เว่ยอ๋อง เจ้าคนชั่วช้าที่สั่งลงโทษข้าเช่นนั้นรึ ในเมื่อมู่เฟยหย่ายังมิได้หมั้นหมาย ก็ให้คู่ชะตาได้พบเจอกันไปเลยก็แล้วกัน
“เจ้าไปแจ้งท่านพ่อ ท่านแม่ว่าข้าป่วยไปไม่ได้แล้ว” เจียอีล้มตัวนอนคลุมโปงต่อทันที
“คุณหนู ท่านป่วยจริงหรือเจ้าคะ ให้บ่าวไปตามหมอมาดีหรือไม่” เสี่ยวถิงร้อนใจ จนต้องรีบมาคลำตัวเจียอี
“ไม่ต้อง ข้าเพียงแค่ต้องการนอนต่อก็เท่านั้น เจ้ารีบไปบอกเถิด” เจียอีโบกมือให้เสี่ยวถิงเร่งออกไปแจ้งคนอื่น
เสี่ยวถิงเม้มปากแน่นด้วยไม่รู้จะบังคับให้คุณหนูของนางลุกจากที่นอนได้อย่างไร จึงได้แต่รีบร้อนเร่งฝีเท้าออกไปแจ้งนายท่านที่เรือนหลัก
เจียอีนอนกัดนิ้วหัวแม่มืออย่างครุ่นคิด นางแค่หลีกเลี่ยงโชคชะตาที่ต้องพบเจอคนพวกนั้นก็คงเพียงพอแล้ว หากยังคงเนื้อเรื่องเช่นเดิม นางก็เพียงปฏิเสธมู่เฟยหย่าไปก็ได้แล้วมั้ง
เพียงไม่นานเสียงฝีเท้าคนจำนวนไม่น้อยที่เร่งรีบก็มาถึงเรือนของเจียอี
“อีอี เจ้าเป็นอันใดลูก” เสียงสตรีที่คุ้นหู ทำให้เจียอีลุกขึ้นมามองทางนาง
“ท่านแม่” นางเอ่ยเรียกเสียงสั่น ความคิดถึง โหยหามารดามันเป็นเช่นนี้นี่เอง ก่อนนางจะถูกแยกร่าง นางได้แต่คิดถึงรอยยิ้มของบิดามารดา หากยังอยู่อาจจะช่วยนางได้บ้าง
“เจ้าเด็กคนนี้ มีไข้เหตุใดถึงไม่พูด” สวีซื่ออดจะตำหนิบุตรสาวไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ล้วนแต่เก็บไว้ในใจไม่ยอมเอ่ย
“เอ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน เจ้าเจ็บปวดที่ใด” สวีซื่อจับตัวเจียอีพลิกซ้ายขวา เพื่อสำรวจว่านางไม่สบายที่ไหน
“เอ่อ...ลูกเพียงแค่อยากพักต่อเจ้าค่ะ ท่านแม่ท่านพ่อ พาพี่หญิงเข้าวังเถิด วันนี้ลูกจะอยู่จวน”
“ไม่ได้ หากไม่ได้เป็นอันใดก็รีบลุกขึ้นแต่งตัว ไทเฮามิได้เจอเจ้ามานานแล้ว พระองค์กำชับนักหนาว่าวันนี้ต้องพาเจ้าไปด้วย”
ไทเฮาเป็นญาติฝั่งมารดาของมู่เจียอี ยามเด็กพระองค์โปรดเจียอีที่ช่างพูด เชื่อฟังไม่น้อย ถึงกับพาเข้าไปพักอยู่กับนางที่วังหลวงครั้งหนึ่งถึงหลายวัน
ในเมื่อไม่มีหนทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ เจียอีจำต้องลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา และถูกมารดากับเสี่ยวถิงจับแต่งตัว
พาเดินออกจากเรือนพักมา นางก็พบกับมู่เฟยหย่าระหว่างทางที่จะเดินไปที่หน้าจวน ชุดสีม่วงอ่อนไล่สีชมพูอ่อน ช่วยขับให้ผิวพรรณที่ขาวของนางยิ่งน่ามองเพิ่มไปอีก
ดวงตาหงส์ที่มองมาทางเจียอีดูเย้ายวน ส่งให้ใบหน้าของนางมีเสน่ห์เหลือร้าย เจียอีได้แต่พยักหน้าชื่นชมในใจ งามมากจริงๆ
“อีอี พี่คิดว่าเจ้าจะไม่ไปเสียแล้ว” มู่เฟยหย่าเดินเข้ามาดูน้องสาวของนาง พอเห็นชุดที่เจียอีสวมใส่ นางก็ยกยิ้มอย่างพอใจ
ชุดของเจียสี ตัวในเป็นสีชมพูอ่อน ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อขาวสลับชมพูหนาถึงสามชั้นด้วยกัน เครื่องประดับของนางก็มิได้เป็นของใหม่เช่นเดียวกับมู่เฟยหย่า
“ข้าก็มิได้อยากจะไป แต่ด้วยไทเฮาอยากพบข้า ข้าจึงเลี่ยงไม่ได้”
มู่เฟยหย่าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นคำพูดของน้องสาวที่แปลกหูไปจากเดิม
“เช่นนั้นก็ไปกันได้แล้ว” สวีซื่อเอ่ยเร่งทั้งสองให้รีบเดินไปขึ้นรถม้าที่อยู่ด้านหน้าเรือน
มู่เฟยหย่าและมู่เจียอีนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน รองเจ้ากรมมู่กับสวีซื่อนั่งรถม้าอีกคันที่วิ่งออกหน้าไปก่อนแล้ว
“อีอี วันนี้เจ้ามองหาคุณชายที่มาร่วมงานสักคนเถิด ท่านแม่เอ่ยเรื่องของหมั้นของพี่แล้ว อีกไม่นานก็คงเป็นตนของเจ้า”
เจียอีบอกมู่เฟยหย่าอย่างพิจารณา ดูเหมือนนางก็รักน้องสาวของนางไม่น้อย เหตุใดถึงได้ทำร้ายนางได้มากถึงเพียงนั้นกัน
“ข้ายังไม่คิดเรื่องออกเรือน แล้วกำหนดงานของพี่หญิงจะมีขึ้นเมื่อใด ท่านไม่คิดหรือว่าวันนี้ท่านอาจจะเจอคนที่ดีกว่าคุณชายหวงก็ได้”
“หึหึ จะมีผู้ใดดีไปกว่าพี่ฟานเล่า ข้ากับเขาปักใจรักมั่นกันมาตั้งแต่เล็ก เรื่องนี้เจ้าก็รู้” มู่เฟยหย่าลูบผมของตนเองเบาๆ ดวงตาของนางเปล่งประกายอย่างมีความสุขเมื่อเอ่ยถึงหวงเต๋อฟาน
“เว่ยอ๋องอย่างไรเล่าพี่หญิง ไม่แน่หากท่านได้เจอเขา ท่านอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
“ไม่มีทาง เจ้าไม่เคยได้ยินความโหดเหี้ยมของเว่ยอ๋องหรืออย่างไร” มู่เฟยหย่าลูบแขนที่ขนลุกของนาง
“อาจจะเป็นข่าวลือก็ได้พี่หญิง วันนี้ท่านก็จะได้เห็นเขาแล้ว จะได้รู้ว่าโหดเหี้ยมจริงหรือไม่” เจียอีหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
เพียงครู่เดียวรถม้าก็จอดลงที่หน้าพระราชวัง ทั้งหมดจะต้องเดินเท้าเข้าไปด้านในอีกเกือบลี้ ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางมาถึงกันแล้วมากมาย
คุณหนูทั้งหลายต่างแต่งกายประชันความงามกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่พอสองพี่น้องตระกูลมู่ลงมาจากรถม้า ผู้คนที่อยู่หน้าวังหลวงก็มองมาทางพวกนางอย่างสนใจ
มู่เฟยหย่างดงามดั่งนางพญา เพียงแค่นางปรายตาบุรุษที่ได้เห็นก็ล้วนแต่หัวใจเต้นระรัว มู่เจียอีที่งดงามดั่งดอกไม้งามที่น่าทะนุถนอม ดวงตาที่ยิ้มมีความสุขของนางแค่เพียงได้เห็นก็มีความสุขร่วมไปกับนางด้วยแล้ว
มู่เฟยหย่าที่เห็นสหายของนางก่อน ก็ขอตัวแยกจากครอบครัวเดินไปพร้อมกับสหายของนางทันที
“อีอี สหายของเจ้าเล่ามาหรือยัง” มู่เฟยหย่าหันมาถามเจียอี
“ข้ายังไม่เห็นเจ้าค่ะ พี่หญิงท่านไปก่อนได้เลย ข้าจะอยู่กับท่านแม่ก่อน”
“อืม เช่นนั้นก็ดูแลท่านแม่ด้วย”
เจียอีเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับมารดาของนาง รองเจ้ากรมมู่พาสองแม่ลูกไปส่งที่ที่นั่ง ก่อนจะแยกตัวไปพบสหายของเขา
“อีอี อีอี” เสียงสดใสของไป๋หรันร้องเรียกนาง
“อาหรัน” เจียอีดีใจที่ได้พบสหายของนาง จึงได้รีบลุกขึ้นเดินไปหาทันที
ไป๋หรันมีใบหน้าที่เหมือนกับอาหรันในโลกก่อน ยิ่งทำให้เจียอีตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้พบเห็น
“ไปเดินเล่นด้านนอกกันเถิด” ไป๋หรันดึงแขนของเจียอีออกไปเดินเล่นทันที
ที่สวนดอกไม้ของวังหลวงมีคุณหนูคุณชายจำนวนไม่น้อยที่ออกมาเดินเล่นพูดคุยกัน ในตอนนี้เรื่องชายหญิงพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย เริ่มเป็นที่ยอมรับแล้ว จึงไม่แปลกที่บุรุษจะมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ของฝั่งสตรี
“อีอี เจ้ารู้เรื่องที่เว่ยอ๋องเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้วหรือไม่” ไป๋หรันพาเจียอีมาหยุดนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำ
“ไม่ เพราะอันใด”
“โถ่ วันหลังเจ้าควรออกจากจวนมาเที่ยวเล่นด้านนอกบ้างเล่าถึงจะได้รู้เรื่อง ข่าวลือที่ข้าได้ยินมา เว่ยอ๋องถูกเรียกตัวกลับมาแต่งพระชายาอย่างไรเล่า”
เว่ยอ๋อง พระอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้ ถูกส่งไปเฝ้าดินแดนทางชายแดนเหนือ นับตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ทั้งยังมีส่วนร่วมในการผลักดันให้พี่ชายขึ้นนั่งบัลลังก์ได้สะดวก จากองค์ชายทั้งหลายที่คิดจะก่อกบฏ
“อืม แล้วเลือกได้แล้วหรือยัง” นางอยากจะรู้ว่าเว่ยอ๋องจะเลือกพี่สาวของนางเลยหรือไม่
“ก็งานในวันนี้อย่างไรเล่า จัดเพื่อให้เว่ยอ๋องได้ดูตัวสาวงาม”
“ข้ากลับจวนดีกว่า” เจียอีลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกจากศาลาไป พอได้ยินจุดประสงค์ที่จัดงานในวันนี้
“เดี๋ยว ประเดี๋ยวก่อน เจ้าคงไม่ซวยถูกเลือกกระมัง”
“ก็จริง ที่นั่งของเจ้าอยู่ด้านหลังใช่หรือไม่"
“ใช่ มีอันใด”
“ข้าย้ายไปนั่งกับเจ้าดีกว่า”
“มารดาเจ้าจะยอมรึ”
“ข้าจะบอกเหตุผลท่านแม่เอง”
ทั้งสองเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเรื่องคุณหนูจวนใดที่มีสิทธิ์จะได้แต่งเป็นพระชายาแทน ก่อนจะมีนางกำนัลมาเรียกเจียอีให้ไปพบไทเฮาที่ตำหนัก นางจึงได้แยกจากไป๋หรัน
วันที่นางเดินทางกลับบ้านเดิม ข้าวของที่ตำหนักอ๋องจัดเตรียมไปมอบให้บ้านพระชายาก็มากกว่าห้าคันรถม้า คนไม่น้อยที่ต่างอิจฉาในวาสนาของรองเจ้ากรมมู่ที่มีบุตรสาววาสนาดีเช่นเจียอีและอีกไม่นานตำแหน่งเสนาบดีที่ว่างอยู่คงตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่ชาวเมืองกับพวกขุนนางคิดไว้ก็ไม่ผิดไปจากนั้น เมื่อพระราชโองการแต่งตั้งรองเจ้ากรมมู่ ขึ้นเป็นเสนาบดีแทนที่ตำแหน่งของเสนาบดีกงที่ว่างอยู่ หลังจากที่เจียอีนางแต่งออกไปได้เพียงห้าวันเท่านั้นก่อนวันที่มู่เฟยหย่าจะออกเรือน เจียอีกลับไปนอนที่จวนตระกูลมู่ โดยไร้เงาเว่ยอ๋องติดตามไปด้วย เพราะน้องจะนอนกับพี่สาวของนางก่อนที่นางจะแต่งออกไป“อีอี แล้วท่านอ๋องยอมปล่อยเจ้ามาได้อย่างไร” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามน้องสาวอย่างสงสัย เมื่อได้ข่าวจากเสี่ยวถิงเรื่องที่เว่ยอ๋องเป็นเงาคอยติดตามน้องสาวของนาง“ก็ข้าจะมานอนกับพี่หญิง แล้วเขาจะมาเพื่ออันใดเล่าเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาร่วมดื่มสุรามงคลก็พอแล้ว” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้นางได้หยุดพักหายใจบ้างเถิด ในแต่ละคืนเขาเคี่ยวกรำนางไม่น้อย ยิ่งรู้ว่านางจะกลับจวนตระกูลมู่เพื่อมานอนกับมู่เฟยหย่า ก่อนวันแต่งของนางเขาก็บังคับให้นางพาเข้
เว่ยอ๋องอยู่ในชุดมงคลสีแดง ปักลายพยัคฆ์คำรามสูงส่งดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ตลอดทางนางกำนัลขันทีต่างโปรยเงินตำลึงและขนมหวานไปตลอดทางองครักษ์กองทัพพยัคฆ์ของเขาก็อยู่ในชุดมงคลสีแดงเช่นกัน ต่างแบกเกี้ยวมงคลแปดคนหามหลังใหญ่ ทั้งแบกสินสมรสที่ยาวหลายลี้เจียอีถูกจางมามา ประคองออกจากเรือนของนางมาที่ส่วนหน้า เพื่อทำพิธีกราบลาบิดามารดาเว่ยอ๋องทำทุกอย่าง อย่างเร่งรีบ ก่อนจะอุ้มเจ้าสาวไปขึ้นเกี้ยว โดยไม่รอให้น้องชายแต่งมารดาของเจียอีเดินไปส่งนางแต่ก่อนที่เขาจะวางนางลงบนเกี้ยวเขาเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวออก เพื่อดูว่าเป็นเจียอีหรือมู่เฟยหย่ากันแน่“ว้ายยยย” จางมามากรีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นเว่ยอ๋องเปิดผ้าคลุมหน้าดู ก่อนจะที่จะวางเจ้าสาวลงในเกี้ยว“ท่านนี่มัน” เจียอีทุบที่แขนของเขาอย่างมันเขี้ยว“เปิ่นหวางต้องตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน” เขายกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปิดหน้านางไว้เช่นเดิมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ตำหนักอ๋องมีฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จออกจากวังหลวงมาร่วมงานเว่ยอ๋องยังสร้างความตกตะลึงให้คนที่มาร่วมงาน เมื่อเขาประกาศสาบานต่อหน้าฟ้าดิน“ข้าเยี่ยนเซวียน สาบานต่อหน้าฟ้าดิน ทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงมู่เจียอี เป็นภ
เจียอีเดินเข้าไปโอบกอดมู่เฟยหย่าไว้แน่น พร้อมทั้งตบที่หลังของนางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“ไม่ต้องร้องแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะฝันเห็นสิ่งใด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” มู่เฟยหย่าเอ่ยขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาและร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนบ่าวที่อยู่ในเรือนอดที่จะร้องไห้เพราะสงสารคุณหนูของตนไม่ได้สุดท้ายเจียอีก็พูดจนมู่เฟยหย่ายอมรับเครื่องประดับทั้งหมดไว้ สองพี่น้องจึงได้กลับมาคุยเล่นเช่นเดิมได้อีกครั้ง เมื่อเอ่ยเรื่องที่ติดค้างในใจออกมาเว่ยอ๋องที่ถูกคุมตัวอยู่ภายใต้สายตาของไทเฮา เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่ได้แอบไปหาเจียอีนางที่เรือน“เหอะ ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่รังแกอีอีนางไปแล้วเล่า” เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องโถงไทเฮาก็เอ่ยตำหนิบุตรชายออกมาวันนั้นที่จัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จ เว่ยอ๋องหายตัวออกไปจากวังหลวงทั้งคืน กลับมาอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้ว จะไม่ให้ไทเฮาสงสัยได้อย่างไร“ลูกเป็นเช่นนั้นรึอย่างไรเล่าเสด็จแม่” เว่ยอ๋องเกาจมูกแก้เก้อ“เพ้ย ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นใด” ไทเฮาถลึงตามองบุตรชายตัวดีของนาง“เสด็จแม่ ให้ลูกกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว เมื่อไม่มีเนื้อชิ้นงามอยู่ในอ้อมแขน
นางถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม สายตาของเว่ยอ๋องมองเรือนร่างของนางอย่างปรารถนา ก่อนจะเริ่มเล้าโลมนางอีกครั้งเจียอีหลุดเสียงครางออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียวซ่านยามลิ้นร้ายของเขาเลียไปทั่วเรือนร่างของนาง นิ้วมือของเขาก็รุกเข้าไปในส่วนที่คับแคบของนางอย่างต่อเนื่อง จนเจียอีกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างสุขสมเมื่อโดนรังแกทั้งด้านบนและด้านล่างเช่นนี้เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้ว เว่ยอ๋องปลดเสื้อผ้าที่เกะกะออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะจ่อลำทวนไปที่ช่องรักของนาง เพียงส่วนหัวที่เข้าไปด้านใน เจียอีก็สะดุ้งสุดตัวไปด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ยยย เอาออกไปเถิด ข้าเจ็บ” นางร้องออกมาอย่างน่าสงสาร แต่เว่ยอ๋องจะยอมตามใจนางในเรื่องนี้ได้อย่างไร“เพียงครู่เดียวเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว” เขาค่อยๆ กดลำทวนเข้าไปช้าๆ เพื่อให้เจียอีนางปรับตัว ทั้งยังเล้าโลมนางไปด้วยเพื่อให้นางคลายความเจ็บปวด"อื้มมมม" นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อหายเจ็บปวดแต่แทนที่ด้วยความคับแน่นแทน“หายเจ็บแล้วใช่หรือไม่” เขาจูบที่ข้างริมฝีปากของนางอย่างรักใคร่“อืม” นางพยักหน้าอย่างเขินอายท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้ ทำให้เว่ยอ๋องใจอ่อนยวบ เอวหน้าเริ่มขยับทำหน้าที่ของมันอย่างรู้งาน
ตอนที่เว่ยอ๋องเดินเข้ามาในห้องขัง นางถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว เพราะมีดสั้นที่อยู่ในมือของเขา“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ใจกล้าเช่นนี้” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเหยียบเย็นที่ดูราวกับจะมาเอาชีวิตของนางไปเขาเดินช้าๆ มาหยุดนั่งย่องๆ ที่ตรงหน้าของนาง แม้แต่เสียงร้องขอชีวิตก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาได้“ยิ่งเห็นใบหน้าเจ้า เปิ่นหวางอยากจะอาเจียนออกมา”ยามที่มีดสั้นบรรจงเฉือนเนื้อส่วนใบหน้าของมู่เฟยหย่าออกทีละนิด มันแสนเจ็บปวดจนนางต้องกรีดร้องออกมา นางโดนทรมานเช่นนั้นอยู่นับสองชั่วยาม ก่อนจะมีหมอมารักษานาง เพื่อยื้อไม่ได้ตายเร็วเกินไปนางถูกทรมานจนไม่อาจนับวันคืนได้ จนวันหนึ่งนางก็จบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชภายในคุกใต้ดินของตำหนักอ๋องแม้แต่หลุมฝังศพ เว่ยอ๋องก็ไม่ยอมให้นางได้อยู่ เขาสั่งให้องครักษ์นำร่างของมู่เฟยหย่าไปโยนทิ้งที่สุสานศพไร้ญาติ โดยไม่มีการฝังแต่อย่างใด ปล่อยให้หมาป่ากัดกินเนื้อส่วนที่เหลือของนางมู่เฟยหย่าสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหอบหายใจ อยู่ที่บนเตียงของนาง เสียงกรีดร้องของนางทำให้คนในตระกูลมู่ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากวังหลวงต่างรีบร้อนเข้ามาดูนาง“หย่าหย่า เจ้าเป็นอันใด” สวีซื่อเดินเข้าไปจับ
เจียอีรีบเดินไปที่บ่อน้ำอย่างร้อนใจ นางไม่เคยพบเจอว่าผู้ใดที่แช่น้ำในบ่อแล้วจะเรียกไม่ฟื้น“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ” นางเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังประคองใบหน้าของเขาไว้แล้วตบเรียกสติเบาๆเว่ยอ๋องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในภาพฝัน เงยหน้าขึ้นมาจากหลุมศพของเจียอี แล้วมองหาเสียงเรียกของนาง“อีอี เป็นเจ้ารึ เจ้าอยู่ที่ใด” เขาลุกขึ้นมองหา โดยที่ยังได้ยินเสียงเรียกที่ร้อนใจของนางอยู่ไม่ขาด“ท่านอ๋อง ได้โปรด ลืมตาตื่นเถิดเพคะ” เจียอีจรดหน้าผากของนางติดกับหน้าผากของเว่ยอ๋อง แล้วเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่นเทาน้ำตาของเจียอีไหลรินลงที่ใบหน้าที่หลับใหลของเว่ยอ๋อง นางยังคงเอ่ยเรียกเขาไว้ไม่ขาด เพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็ลืมตาตื่นขึ้นมา“อีอีรึ” เขากะพริบตาที่พร่ามัว ด้วยไม่เชื่อว่าตรงหน้าของเขาจะเป็นนางไปได้“ท่านฟื้นเสียที” นางยิ้มออกทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพิ่งจะได้รู้ว่าต้องการเขามากเพียงใด ก็ต่อเมื่อเรียกเขาแล้วไม่มีการตอบโต้กลับ ในภพที่แล้วคู่ชะตาของเขาจะใช่นางรึไม่ ตอนนี้เจียอีไม่สนใจแล้ว นางต้องการเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พอ“อีอี เปิ่นหวางมิได้ฝันใช่หรือไม่” เขาดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น เขาแยกไม่ออกแล้วว่