก็บส้มเสร็จก็พากันกลับบ้าน จินเยว่นึกขึ้นได้ว่านางลืมเปลือกหอยที่อาสี่นำมาให้เมื่อวานไปเลย โฉมสะคราญเดินไปในห้องครัวนำเปลือกหอยใส่ตะกร้าและเติมน้ำลงไปใช้มือวนๆ จนน้ำกลายเป็นสีขุ่นก็เปลี่ยนน้ำ นางเอาแปรงมาขัดเพื่อช่วยให้มันสะอาดมากยิ่งขึ้น ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งเปลือกหอยที่อยู่ในตะกร้าดูสะอาดขึ้นก็เทน้ำออกจนหมด ก่อนจะนำเปลือกหอยไปวางตากแดดไว้เมื่อถึงเวลานัดส่งสินค้าสองพี่น้องก็นำส้มมาส่งที่ร้านอ้ายเหม่ย พวกเขาตกแต่งร้านสวยงามขนาดของร้านก็น่าจะเป็นร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนี้ ร้านอ้ายเหม่ยนี้มีขายทั้งเครื่องประดับมากมายและยังมีพวกเครื่องประทินโฉมอีกด้วย“พวกข้านำจวี๋จื่อมาส่งเจ้าค่ะ” จินเยว่ที่เห็นหญิงชรากำลังคุยกับลูกค้าอยู่ก็รอจนนางคุยเสร็จจึงจะเอ่ยทัก“มาแล้วหรือ มาๆ เข้ามาก่อน” หญิงชราบอกอย่างใจดี“นี่เงินค่าจวี๋จื่อ และนี่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากยายถือว่าตอบแทนที่คราวก่อนแม่หนูแถมให้ยา
บทที่ 16 มันกินได้จริงหรือสองพี่น้องพากันเดินมาถึงที่บ้านหยอกล้อกันมาตลอดทาง ชีวิตพวกเขาสองสามวันมานี้รู้สึกเหมือนสุนัขที่โดนปลดโซ่คล้องคอออก พวกเขาสามารถทำสิ่งใดที่ใจคิดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะต้องโดนว่ากล่าวหรือทุบตี ถึงบ้านหลังนี้จะเก่าทรุดโทรมแต่มันก็ให้ความอบอุ่นเป็นบ้านที่เจียวจิ้นไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เขาไม่ต้องโดนกดหัวใช้งานหรือโดนดูถูกเหยียดหยามจากคนในครอบครัววันนี้หนิงเทียนทำกับข้าวเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือผักป่าเอาไปผัดใส่เกลือเล็กน้อยกินกับข้าวต้ม จินเยว่รีบไปล้างมือล้างหน้าเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้าครัวทำอาหารต่อ“ท่านแม่ไม่ต้องช่วยข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าทำคนเดียวได้” เอ่ยบอกกับมารดาที่รอช่วยนางอยู่ในครัวร่างเล็กนำเห็ดไปล้างในน้ำสะอาดจนมั่นใจแล้วว่าพวกมันสะอาดไร้สิ่งปนเปื้อนใดๆ ก่อนจะนำไปวางตากลมไว้ให้แห้งสักพัก ระหว่างรอเห็ดแห้งร่างเล็กก็ตักแป้งที่อยู่ในห่อออกมาประมาณหนึ่ง ใส่ชามผสมก่อนที่จะเทน้ำลงไปผสมให้เข้ากันและนำเห็ดใส่ลงไปคลุกเคล้าจนแป้งเหลวๆ เคลือบทั่วทุกอณูของเห็ดเหล่านั้น จินเยว่นำกระทะมาตั้งบนเตาที่หนิงเทียนก่อไฟไว้เมื่อเห็นว่าไอร้อนเริ่มแผ่ออกมาก็ค่อยๆ ใส่เห็ดล
บทที่ 15 ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ“ท่านป้าหมายถึงใครหรือเจ้าคะ” จินเยว่ยิ้มแต่สิ่งที่นางพูดออกมาทำอีกฝ่ายโกรธจนควันแทบออกหู “ใครเป็นป้าเจ้า!” นางตะโกนออกไปจนลืมว่าเมื่อครู่พึ่งบ่นจินเยว่ที่ตะโกนเสียงดังข้าอายุแค่สามสิบจะมาเป็นป้าใครได้ที่ไหนกัน นังเด็กนี่ปากเสียจริงๆ “ก็ท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ ป้า ” จินเยว่เน้นเสียงหนักๆที่คำท้าย“หึ ไม่มีหัวคิดแบบนี้น่ะสิถึงได้นำแค่จวี๋จื่อออกมาขาย”แม่ค้าแผงผักเห็นว่าคนเริ่มมามุงดูนางทะเลาะกับเด็กสาวแผงข้างๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเรียกสติของตัวเองได้ นางขายตรงนี้มานานถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างดีเหมาะสมกับค่าเช่าแผง ถ้าทะเลาะกันจนโดนไล่ไปที่อื่นนางและครอบครัวจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ “ข้าไม่อยากเถียงกับเด็กอย่างเจ้าแล้ว” แม่ค้าแผงผักพูดกระแทกเป็นการตัดบทจินเยว่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายล่าถอยไปแล้วก็ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดแต่อย่างใด นางมาขายของก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับใครอยู่แล้ว ร่างเล็กเริ่มส่งเสียงเรียกลูกค้าอีกครั้งแต่คนที่มุงดูอยู่เมื่อกี้ก็ทยอยเดินหนีกันหมด แม่ค้าแผงผักข้างๆแอบยิ้มเยาะที่นางไม่สามารถขายจวี๋จื่อได้ จินเยว่กัดฟันกรอด “ไม่ต้องเสียใจไปหรอก พี
บทที่ 14 ค้าขายครั้งแรก“พรุ่งนี้ท่านไม่ต้องไปหางานหรอก เราเข้าป่าไปหาของมาขายดีกว่าเจ้าค่ะ” จินเยว่บอกกับพี่ชายที่นั่งกลุ้มอยู่“จะดีหรือ ในป่าก็ไม่ค่อยมีอะไรที่ขายได้ราคา แล้วก็ไม่ค่อยมีใครรับซื้อด้วยนะเยว่เอ๋อร์” เจียวจิ้นคิดตามที่เขาบอกกับน้องสาว การเก็บผักผลไม้ในป่าไปขายมีชาวบ้านทำกันเยอะแยะ แต่ก็มักจะโดนกดราคาจนแทบไม่คุ้มที่ต้องเสี่ยงเข้าไปในป่า“พวกเราลองไปกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ จะได้หาเงินมาซื้ออาหารและเครื่องปรุงเข้าบ้านด้วย ข้าไม่อยากกินผักต้มทุกวันนะเจ้าคะ” จินเยว่หน้างอเช้าวันต่อมา แสงแดดอบอุ่นยามเช้าทำให้จินเยว่รู้สึกจิตใจสงบ ร่างเล็กและพี่ชายทานอาหารเช้าเสร็จแล้วพากันเดินทางเพื่อไปหาของในป่าพวกเขาเดินเข้ามาไม่ลึกมากนัก จินเยว่มาที่นี่อย่างมีเป้าหมาย ร่างเล็กจำได้ว่าในป่านี้มีผลไม้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะจวี๋จื่อหรือส้ม มันขึ้นเต็มไปหมดเป็นผลไม้ที่หาได้ทั่วไปทำให้ไม่ค่อยมีราคา โดยปกติก็จะขายกันจินละ2-3อีแปะเท่านั้น “เจ้าอย่าเดินไปไกลนะพี่ขอตัดไม้ตรงนี้ก่อนเราจะได้เอาไปทำฟืนกัน ฟืนที่ตัดไปครั้งก่อนเกือบหมดแล้ว” เจียวจิ้นหันมาบอกจินเยว่เสร็จก็หันกลับไปตัดไม้ต่อ“เจ้าค่ะท่านพี่ข
บทที่ 13 เปลือกหอย“ที่ดินที่หลังบ้านพวกเราสามารถทำการเกษตรได้หรือไม่เจ้าคะข้าเห็นมันยังว่างอยู่” จินเยว่ถามอย่างกระตือรือร้น“จะว่าได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ที่ดินนี้มันมีปัญหาอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอันใดปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นสักอย่าง ถึงขึ้นก็เหี่ยวเฉาตายเสียหมด” หนิงเทียนทำหน้ากลุ้มใจ ปัญหานี้มีมานานแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหาทางแก้อย่างไรก็ไม่สามารถปลูกอะไรบนที่ผืนนี้ได้เลย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ที่ดินท้ายหมู่บ้านนี้ไม่มีราคา ชาวบ้านที่อยู่แถบนี้ค่อนข้างยากจนเสียส่วนใหญ่เพราะพวกเขาเพาะปลูกในที่ดินของตัวเองไม่ได้ บางคนก็ไปเป็นลูกจ้างโดนกดค่าแรง บางคนก็ไปเช่าที่ดินของคนอื่นเพื่อทำการเพาะปลูก “งั้นข้าขอลองไปดูหน่อยนะเจ้าคะเผื่อจะทำอะไรได้บ้าง”จินเยว่เดินไปยังที่ดินหลังบ้าน นางเดินสังเกตที่ดินไปเรื่อยๆก็พบว่า ต้นไม้ที่ขึ้นรอบๆที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีลักษณะใบเหลือง ลำต้นของพวกมันแคระแกร็น“นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้วนะเนี่ย” จินเยว่พูดอย่างหนักใจนางเดินสังเกตมาสักพักไม่พบคราบเกลือบนผืนดินและหน้าดินบริเวณนั้นก็มีลักษณะออกสีเหลืองๆอีกด้วยนางเดาได้ทันทีว่าที่ดินพวกนี้ปลูกอะไรไม่ขึ้น







