สวีซื่อกับรองเจ้ากรมมู่เอ่ยถามเจียอีอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใดแล้วจึงได้วางใจลง
“รู้ตัวว่าเป็นไข้ เหตุใดยังมาอีก” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามเจียอีขึ้นมา นางมองที่กำไลข้อมือทั้งสองข้างและปิ่นปักผมอย่างไม่พอใจนัก
“ข้าบอกท่านแม่แล้ว ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาเสียหน่อย” นางบ่นเสียงเบา ก่อนจะหันไปสนใจของว่างที่อยู่ตรงหน้าแทน หากได้มองหน้ามู่เฟยหย่าต่อ นางอาจจะเผลอโต้ตอบออกไปก็ได้
“เว่ยอ๋องเสด็จ” เสียงขันทีประกาศเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ตะเกียบในมือของเจียอีกชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังของมู่เฟยหย่า เพื่อไม่ให้เขาเห็นนาง
นางมองสังเกตว่ามู่เฟยหย่าจะมีอาการเช่นไร และก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อดวงตาของมู่เฟยหย่าจับจ้องสนใจอยู่ที่ตัวของเว่ยอ๋องจนเขาเดินไปถึงที่นั่ง
นางได้เห็นทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งด้วย จึงได้ก้มหน้าลงเช่นเดิม แล้วลอบยิ้มในใจ ผู้ใดที่เห็นพี่สาวนางแล้วจะไม่ตกหลุมรักบ้างเล่า คงไม่มีแน่
เชื้อพระวงศ์ ทั้งหมดเข้ามาภายในงานเลี้ยงแล้ว เสียงดนตรี และอาหารเริ่มทยอยเข้ามาด้านใน เจียอีได้แต่ก้มหน้าลงสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าของนาง หรือเงยหน้าขึ้นมามองการแสดงเป็นบางครั้งเท่านั้น
“โอ๊ยยย” นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อถูกอะไรไม่รู้ที่หน้าผากของนาง
“อีอีเป็นอันใดไปลูก” สวีซื่อที่นั่งติดกับบุตรสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ท่านแม่” เจียอีเอามือที่กุมหน้าผากออกเพื่อให้บิดามารดาได้เห็น ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร
“สวรรค์ เจ้าโดนอันใดมา” สวีซื่อยกมือขึ้นปิดปาก รองเจ้ากรมใบหน้าเคร่งเครียดก่อนจะหันไปมองรอบข้างว่าผู้ใดที่ทำร้ายบุตรสาวของตน มู่เฟยหย่ายังตกใจจนตาค้างที่เห็นหน้าผากของเจียอีแดงก่ำ
“ข้าไม่รู้ แต่ข้าเจ็บ ข้าอยากกลับจวนแล้ว” เจียอีไม่อยากอยู่ที่วังหลวงแล้ว นางคิดว่าเกิดแต่เรื่อง ไม่รู้ว่าผู้ใดที่ดีดก้อนหินใส่หน้าผากของนาง
พอหันไปเห็นเว่ยอ๋องเลิกคิ้วมองอย่างยียวนนางจึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นเขาที่ทำร้ายนาง เว่ยอ๋องเพียงแต่ดีดเมล็ดถั่วใส่นางเท่านั้น ไม่ใช่ก้อนหินอย่างที่นางคิด เพราะเขาโมโหที่นางไม่คิดจะมองมาทางเขาเลยสักนิด แต่พอเห็นหน้าผากของนางแดงก่ำก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
“เช่นนั้น พ่อจะให้คนพาเจ้ากลับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ” เจียอียิ้มขอบคุณบิดา แต่ดูเหมือนว่ามารดาของนางยังอยากให้นางอยู่ต่อจนงานเลี้ยงจบ
เจียอีถูกเสี่ยวถิงประคองออกไปจากงานเลี้ยงอย่างเงียบๆ ผู้อื่นคิดว่านางคงไปทำธุระส่วนตัว จึงไม่ค่อยได้มีใครสนใจว่านางออกไปจากงานเลี้ยงเพื่อกลับจวน
“คุณหนู รอบ่าวตรงนี้สักครู่ บ่าวจะไปหาน้ำร้อนมาประคบให้ท่าน”
“ไม่ต้อง กลับจวนค่อยทำ” เจียอีไม่อยากจะอยู่ที่วังหลวงต่อแม้แต่นาทีเดียว
นางให้คนไปแจ้งไทเฮากับไป๋หรันว่านางกลับจวนก่อน เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย
“คุณหนูมู่ เชิญทางนี้สักครู่เถิด” แต่ก่อนที่นางจะเดินถึงหน้าประตูวังหลวง ก็มีขันทีเดินเข้ามาเอ่ยพูดกับนาง
“เอ่อ...กงกงมีเรื่องอันใดหรือไม่ พอดีข้ามิค่อยสบายจะรีบกลับจวนก่อน” เจียอียังใช้ผ้าปกปิดหน้าผากของนางไว้
“มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น”
เจียอีเม้มปากแน่น เพราะนางไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการพบตัวนาง “นำทางเถิดเจ้าค่ะ” นางถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินตามขันทีไปพร้อมกับเสี่ยวถิง
นางถูกพามาที่สวนดอกไม้ใกล้กับประตูทางออกจากวัง พอหันไปจะเอ่ยพูดคุยกับเสี่ยวถิงเพื่อรอผู้ที่ต้องการจะพบนางมาหา แต่กลับไม่เห็นเสี่ยวถิงอยู่กับนางแล้ว
เจียอีเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา จึงคิดที่จะหันกลับไปทางเดิม เพื่อไปขึ้นรถม้ากลับจวน แต่ก็ถูกฉุดมือไว้เสียก่อน
“จะรีบไปที่ใด เปิ่นหวางยังมิได้บอกให้เจ้ากลับ” เสียงเย็นด้านหลังที่เอ่ยพูดขึ้นมา ทำให้เจียอีขนหัวลุกทันที
“ทะ ท่านอ๋อง มีเรื่องใดที่จะพูดกับหม่อมฉันเพคะ” นางก้มหน้าลงเพื่อซ่อนดวงตาที่กำลังเผยความหวาดกลัวออกมา
“เงยหน้าขึ้น” เจียอีเม้มปากแน่น นางจะหนีก็ไม่ได้ มือของนางถูกเขาจับไว้แน่น
เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมที่จะเงยหน้า เว่ยอ๋องจึงเชยคางของนางขึ้น
“แดงจนอัปลักษณ์” เขาลูบรอยแดงที่หน้าผากของนาง ก็พบว่ามันบวมไม่น้อยเลยทีเดียว เว่ยอ๋องคิดว่าตนใช้แรงในการดีดไม่มากแล้วนะ แต่เหตุใดถึงได้แดงมากเช่นนี้
“ปล่อยหม่อมฉันเพคะ” เจียอีสะบัดมือของเขาออก มาว่านางอัปลักษณ์ได้อย่างไร
“อืม แรงดีไม่น้อย คงหายดีแล้ว เช่นนั้นก็กลับเข้าไปในงานเลี้ยงเถิด”
เจียอีถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เพคะ หม่อมฉันจะกลับจวน หากท่านองค์ไม่มีสิ่งใดที่จะพูด เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน” เจียอีหันหลังเดินกลับออกไปอย่างไม่พอใจ
“กรี๊ดด...อุ๊บ...” นางกรีดร้องออกมาได้เพียงนิดเดียวก็ถูกมือหนาปิดปากของนางไว้ นางถูกพลิกตัวกลับมาทางเขา
“หากยังร้องขึ้นมาอีก เปิ่นหวางจะตัดลิ้นเจ้าเสีย” แววตาของเจียอีสั่นไหวไปด้วยความกลัว นางรู้ว่าเขาพูดจริง เมื่อเห็นแววตาที่แข็งกร้าวของเขา นางจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้
“ดี” เขาปล่อยมือออกจากปากของนาง “กลับเข้าไปในงานเลี้ยง”
“แต่หม่อมฉันอยากกลับจวนแล้ว ท่านอ๋องดูหน้าผากของหม่อมฉัน เป็นท่านที่ทำให้เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่” เจียอีเริ่มจะหายกลัวเขาแต่เปลี่ยนเป็นรำคาญแทน
“ไม่เห็นจะเป็นอันใด หน้าตาเช่นเจ้าผู้ใดจะมองกัน” เขากอดอกเลยเยาะเย้ยนาง
“ท่านกลับเข้างานเลี้ยงไปก่อนเลยเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะอยู่ด้านนอกสักครู่ หากหายแดงแล้วจะกลับเข้าไป”
“หากเจ้าพูดปดรู้หรือไม่จะเกิดสิ่งใดขึ้น” เขายื่นหน้ามาใกล้นาง พร้อมทั้งขู่ให้นางหวาดกลัว
“เพคะ รู้เพคะ ว่าท่านอ๋องทำได้ทุกอย่าง”
“ดี” เว่ยอ๋องเดินหายออกไปในทันที เมื่อนางรับปากเขาแล้ว
“เหอะ ผู้ใดจะกลับเข้าไป ประสาท” เจียอีเห็นเว่ยอ๋องหายลับไปแล้วจึงกล้าพูดออกมา
นางเดินกลับไปทางประตูวังก็เห็นเสี่ยวถิงยืนรอนางพร้อมกับขันทีที่มาตามนางเมื่อครู่อย่างร้อนใจ
“ขอบคุณกงกงมากเจ้าค่ะ” นางยิ้มให้เขาเล็กน้อย แต่ดวงตาของนางไม่ได้ยิ้มไปด้วย
“มิได้ขอรับ เป็นหน้าที่ของข้าน้อย” เขาก้มหัวให้เจียอี ก่อนจะเดินห่างออกไป
“ไป กลับเถิด”
“คุณหนู ไปพบผู้ใดมาเจ้าคะ” เสี่ยวถิงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล หากนายท่านรู้ว่านางถึงคุณหนูไว้กับผู้ใดไม่รู้เพียงลำพังคงได้ถูกลงโทษอย่างแน่นอน
“คนสติไม่ค่อยดีนะ ไม่มีอันใดแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล” ทั้งสองออกจากวังหลวงและกลับไปที่จวนทันที
เว่ยอ๋องที่นั่งรอนับครึ่งชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) แล้ว แต่ไม่เห็นเจียอีนางจะกลับมา ก็มีโทสะไม่น้อย
“นางกล้านัก” เขายกสุราขึ้นดื่มติดๆ กันถึงสามจอกเพื่อดับโทสะเรื่องที่เจียอีไม่ฟังคำสั่งเขา
มู่เฟยหย่า มองเว่ยอ๋องอยู่ตลอดเวลา นางไม่คิดว่าพยัคฆ์ร้ายที่คนพูดถึงจะรูปงามเช่นนี้ ถึงหวงเต๋อฟานจะรูปงามทั้งยังเป็นรองแม่ทัพ แต่ความสง่ากับสู้เว่ยอ๋องมิได้สักนิด เพียงแค่สบตาเขาในตอนแรกนางก็ใจสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
วันที่นางเดินทางกลับบ้านเดิม ข้าวของที่ตำหนักอ๋องจัดเตรียมไปมอบให้บ้านพระชายาก็มากกว่าห้าคันรถม้า คนไม่น้อยที่ต่างอิจฉาในวาสนาของรองเจ้ากรมมู่ที่มีบุตรสาววาสนาดีเช่นเจียอีและอีกไม่นานตำแหน่งเสนาบดีที่ว่างอยู่คงตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่ชาวเมืองกับพวกขุนนางคิดไว้ก็ไม่ผิดไปจากนั้น เมื่อพระราชโองการแต่งตั้งรองเจ้ากรมมู่ ขึ้นเป็นเสนาบดีแทนที่ตำแหน่งของเสนาบดีกงที่ว่างอยู่ หลังจากที่เจียอีนางแต่งออกไปได้เพียงห้าวันเท่านั้นก่อนวันที่มู่เฟยหย่าจะออกเรือน เจียอีกลับไปนอนที่จวนตระกูลมู่ โดยไร้เงาเว่ยอ๋องติดตามไปด้วย เพราะน้องจะนอนกับพี่สาวของนางก่อนที่นางจะแต่งออกไป“อีอี แล้วท่านอ๋องยอมปล่อยเจ้ามาได้อย่างไร” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามน้องสาวอย่างสงสัย เมื่อได้ข่าวจากเสี่ยวถิงเรื่องที่เว่ยอ๋องเป็นเงาคอยติดตามน้องสาวของนาง“ก็ข้าจะมานอนกับพี่หญิง แล้วเขาจะมาเพื่ออันใดเล่าเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาร่วมดื่มสุรามงคลก็พอแล้ว” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้นางได้หยุดพักหายใจบ้างเถิด ในแต่ละคืนเขาเคี่ยวกรำนางไม่น้อย ยิ่งรู้ว่านางจะกลับจวนตระกูลมู่เพื่อมานอนกับมู่เฟยหย่า ก่อนวันแต่งของนางเขาก็บังคับให้นางพาเข้
เว่ยอ๋องอยู่ในชุดมงคลสีแดง ปักลายพยัคฆ์คำรามสูงส่งดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ตลอดทางนางกำนัลขันทีต่างโปรยเงินตำลึงและขนมหวานไปตลอดทางองครักษ์กองทัพพยัคฆ์ของเขาก็อยู่ในชุดมงคลสีแดงเช่นกัน ต่างแบกเกี้ยวมงคลแปดคนหามหลังใหญ่ ทั้งแบกสินสมรสที่ยาวหลายลี้เจียอีถูกจางมามา ประคองออกจากเรือนของนางมาที่ส่วนหน้า เพื่อทำพิธีกราบลาบิดามารดาเว่ยอ๋องทำทุกอย่าง อย่างเร่งรีบ ก่อนจะอุ้มเจ้าสาวไปขึ้นเกี้ยว โดยไม่รอให้น้องชายแต่งมารดาของเจียอีเดินไปส่งนางแต่ก่อนที่เขาจะวางนางลงบนเกี้ยวเขาเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวออก เพื่อดูว่าเป็นเจียอีหรือมู่เฟยหย่ากันแน่“ว้ายยยย” จางมามากรีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นเว่ยอ๋องเปิดผ้าคลุมหน้าดู ก่อนจะที่จะวางเจ้าสาวลงในเกี้ยว“ท่านนี่มัน” เจียอีทุบที่แขนของเขาอย่างมันเขี้ยว“เปิ่นหวางต้องตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน” เขายกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปิดหน้านางไว้เช่นเดิมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ตำหนักอ๋องมีฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จออกจากวังหลวงมาร่วมงานเว่ยอ๋องยังสร้างความตกตะลึงให้คนที่มาร่วมงาน เมื่อเขาประกาศสาบานต่อหน้าฟ้าดิน“ข้าเยี่ยนเซวียน สาบานต่อหน้าฟ้าดิน ทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงมู่เจียอี เป็นภ
เจียอีเดินเข้าไปโอบกอดมู่เฟยหย่าไว้แน่น พร้อมทั้งตบที่หลังของนางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“ไม่ต้องร้องแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะฝันเห็นสิ่งใด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” มู่เฟยหย่าเอ่ยขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาและร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนบ่าวที่อยู่ในเรือนอดที่จะร้องไห้เพราะสงสารคุณหนูของตนไม่ได้สุดท้ายเจียอีก็พูดจนมู่เฟยหย่ายอมรับเครื่องประดับทั้งหมดไว้ สองพี่น้องจึงได้กลับมาคุยเล่นเช่นเดิมได้อีกครั้ง เมื่อเอ่ยเรื่องที่ติดค้างในใจออกมาเว่ยอ๋องที่ถูกคุมตัวอยู่ภายใต้สายตาของไทเฮา เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่ได้แอบไปหาเจียอีนางที่เรือน“เหอะ ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่รังแกอีอีนางไปแล้วเล่า” เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องโถงไทเฮาก็เอ่ยตำหนิบุตรชายออกมาวันนั้นที่จัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จ เว่ยอ๋องหายตัวออกไปจากวังหลวงทั้งคืน กลับมาอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้ว จะไม่ให้ไทเฮาสงสัยได้อย่างไร“ลูกเป็นเช่นนั้นรึอย่างไรเล่าเสด็จแม่” เว่ยอ๋องเกาจมูกแก้เก้อ“เพ้ย ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นใด” ไทเฮาถลึงตามองบุตรชายตัวดีของนาง“เสด็จแม่ ให้ลูกกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว เมื่อไม่มีเนื้อชิ้นงามอยู่ในอ้อมแขน
นางถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม สายตาของเว่ยอ๋องมองเรือนร่างของนางอย่างปรารถนา ก่อนจะเริ่มเล้าโลมนางอีกครั้งเจียอีหลุดเสียงครางออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียวซ่านยามลิ้นร้ายของเขาเลียไปทั่วเรือนร่างของนาง นิ้วมือของเขาก็รุกเข้าไปในส่วนที่คับแคบของนางอย่างต่อเนื่อง จนเจียอีกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างสุขสมเมื่อโดนรังแกทั้งด้านบนและด้านล่างเช่นนี้เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้ว เว่ยอ๋องปลดเสื้อผ้าที่เกะกะออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะจ่อลำทวนไปที่ช่องรักของนาง เพียงส่วนหัวที่เข้าไปด้านใน เจียอีก็สะดุ้งสุดตัวไปด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ยยย เอาออกไปเถิด ข้าเจ็บ” นางร้องออกมาอย่างน่าสงสาร แต่เว่ยอ๋องจะยอมตามใจนางในเรื่องนี้ได้อย่างไร“เพียงครู่เดียวเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว” เขาค่อยๆ กดลำทวนเข้าไปช้าๆ เพื่อให้เจียอีนางปรับตัว ทั้งยังเล้าโลมนางไปด้วยเพื่อให้นางคลายความเจ็บปวด"อื้มมมม" นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อหายเจ็บปวดแต่แทนที่ด้วยความคับแน่นแทน“หายเจ็บแล้วใช่หรือไม่” เขาจูบที่ข้างริมฝีปากของนางอย่างรักใคร่“อืม” นางพยักหน้าอย่างเขินอายท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้ ทำให้เว่ยอ๋องใจอ่อนยวบ เอวหน้าเริ่มขยับทำหน้าที่ของมันอย่างรู้งาน
ตอนที่เว่ยอ๋องเดินเข้ามาในห้องขัง นางถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว เพราะมีดสั้นที่อยู่ในมือของเขา“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ใจกล้าเช่นนี้” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเหยียบเย็นที่ดูราวกับจะมาเอาชีวิตของนางไปเขาเดินช้าๆ มาหยุดนั่งย่องๆ ที่ตรงหน้าของนาง แม้แต่เสียงร้องขอชีวิตก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาได้“ยิ่งเห็นใบหน้าเจ้า เปิ่นหวางอยากจะอาเจียนออกมา”ยามที่มีดสั้นบรรจงเฉือนเนื้อส่วนใบหน้าของมู่เฟยหย่าออกทีละนิด มันแสนเจ็บปวดจนนางต้องกรีดร้องออกมา นางโดนทรมานเช่นนั้นอยู่นับสองชั่วยาม ก่อนจะมีหมอมารักษานาง เพื่อยื้อไม่ได้ตายเร็วเกินไปนางถูกทรมานจนไม่อาจนับวันคืนได้ จนวันหนึ่งนางก็จบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชภายในคุกใต้ดินของตำหนักอ๋องแม้แต่หลุมฝังศพ เว่ยอ๋องก็ไม่ยอมให้นางได้อยู่ เขาสั่งให้องครักษ์นำร่างของมู่เฟยหย่าไปโยนทิ้งที่สุสานศพไร้ญาติ โดยไม่มีการฝังแต่อย่างใด ปล่อยให้หมาป่ากัดกินเนื้อส่วนที่เหลือของนางมู่เฟยหย่าสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหอบหายใจ อยู่ที่บนเตียงของนาง เสียงกรีดร้องของนางทำให้คนในตระกูลมู่ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากวังหลวงต่างรีบร้อนเข้ามาดูนาง“หย่าหย่า เจ้าเป็นอันใด” สวีซื่อเดินเข้าไปจับ
เจียอีรีบเดินไปที่บ่อน้ำอย่างร้อนใจ นางไม่เคยพบเจอว่าผู้ใดที่แช่น้ำในบ่อแล้วจะเรียกไม่ฟื้น“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ” นางเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังประคองใบหน้าของเขาไว้แล้วตบเรียกสติเบาๆเว่ยอ๋องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในภาพฝัน เงยหน้าขึ้นมาจากหลุมศพของเจียอี แล้วมองหาเสียงเรียกของนาง“อีอี เป็นเจ้ารึ เจ้าอยู่ที่ใด” เขาลุกขึ้นมองหา โดยที่ยังได้ยินเสียงเรียกที่ร้อนใจของนางอยู่ไม่ขาด“ท่านอ๋อง ได้โปรด ลืมตาตื่นเถิดเพคะ” เจียอีจรดหน้าผากของนางติดกับหน้าผากของเว่ยอ๋อง แล้วเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่นเทาน้ำตาของเจียอีไหลรินลงที่ใบหน้าที่หลับใหลของเว่ยอ๋อง นางยังคงเอ่ยเรียกเขาไว้ไม่ขาด เพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็ลืมตาตื่นขึ้นมา“อีอีรึ” เขากะพริบตาที่พร่ามัว ด้วยไม่เชื่อว่าตรงหน้าของเขาจะเป็นนางไปได้“ท่านฟื้นเสียที” นางยิ้มออกทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพิ่งจะได้รู้ว่าต้องการเขามากเพียงใด ก็ต่อเมื่อเรียกเขาแล้วไม่มีการตอบโต้กลับ ในภพที่แล้วคู่ชะตาของเขาจะใช่นางรึไม่ ตอนนี้เจียอีไม่สนใจแล้ว นางต้องการเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พอ“อีอี เปิ่นหวางมิได้ฝันใช่หรือไม่” เขาดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น เขาแยกไม่ออกแล้วว่