เจียอีถูกพาไปที่ตำหนักวังหลัง ระหว่างทางเดินมีคนเดินสวนไปมาไม่น้อย เจียอีที่มัวแต่มองความงามของวังหลวงก็บังเอิญชนเข้ากับคนผู้หญิง
“โอ๊ยยย” นางเซหงายหลังเกือบที่จะล้มไปกองกับพื้น แต่ถูกคว้าโอบรอบเอวไว้ก่อนที่จึงมิได้ล้มลงไป
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันมอง” นางรีบขอโทษ พร้อมทั้งดันตัวเขาออกมา
“เดินเยี่ยงไร ถึงมิได้ดูทาง” เจียอีเงยหน้าขึ้นไปมองบุรุษที่ตำหนินางเสียงเย็น
“เห้ยยย” นางตกใจถอยหลังหนี ด้วยรีบร้อนเกินไปจึงได้ล้มไปกองกับพื้นทันที
“อย่างไรกัน คุณหนูจวนใดถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้”
เจียอีถูกนางกำนัลพยุงลุกขึ้น นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของนางกำนัลทันที ความกลัวพุ่งสูงจนเหงื่อซึมออกมาตามใบหน้าและแผ่นหลัง ใบหน้าของนางซีดขาวจนนางกำนัลต้องเข้าไปประคองนางไว้
“ขออภัยอีกรอบเพคะ” นางก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสบสายตาของเขา
“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์กำลังทำให้คุณหนูมู่หวาดกลัวอยู่เพคะ” จางมามา นางกำนัลข้างกายของไทเฮาเอ่ยบอกเว่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเจียอีอยู่
“เหอะ เปิ่นหวางเป็นปีศาจหรืออย่างไร ถึงได้หวาดกลัวเสียจะเป็นลมเช่นนี้”
“หะ หามิได้เพคะ” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นออกมา
เช่นนี้แล้วผู้ใดจะเชื่อว่านางไม่ได้กลัวเขา เว่ยอ๋องเดินอ้อมนางกำนัลไปหาเจียอีที่อยู่ด้านหลัง พร้อมทั้งก้มลงกระซิบข้างหูของนาง
“ครั้งนี้เปิ่นหวางจะมิเอาความ แต่ครั้งต่อไปไม่แน่หัวของเจ้าอาจจะหลุดจากบ่าหากมิระวังอีก”
เพียงแค่คำว่าหัวหลุดจากบ่า ภาพที่นางถูกม้าแยกร่างก็ปรากฏขึ้นมาทันที เจียอีตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัว ก่อนที่นางจะหมดสติไปทันที
“คุณหนูมู่ ท่านอ๋องท่านพูดอันใดกับนางเพคะ” จางมามาเอ่ยถามด้วยความเอือมระอา
เนื้อแท้ของเว่ยอ๋องแท้จริงแล้วมิใช่คนโหดร้าย เรื่องนี้จางมามานางรู้ดี แต่เพราะความโหดร้ายของวังหลวงทำให้พระองค์จะอ่อนแอมิได้ ทั้งยังต้องคอยเป็นกำลังสำคัญให้ฮ่องเต้ที่เป็นพี่ชาย จึงได้แสดงนอกแต่ด้านที่ดุร้ายออกมา
“มิได้พูดอันใดเสียหน่อย จางมามารีบพานางไปตำหนักเสด็จแม่เถิด” เว่ยอ๋องลูบจมูกแก้เก้อ ไม่คิดว่าเพียงคำขู่เล็กน้อยนางจะถึงกับเป็นลมหมดสติไปเลย
เว่ยอ๋องเดินตามนางกำนัลที่กำลังช่วยกันแบกร่างที่สลบไสลของเจียอีไปที่ตำหนักไทเฮา
“สวรรค์ อีอี เป็นอันใด” ไทเฮาลุกจากที่นั่งเดินมาดูเจียอีที่ถูกแบกมาด้วยตนเอง
“ท่านอ๋องเพคะ จะทรงเล่าเองหรือให้หม่อมฉันเล่า” จางมามาหันไปมองเว่ยอ๋องอย่างตำหนิ
คนในวังหลวงมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าจะตำหนิเขา จางมามาเป็นหนึ่งในนั้น เพราะเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่น้อย
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ไทเฮาเอ่ยปากไล่สตรีที่อยู่ในห้องโถงของนางให้ออกไปด้านนอกก่อน
“เพคะ/เพคะ” คุณหนูที่มาคารวะไทเฮาต่างมองที่เว่ยอ๋องตาเป็นประกาย
“ไปตามหมอหลวงมาดูอาการนาง ส่วนเจ้าตามแม่มา” ไทเฮาถลึงตามองบุตรชายตัวดี ที่ก่อเรื่องไม่เว้นวันตั้งแต่เหยียบเท้าเข้าเมืองหลวง
เว่ยอ๋องนั่งลงด้านข้างของไทเฮา ทั้งเอ่ยเล่าในสิ่งที่เขาพูดออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับว่าเขามิได้ทำสิ่งใดผิด
“สวรรค์ เจ้านี่มัน!!! หากนางเป็นอันใดมาก แม่จะลงโทษเจ้า”
“เสด็จแม่ นางอ่อนแอเอง แล้วจะโทษลูกได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ” ไทเฮาหันหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยไม่รู้จะตำหนิเขาเช่นไรแล้ว
หมอหลวงที่มาตรวจอาการของเจียอี เดินออกมาด้านนอก พร้อมกับจางมามา
“คุณหนูมู่ มิได้เป็นอันใดมากพ่ะย่ะค่ะ นางเพียงแต่ตกใจจนหมดสติพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจัดเทียบยาให้นางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก จางมามาส่งหมอชุยด้วย” ไทเฮาโบกมือให้หมอหลวงออกไป
“หากหมดเรื่องแล้ว ลูกขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอ๋องเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อออกไปด้านนอก
“ยังไปไม่ได้ อยู่รอจนกว่านางจะฟื้น” ไทเฮาชี้มือให้บุตรชายนั่งลง
“โถ่ เสด็จแม่ หากนางฟื้นขึ้นมาเห็นลูก ไม่ตกใจจนตายเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้า!!! เช่นนั้นไปดูนาง ก่อนที่จะออกไป ไม่ต้องเอ่ยแล้ว ไป!!!” ไทเฮานั่งกุมขมับ
เว่ยอ๋องจำต้องเดินเข้าไปดูเจียอีที่อยู่ในห้องอย่างเสียมิได้ เขาเห็นนางนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงนาง
“จะแสร้งหลับเพื่ออันใด ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นเสีย”
เจียอีเมื่อได้ยินเสียงของเว่ยอ๋อง นางก็อยากจะสลบต่อไปอีกสักรอบ แต่พอเห็นว่าเขามิเดินออกไปเสียที นางก็ค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมอง
“เห้ยยย” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อใบหน้าของเว่ยอ๋องยื่นมามองนางใกล้ๆ จนเกือบจะชิดกันแล้ว
“หึ จะสลบอีกรอบเลยหรือไม่”
เจียอีลืมตามาจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ เว่ยอ๋องที่เห็นดวงตาคู่งามของนาง เขาก็ตกตะลึงไปชั่ววูบหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาเป็นเช่นเดิม
"ถ้าไม่เป็นอันใดแล้ว เปิ่นหวางขอตัว” เขารีบร้อนเดินออกจากห้องไปทันที
“เป็นบ้าอะไร” นางพึมพำขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะจับหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว
เจียอีนั่งกอดเข่าครุ่นคิดอยู่บนเตียง นางอยากจะหนีกลับจวนเสียตอนนี้เลย แต่ไม่รู้จะหาคำแก้ตัวใดที่จะหนีออกไปได้
“คุณหนูมู่ ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” จางมามาเดินเข้ามาดูเจียอี
“เจ้าค่ะ รบกวนจางมามาแล้ว”
“หามิได้ หากไม่เป็นอันใดมากแล้ว มาเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว”
“จางมามา ข้ามิได้อาชุดมาเปลี่ยน เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนเลยได้หรือไม่” นางมองจางมามาอย่างอ้อนวอน
“หึหึ ชุดของคุณหนูไทเฮาเมตตาจัดเตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ งานยังมิเริ่มจะกลับก่อนได้อย่างไร” จางมามาเรียกนางกำนัลเข้ามาภายในห้อง เพื่อช่วยเจียอีแต่งตัว
“พอแล้วเจ้าค่ะ” เจียอีจับมือจางมามาที่กำลังจะใส่เครื่องประดับให้นางเพิ่ม
“ได้อย่างไรเจ้าคะ ไทเฮารับสั่งไว้ให้ข้าน้อยแต่งตัวใหม่ให้คุณหนู เครื่องประดับทั้งหมดที่เห็นก็เป็นของที่ไทเฮาให้คุณหนูมู่ ในเรื่องที่ท่านอ๋องทำไว้เจ้าค่ะ”
“มิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ เป็นข้าที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงจึงได้เป็นลม อย่าได้โทษท่านอ๋องเลยเจ้าค่ะ” นางกลัวว่าหากโทษเขา ภายหลังเขาจะมาเอาเรื่องนาง
“เด็กดี เจ้ายอมให้จางมามาแต่งตัวให้เจ้าเถิด” ไทเฮาเดินเข้ามาได้ยินสิ่งที่เจียอีพูดพอดี
“ถวายบังคมไทเฮาเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว”
“ยังจะคุกเข่าอีก เจ้าเด็กคนนี้ เร็วรีบแต่งตัวเข้างานจะเริ่มแล้ว”
เจียอีจำต้องยอมให้จางมามาและนางกำนัลประโคมเครื่องประดับใส่บนตัวของนาง ก่อนจะเข้าไปประคองไทเฮาเดินเข้างานเลี้ยงพร้อมกัน
แขกในงานเลี้ยงเริ่มเข้ามานั่งประจำที่ของตนเองแล้ว พอใกล้ถึงลานจัดเลี้ยงเจียอีก็ขอตัวแยกกลับไปนั่งที่ของนาง เพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจให้สายตาทุกคู่มองมาทางนาง
แต่สุดท้ายทุกสายตาก็แทบจะมองมาที่นางเป็นจุดเดียว เมื่อเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ดูงดงามอย่างมาก ไหนจะเครื่องประดับที่อยู่บนตัวของนาง กำไลขอมือหยกขาวมันแพะที่อยู่บนข้อมือทั้งสองข้างยิ่งขับให้ผิวขาวราวน้ำนมของนางดูน่าลูบคลำยิ่งกว่าเดิม
ปิ่นหยกขาวมันแพะแกะสลักรูปดอกโบตั๋น ที่เข้ากับกำไลข้อมือก็ยิ่งทำให้คนอื่นจ้องมองด้วยความอิจฉา
“อีอี เหตุใดเจ้าถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเล่า” สวีซื่อเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อครู่ตอนที่จางมามา พาลูกไปที่ตำหนักไทเฮา ลูกเป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ไทเฮาจึงเมตตาประทานเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ลูก”
เว่ยอ๋องที่เห็นว่านางยังดื้อรั้นจึงได้จุมพิตนางอีกครั้ง เพื่อเตือนนางว่าอย่าได้ขัดใจเขา “โอ๊ยย” นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาขบริมฝีปากที่ปิดแน่นของนาง“เจ้าดื้อกับเปิ่นหวางเอง อีอี” เขาตะโบมจุมพิตนางอย่างดุดัน ทั้งยังจับยึดตัวของนางไว้ให้ดิ้นรนถอยหนี“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเปิ่นหวางตามหาเจ้าตลอด”“ยะ อย่า” นางเอ่ยขอร้องเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนของเขาปลดเชือกที่รัดเอวของนางออก“ขออภัย” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนาง เพื่อปรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้สงบลง แต่กลิ่นกายของนางก็ราวกับเป็นกำหนัดชั้นดี ยิ่งสูดดมเขายิ่งอยากจะรังแกนางเสียในคืนนี้เลย“ท่านอ๋อง” เจียอีเอ่ยเรียกเสียงเบา เมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เริ่มถี่ขึ้นของเขา“อีอี เจ้าทรมานเปิ่นหวาง” เขาดูดเม้มที่ติ่งหูของนาง“เป็นท่านเองที่ทำตัวเอง กลับไปได้แล้ว” นางดันตัวเขาที่คร่อมทับนางอยู่ออก เพราะดูเหมือนส่วนล่างของเขาจะพร้อมรบเสียแล้ว“ช่วยเปิ่นหวางได้หรือไม่” เขามองนางอย่างอ้อนวอน“ไปหอคณิกาเลย” นางเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา“ไม่เอา ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว” เขาจับมือน้อยๆ ของนางอย่างแฝงไปด้วยความหมาย“ไม่ได้ ไม่เอา” นางดึงมือกลับ แต่กลับถูกเขาดึงฉ
มื้อเย็นเจียอีนางก็ยังมิได้ออกไปทานที่เรือนหลัก นางยังคงทานที่เรือนของตนเองเช่นเดิม“ข้าต้องกินอีกแล้วรึ” นางมองถ้วยยาน้ำสีดำที่ทั้งเหม็นทั้งขม จากมือของเสี่ยวถิงที่ยื่นมาตรงปากของนาง“กินเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้แข็งแรงเร็วๆ” เสี่ยวถิงจ่อไปให้ถึงปากของนาง เหลือเพียงแค่บีบปากแล้วกรอกยาลงไปเจียอีจำต้องรีบกลืนลงคอไปให้เร็วที่สุด แต่อย่างไรนางก็เกือบจะอ้วกออกมาอยู่ดี “พรุ่งนี้ข้าไม่กินแล้ว เจ้าไม่ต้องต้มมาแล้ว” นางรีบดื่มน้ำตามลงไปหลายจอกทันทีเสี่ยวถิงยังคงดูแลจนเจียอีเข้านอน พอเจียอีนางหลับสนิท นางก็ถอยกลับไปนอนที่เรือนพักบ่าวที่อยู่ด้านหลังเว่ยอ๋องที่มาถึงห้องเจียอี ก็เห็นว่านางหลับไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่คิดจะปลุกนาง แต่กลับขึ้นไปซุกตัวเข้าผ้าห่มนอนลงข้างกายของนางแทน“อื้อออ” เจียอีซุกตัวเข้าหาไออุ่น เมื่อนางหันหลังหนีไม่ยอมพลิกมาทางเขา เขาจึงแย่งผ้าห่มของนางไปเสียหมด เพื่อให้นางหันมาทางเขา“หึ เป็นเจ้าเองนะที่กอดเปิ่นหวาง” เขาดึงตัวเจียอีมาสวมกอดไว้แน่น แล้วเอ่ยออกมาอย่างหน้าหนาองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของผู้เป็นนายก็แทบจะร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ “สวรรค์ ท
ระหว่างทางที่นางเดินกลับ ก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่รีบร้อนเดินมาทางนาง พอเขาเข้ามาใกล้นางจึงเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด จะเป็นผู้ใดไปได้เล่าถ้าไม่ใช่ หวงเต๋อฟาน“หยุด!!! ท่านเข้ามาด้านในได้อย่างไร” เจียอียกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาเดินเข้ามาใกล้นาง“คุณหนูรอง หย่าหย่าเล่า เห็นนางหรือไม่ นางบอกให้ข้ามาพบที่ศาลาริมน้ำ”“เช่นนั้นท่านเข้าไปรอนางก่อนแล้วกัน ข้าขอตัว” เจียอีรีบหมุนตัวกลับไปทางเรือนพักของนางให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าหากมีคนมาพบเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันในยามนี้จะเข้าใจผิดคิดว่านางลอบนัดพบกับว่าที่พี่เขยของตนเองแต่เหมือนสวรรค์จะส่งบททดสอบแรกมาให้นาง เมื่อเสียงฝีเท้าของจำนวนคนไม่น้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางที่ทั้งสองยืนอยู่“กะ อุ๊บ” เจียอีนางยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมาก็ถูกมือตะครุบปิดปากนางไว้เสียก่อนตัวของนางลอยขึ้นจากพื้นทะยานไปต้นไม้แล้วต้นไม้เล่า จนมาหยุดอยู่ที่เรือนพักของนางหวงเต๋อฟานยืนนิ่งอึ้งด้วยคนตกใจ หากเขามองไม่ผิด บุรุษที่มาพาตัวคุณหนูรองมู่ออกไป ต้องเป็นเว่ยอ๋องอย่างแน่นอน“ไหน อีอี นางอยู่ที่ใด” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับเดินเข้ามาทางหวงเต๋อฟาน แล้วมองสำรวจรอบๆ บร
เว่ยอ๋องรู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาทางเขา เขาจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นมู่เฟยหย่า พอเห็นว่าเป็นนางเขาก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที“บุตรสาวรองเจ้ากรมมู่เป็นฝาแฝดรึ” เขาหันไปเอ่ยถามขันทีข้างกาย“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูมู่เฟยหย่าแฝดคนพี่ กำลังเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายหวง ส่วนคนน้องคุณหนูมู่เจียอี บ่าวยังมิได้ข่าวเรื่องงานดูตัวของนางพ่ะย่ะค่ะ”“มู่เจียอี งั้นรึ” เว่ยอ๋องยกยิ้มที่มุมปาก แต่รอยยิ้มเช่นนี้ขันทีข้างกายได้แต่ขนลุกไปทั้งตัว ยิ้มเช่นนี้ทีไรมีเรื่องทุกทีมู่เฟยหย่าเห็นขันทีมองมาทางนางแล้วกระซิบบอกกล่าวเว่ยอ๋อง ยิ่งเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา นางก็เขินอายขึ้นมาทันที คงสนใจตัวนางเช่นบุรุษอื่นเป็นแน่เจียอีที่กลับมาถึงจวน เสี่ยวถิงก็รีบร้อนไปหาน้ำร้อนมาประคบให้นางทันที พอกลับมาถึงเรือน นางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ จึงได้เห็นรอยแดงบนหน้าผากจากคันฉ่องว่ามันบวมแดงแค่ไหน“นี่ขนาดกระจกเหลืองขนาดนี้ ยังเห็นรอยแดงชัด ถ้ากระจกใสจะเป็นเช่นใดเนี่ย” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างมีโทสะ ก่อนจะทิ้งกระจกในมือลงบนที่นอนเสี่ยวถิงประคบร้อนให้นางอยู่นานกว่ารอยบวมจะยุบลง บิดามารดา และมู่เฟยหย่าที่กลับมาจากงานเลี้ยงก็รีบมา
สวีซื่อกับรองเจ้ากรมมู่เอ่ยถามเจียอีอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใดแล้วจึงได้วางใจลง“รู้ตัวว่าเป็นไข้ เหตุใดยังมาอีก” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามเจียอีขึ้นมา นางมองที่กำไลข้อมือทั้งสองข้างและปิ่นปักผมอย่างไม่พอใจนัก“ข้าบอกท่านแม่แล้ว ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาเสียหน่อย” นางบ่นเสียงเบา ก่อนจะหันไปสนใจของว่างที่อยู่ตรงหน้าแทน หากได้มองหน้ามู่เฟยหย่าต่อ นางอาจจะเผลอโต้ตอบออกไปก็ได้“เว่ยอ๋องเสด็จ” เสียงขันทีประกาศเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ตะเกียบในมือของเจียอีกชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังของมู่เฟยหย่า เพื่อไม่ให้เขาเห็นนางนางมองสังเกตว่ามู่เฟยหย่าจะมีอาการเช่นไร และก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อดวงตาของมู่เฟยหย่าจับจ้องสนใจอยู่ที่ตัวของเว่ยอ๋องจนเขาเดินไปถึงที่นั่งนางได้เห็นทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งด้วย จึงได้ก้มหน้าลงเช่นเดิม แล้วลอบยิ้มในใจ ผู้ใดที่เห็นพี่สาวนางแล้วจะไม่ตกหลุมรักบ้างเล่า คงไม่มีแน่เชื้อพระวงศ์ ทั้งหมดเข้ามาภายในงานเลี้ยงแล้ว เสียงดนตรี และอาหารเริ่มทยอยเข้ามาด้านใน เจียอีได้แต่ก้มหน้าลงสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าของนาง หรือเงยหน้าขึ้นมามองการแสดงเป
เจียอีถูกพาไปที่ตำหนักวังหลัง ระหว่างทางเดินมีคนเดินสวนไปมาไม่น้อย เจียอีที่มัวแต่มองความงามของวังหลวงก็บังเอิญชนเข้ากับคนผู้หญิง“โอ๊ยยย” นางเซหงายหลังเกือบที่จะล้มไปกองกับพื้น แต่ถูกคว้าโอบรอบเอวไว้ก่อนที่จึงมิได้ล้มลงไป“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันมอง” นางรีบขอโทษ พร้อมทั้งดันตัวเขาออกมา“เดินเยี่ยงไร ถึงมิได้ดูทาง” เจียอีเงยหน้าขึ้นไปมองบุรุษที่ตำหนินางเสียงเย็น“เห้ยยย” นางตกใจถอยหลังหนี ด้วยรีบร้อนเกินไปจึงได้ล้มไปกองกับพื้นทันที“อย่างไรกัน คุณหนูจวนใดถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้”เจียอีถูกนางกำนัลพยุงลุกขึ้น นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของนางกำนัลทันที ความกลัวพุ่งสูงจนเหงื่อซึมออกมาตามใบหน้าและแผ่นหลัง ใบหน้าของนางซีดขาวจนนางกำนัลต้องเข้าไปประคองนางไว้“ขออภัยอีกรอบเพคะ” นางก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสบสายตาของเขา“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์กำลังทำให้คุณหนูมู่หวาดกลัวอยู่เพคะ” จางมามา นางกำนัลข้างกายของไทเฮาเอ่ยบอกเว่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเจียอีอยู่“เหอะ เปิ่นหวางเป็นปีศาจหรืออย่างไร ถึงได้หวาดกลัวเสียจะเป็นลมเช่นนี้”“หะ หามิได้เพคะ” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นออกมาเช่นนี้แล้วผู้ใดจะเชื่อว่านา