로그인สถานการณ์ในห้องครัวตอนนี้อยู่ในความตึงเครียด เจียวจิ้นที่เห็นว่าแม่และน้องสาวหายไปนานแล้วจึงเดินมาตาม เขาเข้ามาเห็นตอนที่ท่านย่าสาดน้ำใส่น้องสาวของเขาแล้วท่านแม่เอาตัวมาบังไว้พอดี
“นี่มันอะไรกันขอรับ” ทุกสายตาในห้องครัวหันไปมองเจียวจิ้นที่มาใหม่
“เจ้ามาก็ดี เจ้ากับน้องสาวรังแกลี่เอ๋อร์ใช่หรือไม่” ฮุ่ยชิวกระแทกเสียง
“รังแกอะไรกันขอรับ นางเข้ามาด่าข้ากับน้องสาวว่าชั้นต่ำเหมือนแม่ของ
พวกเรา แล้วยังมาตบหน้าน้องสาวข้าก่อนอีก ข้าอาจจะผิดที่ไม่ห้ามให้จินเยว่ตอบโต้แต่นั่นก็เป็นเพราะนางโดนกระทำก่อน” เขาอธิบาย“แสดงว่าเป็นเจ้าที่โกหกสินะกู้จางลี่” ผู้เฒ่าของบ้านถามเสียงเข้ม เขาอาจจะไม่ได้รักใคร่เอ็นดูหลานชายคนนี้มากนัก แต่เจียวจิ้นเป็นเด็กดีเขาไม่เคยโกหกสักครั้ง และหลานชายก็ย่อมสำคัญกว่าหลานสาวที่วันหนึ่งก็ต้องแต่งออกไปเหมือนน้ำที่โดนสาดทิ้งอยู่ดี
“เปล่านะเจ้าคะท่านปู่ข้าไม่ได้โกหก” จางลี่ก้มหน้าตอบเป็นพัลวัน นางรู้อยู่แก่ใจว่าอย่างไรคำพูดของเจียวจิ้นทุกคนก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว
“ส่วนเจ้านางเฒ่า ข้าบอกแล้วให้ฟังทั้งสองฝ่ายไยจึงรีบร้อนตัดสิน
แล้วยังกระทำรุนแรงเช่นนี้” เขาตะคอกใส่ภรรยา“ท่านพี่ คือข้า...” ฮุ่ยชิวไม่มีข้อแก้ตัว
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” เขายกมือห้าม จะให้ลงโทษภรรยาต่อหน้าลูกๆหลานๆ
ก็ไม่ได้เขาจึงหันไปลงโทษจางลี่แทน“เจ้า ไปคุกเข่ากลางห้องรับแขกจนถึงพรุ่งนี้ยามโฉ่ว (01:00น.-02:59น.)”
“ท่านปู่คือข้าไม่…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น และวันนี้บ้านเจ้าก็ไม่ต้องรับสำรับเย็นแม่เจ้าทำลายอาหารทิ้งหมดแล้ว จินเยว่พาแม่เจ้าไปพัก ยายแก่วันนี้เจ้าทำอาหารแทนหนิงเทียนซะ” เขาพูดเสร็จก็เดินออกไปรอทานอาหารเย็นที่โถงกลาง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” จางลี่หันไปบอกจินเยว่ ถ้าเป็นปกติจินเยว่อาจจะส่งยิ้มเยาะเย้ยไปแต่ในตอนนี้นางเป็นห่วงแม่มากกว่าจึงเรียกพี่ชายมาช่วยพยุงแม่กลับห้อง
เมื่อกลับมาถึงห้องจินเยว่และเจียวจิ้นก็ประคองหนิงเทียนนั่งบนที่นอน
จินเยว่ตัดสินใจค่อยๆ เปิดเสื้อตรงหัวไหล่ของหนิงเทียนสิ่งที่เห็นทำให้ทั้งคู่กังวล ตอนนี้แผลที่โดนน้ำร้อนลวกอักเสบกลายเป็นสีแดงพุพองจนน่ากลัว“ท่านพี่ไปเตรียมเอาน้ำสะอาดมานะเจ้าคะ ข้าจะเอามาล้างแผลให้ท่านแม่”
“ได้สิ พี่จะรีบไป” พูดจบก็หันหลังไปทันที
“ข้าจะไปหายามาให้ท่านนะเจ้าคะท่านแม่ ท่านอดทนหน่อยนะเจ้าคะ”
จินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“เจ้าจะไปเอายาจากที่ใดกันเยว่เอ๋อร์” หนิงเทียนพูดน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายกับไม่มีแรง
“ข้าจะไปขอจากท่านหมอเกาเจ้าค่ะ แล้วเราค่อยหาเงินมาชดใช้เขา”
“ไม่ต้องหรอกลูก สิ้นเปลืองเสียเปล่า” หนิงเทียนไม่อยากสร้างความลำบากให้ลูกๆ
“ทำตามที่ข้าบอกเถอะนะเจ้าคะ” จินเยว่บอกน้ำเสียงจริงจัง เกิดไม่รักษาให้ถูกต้องแล้วเป็นแผลเป็นจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่
จินเยว่เดินออกจากประตูบ้านเดินไปตามทางและหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่ ร่างเล็กกลับเข้าไปในมิติอีกครั้ง
“ท่านแม่! ท่านมาอีกแล้วหรือ” เจียวเจี้ยที่กำลังสะลึมสะลือเห็นจินเยว่เข้ามาในมิติอีกแล้วก็ลืมตาโพลงรีบไปทักทาย
“แม่มาเอาน้ำจากน้ำตกผิงอาน เจียวจิ้นน้ำนี่สามารถรักษาแผลโดน
น้ำร้อนลวกได้หรือไม่”“ข้าคิดว่าได้นะขอรับ ท่านโดนน้ำร้อนลวกหรือขอรับ เจ็บมากหรือไม่”
เด็กน้อยถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ใช่แม่หรอก ท่านยายของเจ้าต่างหากโดนนางจิ้งจอกเฒ่าสาด
น้ำร้อนใส่” จินเยว่กัดฟันพูดด้วยความแค้นเคือง“ถ้างั้นท่านรีบไปเถอะขอรับเดี๋ยวท่านยายจะทรมาน”
“งั้นแม่ไปก่อนนะ”
จินเยว่กลับมาที่บ้านและรีบไปที่ห้อง ร่างเล็กนำน้ำสะอาดราดลงบนแผลเพื่อทำความสะอาด จากนั้นนำน้ำจากน้ำตกผิงอานเทใส่ลงบนแผลของ
หนิงเทียน หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่ออาการปวดแสบปวดร้อนค่อยๆ ทุเลาลงเรื่อยๆ“ยาของท่านหมอเกานี่มหัศจรรย์จริงๆ แม่แทบไม่เจ็บแล้ว” หนิงเทียนพูดด้วยความประหลาดใจ
“ท่านหายเจ็บพวกข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ” จินเยว่ยิ้มกระจ่าง
“อาหารเย็นมาแล้วขอรับท่านแม่” เจียวจิ้นยกสำรับมาหน้าชื่นตาบานเมื่อ
ได้ยินว่าแม่ของเขาอาการดีขึ้นแล้ว“ยกมานี่เลยลูก” กู้ซีห่าวที่คอยปรนนิบัติภรรยาตั้งแต่ลูกสาวไปหายามาเอ่ยเรียกลูกชาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธแต่ถ้าลงมือทำอะไรไปตอนนี้ก็จะยิ่งเดือดร้อนกัน
เข้าไปใหญ่ทั้งครอบครัวทานอาหารเย็นกันอย่างสุขสันต์กินข้าวกันพลางคุยสัพเพเหระบางทีก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ยกเว้นครอบครัวของกู้หวังหย่งเย็นนี้พวกเขาโดนงดอาหารเย็นลูกสาวก็โดนทำโทษให้คุกเข่า ยามนี้พวกเขาจึงมานั่งเป็นเพื่อนจางลี่คอยประคบประหงมลูกสาวที่โดนโทษทัณฑ์
“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พวกท่านต้องเอาคืนให้ข้านะเจ้าคะ” จางลี่กล่าวออกมาน้ำเสียงเว้าวอน นางแทบไม่เคยโดนลงโทษมาก่อน เมื่อถูกสั่งให้ทำเช่นนี้รู้สึกอับอายจนแทบเอาหน้ามุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป
ซูฮวาและหวังหย่งโอบกอดลูกสาวไว้ “ลี่เอ๋อร์อดทนนะลูก แม่ย่อมต้องล้างแค้นให้เจ้าแน่”
“พ่อจะจัดการให้เจ้าเองลี่เอ๋อร์” เขาเป็นลูกชายคนโตอย่างไรพ่อกับแม่ก็ต้องให้เกียรติเขามากกว่าอยู่แล้ว
ส่วนจางหย่งที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเขาก็ไม่อยากยุ่ง ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีอะไรแต่ก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้างเห็นๆกันอยู่ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร
บทที่ 18 หมูกรอบเช้านี้จินเยว่และเจียวจิ้นออกไปขายของตามปกติ จินเยว่รู้สึกได้ว่าวันนี้นางขายดีกว่าสองวันแรก เพียงเปิดร้านไม่ถึงครึ่งชั่วยามส้มที่เตรียมมาประมาณร้อยผลก็หมดเกลี้ยงขนาดปิดร้านแล้วยังมีคนมาถามหาอยู่เลย ถ้าขายดีแบบนี้ทุกวันก็ดีสิแต่อะไรก็ไม่แน่นอนคนเราคงไม่สามารถกินส้มได้ทุกวันหรอกนางจะต้องหาสินค้ามาขายเพิ่มก่อนจะกลับบ้านจินเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่านางยังไม่มีอุปกรณ์สำคัญสำหรับมื้อเย็นนี้เลยชวนเจียวจิ้นไปยังร้านที่ต้องการทันที“เจ้าจะซื้ออะไรอีกหรือเมื่อวานเราก็ใช้จ่ายไปเยอะแล้วนะ” เจียวจิ้นเอ่ยปากเตือนน้องสาว เขากลัวว่าน้องสาวจะกลายเป็นคนฟุ่มเฟือยภายหน้าจะเดือดร้อนได้“ข้าอยากได้เหล็กแหลมลักษณะคล้ายเข็มที่เราเอาไว้เย็บผ้าแต่ขนาดใหญ่กว่าหน่อยเจ้าค่ะ” จินเยว่บอกก่อนจะหันไปถามเจ้าของร้าน“ท่านลุงมีเหล็กแหลมความยาวประมาณฝ่ามือความใหญ่ประมาณตะเกียบไหมเจ้าคะ”“ตอนนี้ไม่มีหรอก ถ้าอยากได้เจ้ามารับพรุ่งนี้ลุงจะทำให้ใหม่”“งั้นข้าเอาสักสองอันนะเจ้าคะ”“ได้สิ ทั้งหมดก็ยี่สิบห้าอีแปะนะเจ้าสั่งจำนวนน้อยราคาก็จะสูงหน่อย”“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะมารับช่วงสายๆ นะเจ้าคะ”จินเยว่รู้สึกเ
บทที่ 17 คนที่ไม่อยากเจอบ่ายวันนั้นจินเยว่เข้าไปเก็บส้มในมิติ นางไม่ต้องกังวลว่าส้มพวกนี้จะหมดเพราะพวกมันมีมากมายเหลือเกินแต่อาจจะต้องเอาสินค้าอย่างอื่นไปขายเพิ่มมาหมุนเวียนไปเรื่อยๆเมื่อเก็บส้มเสร็จก็พากันกลับบ้าน จินเยว่นึกขึ้นได้ว่านางลืมเปลือกหอยที่อาสี่นำมาให้เมื่อวานไปเลย โฉมสะคราญเดินไปในห้องครัวนำเปลือกหอยใส่ตะกร้าและเติมน้ำลงไปใช้มือวนๆ จนน้ำกลายเป็นสีขุ่นก็เปลี่ยนน้ำ นางเอาแปรงมาขัดเพื่อช่วยให้มันสะอาดมากยิ่งขึ้น ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งเปลือกหอยที่อยู่ในตะกร้าดูสะอาดขึ้นก็เทน้ำออกจนหมด ก่อนจะนำเปลือกหอยไปวางตากแดดไว้เมื่อถึงเวลานัดส่งสินค้าสองพี่น้องก็นำส้มมาส่งที่ร้านอ้ายเหม่ย พวกเขาตกแต่งร้านสวยงามขนาดของร้านก็น่าจะเป็นร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนี้ ร้านอ้ายเหม่ยนี้มีขายทั้งเครื่องประดับมากมายและยังมีพวกเครื่องประทินโฉมอีกด้วย“พวกข้านำจวี๋จื่อมาส่งเจ้าค่ะ” จินเยว่ที่เห็นหญิงชรากำลังคุยกับลูกค้าอยู่ก็รอจนนางคุยเสร็จจึงจะเอ่ยทัก“มาแล้วหรือ มาๆ เข้ามาก่อน” หญิงชราบอกอย่างใจดี“นี่เงินค่าจวี๋จื่อ และนี่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากยายถือว่าตอบแทนที่คราวก่อนแม่หนูแถมให้ยา
บทที่ 16 มันกินได้จริงหรือสองพี่น้องพากันเดินมาถึงที่บ้านหยอกล้อกันมาตลอดทาง ชีวิตพวกเขาสองสามวันมานี้รู้สึกเหมือนสุนัขที่โดนปลดโซ่คล้องคอออก พวกเขาสามารถทำสิ่งใดที่ใจคิดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะต้องโดนว่ากล่าวหรือทุบตี ถึงบ้านหลังนี้จะเก่าทรุดโทรมแต่มันก็ให้ความอบอุ่นเป็นบ้านที่เจียวจิ้นไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เขาไม่ต้องโดนกดหัวใช้งานหรือโดนดูถูกเหยียดหยามจากคนในครอบครัววันนี้หนิงเทียนทำกับข้าวเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือผักป่าเอาไปผัดใส่เกลือเล็กน้อยกินกับข้าวต้ม จินเยว่รีบไปล้างมือล้างหน้าเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้าครัวทำอาหารต่อ“ท่านแม่ไม่ต้องช่วยข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าทำคนเดียวได้” เอ่ยบอกกับมารดาที่รอช่วยนางอยู่ในครัวร่างเล็กนำเห็ดไปล้างในน้ำสะอาดจนมั่นใจแล้วว่าพวกมันสะอาดไร้สิ่งปนเปื้อนใดๆ ก่อนจะนำไปวางตากลมไว้ให้แห้งสักพัก ระหว่างรอเห็ดแห้งร่างเล็กก็ตักแป้งที่อยู่ในห่อออกมาประมาณหนึ่ง ใส่ชามผสมก่อนที่จะเทน้ำลงไปผสมให้เข้ากันและนำเห็ดใส่ลงไปคลุกเคล้าจนแป้งเหลวๆ เคลือบทั่วทุกอณูของเห็ดเหล่านั้น จินเยว่นำกระทะมาตั้งบนเตาที่หนิงเทียนก่อไฟไว้เมื่อเห็นว่าไอร้อนเริ่มแผ่ออกมาก็ค่อยๆ ใส่เห็ดล
บทที่ 15 ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ“ท่านป้าหมายถึงใครหรือเจ้าคะ” จินเยว่ยิ้มแต่สิ่งที่นางพูดออกมาทำอีกฝ่ายโกรธจนควันแทบออกหู “ใครเป็นป้าเจ้า!” นางตะโกนออกไปจนลืมว่าเมื่อครู่พึ่งบ่นจินเยว่ที่ตะโกนเสียงดังข้าอายุแค่สามสิบจะมาเป็นป้าใครได้ที่ไหนกัน นังเด็กนี่ปากเสียจริงๆ “ก็ท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ ป้า ” จินเยว่เน้นเสียงหนักๆที่คำท้าย“หึ ไม่มีหัวคิดแบบนี้น่ะสิถึงได้นำแค่จวี๋จื่อออกมาขาย”แม่ค้าแผงผักเห็นว่าคนเริ่มมามุงดูนางทะเลาะกับเด็กสาวแผงข้างๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเรียกสติของตัวเองได้ นางขายตรงนี้มานานถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างดีเหมาะสมกับค่าเช่าแผง ถ้าทะเลาะกันจนโดนไล่ไปที่อื่นนางและครอบครัวจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ “ข้าไม่อยากเถียงกับเด็กอย่างเจ้าแล้ว” แม่ค้าแผงผักพูดกระแทกเป็นการตัดบทจินเยว่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายล่าถอยไปแล้วก็ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดแต่อย่างใด นางมาขายของก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับใครอยู่แล้ว ร่างเล็กเริ่มส่งเสียงเรียกลูกค้าอีกครั้งแต่คนที่มุงดูอยู่เมื่อกี้ก็ทยอยเดินหนีกันหมด แม่ค้าแผงผักข้างๆแอบยิ้มเยาะที่นางไม่สามารถขายจวี๋จื่อได้ จินเยว่กัดฟันกรอด “ไม่ต้องเสียใจไปหรอก พี
บทที่ 14 ค้าขายครั้งแรก“พรุ่งนี้ท่านไม่ต้องไปหางานหรอก เราเข้าป่าไปหาของมาขายดีกว่าเจ้าค่ะ” จินเยว่บอกกับพี่ชายที่นั่งกลุ้มอยู่“จะดีหรือ ในป่าก็ไม่ค่อยมีอะไรที่ขายได้ราคา แล้วก็ไม่ค่อยมีใครรับซื้อด้วยนะเยว่เอ๋อร์” เจียวจิ้นคิดตามที่เขาบอกกับน้องสาว การเก็บผักผลไม้ในป่าไปขายมีชาวบ้านทำกันเยอะแยะ แต่ก็มักจะโดนกดราคาจนแทบไม่คุ้มที่ต้องเสี่ยงเข้าไปในป่า“พวกเราลองไปกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ จะได้หาเงินมาซื้ออาหารและเครื่องปรุงเข้าบ้านด้วย ข้าไม่อยากกินผักต้มทุกวันนะเจ้าคะ” จินเยว่หน้างอเช้าวันต่อมา แสงแดดอบอุ่นยามเช้าทำให้จินเยว่รู้สึกจิตใจสงบ ร่างเล็กและพี่ชายทานอาหารเช้าเสร็จแล้วพากันเดินทางเพื่อไปหาของในป่าพวกเขาเดินเข้ามาไม่ลึกมากนัก จินเยว่มาที่นี่อย่างมีเป้าหมาย ร่างเล็กจำได้ว่าในป่านี้มีผลไม้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะจวี๋จื่อหรือส้ม มันขึ้นเต็มไปหมดเป็นผลไม้ที่หาได้ทั่วไปทำให้ไม่ค่อยมีราคา โดยปกติก็จะขายกันจินละ2-3อีแปะเท่านั้น “เจ้าอย่าเดินไปไกลนะพี่ขอตัดไม้ตรงนี้ก่อนเราจะได้เอาไปทำฟืนกัน ฟืนที่ตัดไปครั้งก่อนเกือบหมดแล้ว” เจียวจิ้นหันมาบอกจินเยว่เสร็จก็หันกลับไปตัดไม้ต่อ“เจ้าค่ะท่านพี่ข
บทที่ 13 เปลือกหอย“ที่ดินที่หลังบ้านพวกเราสามารถทำการเกษตรได้หรือไม่เจ้าคะข้าเห็นมันยังว่างอยู่” จินเยว่ถามอย่างกระตือรือร้น“จะว่าได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ที่ดินนี้มันมีปัญหาอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอันใดปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นสักอย่าง ถึงขึ้นก็เหี่ยวเฉาตายเสียหมด” หนิงเทียนทำหน้ากลุ้มใจ ปัญหานี้มีมานานแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหาทางแก้อย่างไรก็ไม่สามารถปลูกอะไรบนที่ผืนนี้ได้เลย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ที่ดินท้ายหมู่บ้านนี้ไม่มีราคา ชาวบ้านที่อยู่แถบนี้ค่อนข้างยากจนเสียส่วนใหญ่เพราะพวกเขาเพาะปลูกในที่ดินของตัวเองไม่ได้ บางคนก็ไปเป็นลูกจ้างโดนกดค่าแรง บางคนก็ไปเช่าที่ดินของคนอื่นเพื่อทำการเพาะปลูก “งั้นข้าขอลองไปดูหน่อยนะเจ้าคะเผื่อจะทำอะไรได้บ้าง”จินเยว่เดินไปยังที่ดินหลังบ้าน นางเดินสังเกตที่ดินไปเรื่อยๆก็พบว่า ต้นไม้ที่ขึ้นรอบๆที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีลักษณะใบเหลือง ลำต้นของพวกมันแคระแกร็น“นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้วนะเนี่ย” จินเยว่พูดอย่างหนักใจนางเดินสังเกตมาสักพักไม่พบคราบเกลือบนผืนดินและหน้าดินบริเวณนั้นก็มีลักษณะออกสีเหลืองๆอีกด้วยนางเดาได้ทันทีว่าที่ดินพวกนี้ปลูกอะไรไม่ขึ้น







