ตลอดทั้งวันเจียอี ได้แต่นั่งคิดถึงเรื่องความฝันเมื่อคืนของเธอ จนไม่ได้ลุกออกจากห้องไปด้านนอกเลย ป้าตงได้แต่นำอาหาร ของว่างเข้ามาให้เธอด้านในห้อง กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป เพราะไม่เคยนอนจนเรียกไม่ตื่นแบบนี้มาก่อน
“คุณหนูออกไปเที่ยวเล่นไหมคะ ป้าจะให้ลุงฟางเตรียมรถ” ป้าตงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ค่ะ หนูอยากอยู่บ้าน ป้าตงมีงานอะไรก็ไปทำได้เลยค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เธอยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเพื่อไม่อยากให้ป้าตงต้องมากังวลเรื่องของเธอจนไม่อาจจะปลีกตัวไปทำงานได้
“ถ้างั้น เย็นนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“อาหารของป้าอร่อยทุกอย่าง ทำอะไรมาหนูก็กินทั้งนั้นค่ะ”
“ได้ค่ะ วันนี้ป้าจะทำมื้อใหญ่ให้เลยค่ะ”
พอป้าตงออกจากห้องไป เจียอีก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เธอหันข้างนอนเล่นปิ่นมรกตในมือ “หรือเป็นเพราะปิ่น ฉันถึงได้ฝันเรื่องบ้าบอแบบนี้” เพียงแค่คิดถึงความฝัน ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความกลัวออกมา
ยิ่งตอนที่ถูกม้าทั้งห้าตัวแยกร่าง เจียอีก็กลัวจนใบหน้าซีดขาว เธอยังจำความรู้สึกตอนที่แขนขาขาดออกจากร่างกายได้ดี ส่วนหัวเป็นส่วนที่ถูกกระชากออกไปเป็นอย่างสุดท้าย ความเจ็บปวดที่แสนสาหัส เธอกลัวว่าจะกลับไปฝันแบบนั้นอีก
“จะนอนก็กลัวจะฝัน แล้วจะไปที่ไหนดี” ระหว่างที่หมุนปิ่นเล่นและคิดว่าจะโทรหาอาหรันเพื่อออกไปพักที่บ้านของเธอ หรือจะชวนอาหรันไปเที่ยวที่อื่นดี
ตัวของเจียอีก็ไปปรากฏอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว เธอล้มไปกองอยู่บนพื้นที่โล่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ศาลาริมน้ำที่งดงามมองเห็นทิวเขาที่อยู่ด้านหลัง ด้านข้างมีบ่อน้ำภายในมีดอกบัวบานอยู่หลายหลากสี
บ้านพักโบราณที่ด้านตะวันออกมีอยู่หลายหลังเลยทีเดียว เจียอีตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย เธอไม่แม้แต่จะกล้าลุกขึ้นยืน ได้แต่มองสำรวจไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงมาโผล่ที่แห่งนี้ได้ ในมือของเธอยังกำปิ่นปักผมไว้แน่นอีกด้วย
“ที่ไหนเนี่ย” ภายในใจเริ่มหวาดกลัวถึงที่สุด เธอไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ไง แม้จะสวยงามแต่ก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน แล้วเข้ามาได้ยังไง
“มาแล้วรึ”
เจียอีสะดุ้งสุดตัว เธอหันไปตามเสียงพูดของหญิงสาวที่พูดขึ้น
“ที่นี่ที่ไหน ฉันเข้ามาได้ไง แล้วคุณเป็นใคร ทำไมหน้าเหมือนฉัน” เธอถอยหลังผงะไปเมื่อเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนเธออย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ข้าก็คือเจ้า เจียอี เจ้าเป็นเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้า เดิมทีก็สมควรจะผนึกอยู่รวมกัน แต่เพราะสวรรค์ทำเรื่องผิดพลาด เสี้ยวจิตวิญญาณของข้าอีกส่วนหนึ่งก็คือเจ้า ถึงได้ไปเกิดในภพที่เจ้าอยู่ในตอนนี้”
“ห๊า คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็จริง เจ้าในตอนนี้ไม่มีความทรงจำใดเหลืออยู่” นางเดินเข้ามาใกล้เจียอีที่ยังนั่งอยู่ที่พื้น พร้อมกับใช้นิ้วมือที่เรียวงามของนางชี้ไปที่กึ่งกลางหว่างคิ้วของเจียอี
แสงสีขาวปรากฏขึ้น จนเจียอีไม่อาจจะลืมตาขึ้นมาดูสิ่งที่อยู่รอบด้านใน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ พลันปรากฏขึ้นในความทรงจำของเธอ
เจียอีเป็นหนึ่งในเทพที่อยู่บนสวรรค์ นางต้องลงมาผ่านด่านเคราะห์ เพื่อเลื่อนขั้น แต่ความผิดพลาดในครั้งนั้นทำให้เสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณเกิดการถูกแบ่งขึ้น
ส่วนที่เป็นอารมณ์เด็ดเดี่ยว กล้าหาญถูกแบ่งไปใส่ร่างของเจียอีที่เกิดในภพปัจจุบัน มู่เจียอีที่อยู่ในภพโบราณตามแต่ตนที่นางต้องลงไปจุติ ทำให้มีเพียงแค่อารมณ์อ่อนหวาน อ่อนแอ มิกล้าตัดสินใจจะปฏิเสธสิ่งใด
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถูกรวมเข้ากับความรู้สึกนึกคิดของเจียอี ยามนี้ความผิดหวัง โกรธแค้นที่มู่เจียอีได้รับ เจียอีในตอนนี้เธอก็รับรู้ได้เช่นกัน
ดวงตาของเจียอีเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง อยากจะปฏิเสธความทรงจำที่ได้รับของมู่เจียอีที่กำลังไหลรวมเข้าสู่ร่างกายของเธอ
“พอ พอ แล้ว ฉันไม่อยากจะรับรู้แล้ว” เธอตะโกนสั่งให้หญิงสาวตรงหน้าหยุดการกระทำของเธอลง
แต่ไม่อาจจะหยุดภาพ ความรู้สึกที่ไหลเข้ามาดั่งสายน้ำได้ นานแค่ไหนไม่รู้ที่เจียอีดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้น
เธอนอนนิ่งปล่อยให้น้ำตาของเธอไหลออกอย่างห้ามไม่อยู่
“เธอจะต้องการให้ฉันรับรู้เพื่ออะไร” เธอเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวด
“เจ้าต้องกลับไป เพื่อแก้ไขเรื่องราว”
“ไม่ ชีวิตฉันในตอนนี้ดีอยู่แล้ว” แม้จะรับรู้ได้แล้วว่ามู่เจียอีคือตัวเธอในภพโบราณ แต่ก็ไม่อยากกลับไปเจอหน้าคนที่ทำเรื่องเลวร้ายกับเธออีกแล้ว
“เจียอี ไม่เช่นนั้น จิตวิญญาณของเจ้าจะแตกสลายไม่อาจจะรวมเข้ากันได้ ตัวเจ้าจะมิได้กลับคืนสู่สวรรค์”
เจียอีเงยหน้าขึ้นเหม่อมองผืนฟ้าอย่างครุ่นคิด “แล้วเรื่องในภพนี้ของฉันจะเป็นยังไง” เธอยังมีครอบครัวของเธอที่นี่
“เรื่องของเจ้าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“หมายความว่ายังไง” เจียอีลุกขึ้นนั่งมองมาที่หญิงสาวตรงหน้าอย่างสงสัย
“ตัวตนของเจ้าจะหายไปจากโลกใบนั้น ครอบครัวของเจ้าจะลืมเลือนถึงการมีอยู่ของเจ้าไป”
“ได้ยังไง ฉันเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่จะจำไม่ได้เลยเหรอว่าเคยมีฉันเกิดมา” นางตื่นตระหนกไม่เข้าใจว่าจะเป็นไปได้ยังไง
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น เรื่องที่เจ้าต้องทำมีเพียงสิ่งเดียว อย่าได้เดินตามเส้นทางเดิม อย่าได้ทำให้ตนเองมีนามในบันทึกว่าเป็นสตรีชั่วช้า”
เจียอีเบิกตากว้าง ไม่คิดว่ามู่เจียอีจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสตรีชั่วช้า
“แล้วนี่ ที่ไหน” นางเอ่ยถามออกมา เมื่อไม่รู้จะพูดเรื่องไหนแล้ว
“เดิมทีที่แห่งนี้ก็เป็นของเจ้า” นางมองไปรอบๆ อย่างโหยหา
“แล้วมันจะติดตัวฉันไปด้วยไหม”
“ไม่”
“ไม่ได้ ฉันจะเอาไปด้วย ไหนเธอบอกว่าเป็นความผิดของสวรรค์ที่แยกเสี้ยวจิตวิญญาณออก ยังไงก็ต้องชดเชยให้กันบ้าง”
“หึหึ ค่อยสมกับเป็นเจ้าเสียหน่อย อย่าให้ผู้ใดรู้ได้เล่าว่าเจ้ามีมิติ อีอี เจ้าต้องไปแล้ว มิเช่นนั้นจะมิอาจรวบรวมจิตวิญญาณได้อีก”
“ไม่มีเวลาให้ฉันทำใจก่อนเลยรึไง”
“ไม่ทันแล้ว” นางโบกมือเพียงครั้งเดียว เจียอีก็หายไปทันที
“คุณหนู ตื่นเร็วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงใครอีก แล้วตอนนี้ฉันมาอยู่ที่ไหนแล้ว เจียอีค่อยๆ หรี่ตาขึ้นเพื่อมองสิ่งที่อยู่รอบตัว
ภพเลือนรางที่ได้เห็น มีสตรีนางหนึ่งเขย่าเรียกตัวเธอที่นอนอยู่เบาๆ นางสวมใส่เสื้อผ้าในยุคโบราณ เจียอีถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าตอนนี้ได้ย้อนกลับมาแล้ว
ความทรงจำของมู่เจียอีค่อยๆ ฉายชัดขึ้น มู่เจียอีในวัยสิบห้าปี นางเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาได้เพียงไม่ถึงเดือน ตอนนี้มู่เฟยหย่านางก็ยังไม่ได้หมั้นหมายกับหวงเต๋อฟาน เพียงแต่มีการพูดคุยกันเรื่องแลกเปลี่ยนเทียบชะตาไปบ้างแล้ว
“อืม จะรีบตื่นไปที่ใด” เจียอีเบิกตากว้าง แม้แต่คำพูดที่นางใช้ก็กลับไปเป็นคำพูดโบราณโดยอัตโนมัติ
“โถ่ คุณหนูวันนี้คุณหนูต้องเดินทางเข้าวังหลวงพร้อมนายท่านกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
“ไปเพื่ออันใด” เจียอีพยุงตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง
นางหันไปมอง เสี่ยวถิง อย่างสนใจ สาวใช้ข้างกายของมู่เจียอี เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างกายของนางจนถึงวันที่นางถูกห้าม้าแยก และคงเป็นคนเดียวที่ร้องไห้จนแทบขาดใจอยู่ด้านข้างไม่ไกลจากนาง
“คุณหนู!!! ท่านมีไข้หรือไม่เจ้าคะ วันนี้เว่ยอ๋องเดินทางกลับเมืองหลวง ทางวังหลวงจัดงานเลี้ยงต้อนรับ มีตระกูลขุนนางในเมืองหลวงเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมงานนี้ เมื่อวานท่านยังยินดีอยู่เลยเจ้าค่ะ เหตุใดเช้านี้ถึงได้ลืมเสียแล้ว”
เว่ยอ๋องที่เห็นว่านางยังดื้อรั้นจึงได้จุมพิตนางอีกครั้ง เพื่อเตือนนางว่าอย่าได้ขัดใจเขา “โอ๊ยย” นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาขบริมฝีปากที่ปิดแน่นของนาง“เจ้าดื้อกับเปิ่นหวางเอง อีอี” เขาตะโบมจุมพิตนางอย่างดุดัน ทั้งยังจับยึดตัวของนางไว้ให้ดิ้นรนถอยหนี“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเปิ่นหวางตามหาเจ้าตลอด”“ยะ อย่า” นางเอ่ยขอร้องเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนของเขาปลดเชือกที่รัดเอวของนางออก“ขออภัย” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนาง เพื่อปรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้สงบลง แต่กลิ่นกายของนางก็ราวกับเป็นกำหนัดชั้นดี ยิ่งสูดดมเขายิ่งอยากจะรังแกนางเสียในคืนนี้เลย“ท่านอ๋อง” เจียอีเอ่ยเรียกเสียงเบา เมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เริ่มถี่ขึ้นของเขา“อีอี เจ้าทรมานเปิ่นหวาง” เขาดูดเม้มที่ติ่งหูของนาง“เป็นท่านเองที่ทำตัวเอง กลับไปได้แล้ว” นางดันตัวเขาที่คร่อมทับนางอยู่ออก เพราะดูเหมือนส่วนล่างของเขาจะพร้อมรบเสียแล้ว“ช่วยเปิ่นหวางได้หรือไม่” เขามองนางอย่างอ้อนวอน“ไปหอคณิกาเลย” นางเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา“ไม่เอา ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว” เขาจับมือน้อยๆ ของนางอย่างแฝงไปด้วยความหมาย“ไม่ได้ ไม่เอา” นางดึงมือกลับ แต่กลับถูกเขาดึงฉ
มื้อเย็นเจียอีนางก็ยังมิได้ออกไปทานที่เรือนหลัก นางยังคงทานที่เรือนของตนเองเช่นเดิม“ข้าต้องกินอีกแล้วรึ” นางมองถ้วยยาน้ำสีดำที่ทั้งเหม็นทั้งขม จากมือของเสี่ยวถิงที่ยื่นมาตรงปากของนาง“กินเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้แข็งแรงเร็วๆ” เสี่ยวถิงจ่อไปให้ถึงปากของนาง เหลือเพียงแค่บีบปากแล้วกรอกยาลงไปเจียอีจำต้องรีบกลืนลงคอไปให้เร็วที่สุด แต่อย่างไรนางก็เกือบจะอ้วกออกมาอยู่ดี “พรุ่งนี้ข้าไม่กินแล้ว เจ้าไม่ต้องต้มมาแล้ว” นางรีบดื่มน้ำตามลงไปหลายจอกทันทีเสี่ยวถิงยังคงดูแลจนเจียอีเข้านอน พอเจียอีนางหลับสนิท นางก็ถอยกลับไปนอนที่เรือนพักบ่าวที่อยู่ด้านหลังเว่ยอ๋องที่มาถึงห้องเจียอี ก็เห็นว่านางหลับไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่คิดจะปลุกนาง แต่กลับขึ้นไปซุกตัวเข้าผ้าห่มนอนลงข้างกายของนางแทน“อื้อออ” เจียอีซุกตัวเข้าหาไออุ่น เมื่อนางหันหลังหนีไม่ยอมพลิกมาทางเขา เขาจึงแย่งผ้าห่มของนางไปเสียหมด เพื่อให้นางหันมาทางเขา“หึ เป็นเจ้าเองนะที่กอดเปิ่นหวาง” เขาดึงตัวเจียอีมาสวมกอดไว้แน่น แล้วเอ่ยออกมาอย่างหน้าหนาองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของผู้เป็นนายก็แทบจะร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ “สวรรค์ ท
ระหว่างทางที่นางเดินกลับ ก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่รีบร้อนเดินมาทางนาง พอเขาเข้ามาใกล้นางจึงเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด จะเป็นผู้ใดไปได้เล่าถ้าไม่ใช่ หวงเต๋อฟาน“หยุด!!! ท่านเข้ามาด้านในได้อย่างไร” เจียอียกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาเดินเข้ามาใกล้นาง“คุณหนูรอง หย่าหย่าเล่า เห็นนางหรือไม่ นางบอกให้ข้ามาพบที่ศาลาริมน้ำ”“เช่นนั้นท่านเข้าไปรอนางก่อนแล้วกัน ข้าขอตัว” เจียอีรีบหมุนตัวกลับไปทางเรือนพักของนางให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าหากมีคนมาพบเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันในยามนี้จะเข้าใจผิดคิดว่านางลอบนัดพบกับว่าที่พี่เขยของตนเองแต่เหมือนสวรรค์จะส่งบททดสอบแรกมาให้นาง เมื่อเสียงฝีเท้าของจำนวนคนไม่น้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางที่ทั้งสองยืนอยู่“กะ อุ๊บ” เจียอีนางยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมาก็ถูกมือตะครุบปิดปากนางไว้เสียก่อนตัวของนางลอยขึ้นจากพื้นทะยานไปต้นไม้แล้วต้นไม้เล่า จนมาหยุดอยู่ที่เรือนพักของนางหวงเต๋อฟานยืนนิ่งอึ้งด้วยคนตกใจ หากเขามองไม่ผิด บุรุษที่มาพาตัวคุณหนูรองมู่ออกไป ต้องเป็นเว่ยอ๋องอย่างแน่นอน“ไหน อีอี นางอยู่ที่ใด” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับเดินเข้ามาทางหวงเต๋อฟาน แล้วมองสำรวจรอบๆ บร
เว่ยอ๋องรู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาทางเขา เขาจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นมู่เฟยหย่า พอเห็นว่าเป็นนางเขาก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที“บุตรสาวรองเจ้ากรมมู่เป็นฝาแฝดรึ” เขาหันไปเอ่ยถามขันทีข้างกาย“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูมู่เฟยหย่าแฝดคนพี่ กำลังเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายหวง ส่วนคนน้องคุณหนูมู่เจียอี บ่าวยังมิได้ข่าวเรื่องงานดูตัวของนางพ่ะย่ะค่ะ”“มู่เจียอี งั้นรึ” เว่ยอ๋องยกยิ้มที่มุมปาก แต่รอยยิ้มเช่นนี้ขันทีข้างกายได้แต่ขนลุกไปทั้งตัว ยิ้มเช่นนี้ทีไรมีเรื่องทุกทีมู่เฟยหย่าเห็นขันทีมองมาทางนางแล้วกระซิบบอกกล่าวเว่ยอ๋อง ยิ่งเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา นางก็เขินอายขึ้นมาทันที คงสนใจตัวนางเช่นบุรุษอื่นเป็นแน่เจียอีที่กลับมาถึงจวน เสี่ยวถิงก็รีบร้อนไปหาน้ำร้อนมาประคบให้นางทันที พอกลับมาถึงเรือน นางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ จึงได้เห็นรอยแดงบนหน้าผากจากคันฉ่องว่ามันบวมแดงแค่ไหน“นี่ขนาดกระจกเหลืองขนาดนี้ ยังเห็นรอยแดงชัด ถ้ากระจกใสจะเป็นเช่นใดเนี่ย” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างมีโทสะ ก่อนจะทิ้งกระจกในมือลงบนที่นอนเสี่ยวถิงประคบร้อนให้นางอยู่นานกว่ารอยบวมจะยุบลง บิดามารดา และมู่เฟยหย่าที่กลับมาจากงานเลี้ยงก็รีบมา
สวีซื่อกับรองเจ้ากรมมู่เอ่ยถามเจียอีอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใดแล้วจึงได้วางใจลง“รู้ตัวว่าเป็นไข้ เหตุใดยังมาอีก” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามเจียอีขึ้นมา นางมองที่กำไลข้อมือทั้งสองข้างและปิ่นปักผมอย่างไม่พอใจนัก“ข้าบอกท่านแม่แล้ว ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาเสียหน่อย” นางบ่นเสียงเบา ก่อนจะหันไปสนใจของว่างที่อยู่ตรงหน้าแทน หากได้มองหน้ามู่เฟยหย่าต่อ นางอาจจะเผลอโต้ตอบออกไปก็ได้“เว่ยอ๋องเสด็จ” เสียงขันทีประกาศเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ตะเกียบในมือของเจียอีกชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังของมู่เฟยหย่า เพื่อไม่ให้เขาเห็นนางนางมองสังเกตว่ามู่เฟยหย่าจะมีอาการเช่นไร และก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อดวงตาของมู่เฟยหย่าจับจ้องสนใจอยู่ที่ตัวของเว่ยอ๋องจนเขาเดินไปถึงที่นั่งนางได้เห็นทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งด้วย จึงได้ก้มหน้าลงเช่นเดิม แล้วลอบยิ้มในใจ ผู้ใดที่เห็นพี่สาวนางแล้วจะไม่ตกหลุมรักบ้างเล่า คงไม่มีแน่เชื้อพระวงศ์ ทั้งหมดเข้ามาภายในงานเลี้ยงแล้ว เสียงดนตรี และอาหารเริ่มทยอยเข้ามาด้านใน เจียอีได้แต่ก้มหน้าลงสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าของนาง หรือเงยหน้าขึ้นมามองการแสดงเป
เจียอีถูกพาไปที่ตำหนักวังหลัง ระหว่างทางเดินมีคนเดินสวนไปมาไม่น้อย เจียอีที่มัวแต่มองความงามของวังหลวงก็บังเอิญชนเข้ากับคนผู้หญิง“โอ๊ยยย” นางเซหงายหลังเกือบที่จะล้มไปกองกับพื้น แต่ถูกคว้าโอบรอบเอวไว้ก่อนที่จึงมิได้ล้มลงไป“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันมอง” นางรีบขอโทษ พร้อมทั้งดันตัวเขาออกมา“เดินเยี่ยงไร ถึงมิได้ดูทาง” เจียอีเงยหน้าขึ้นไปมองบุรุษที่ตำหนินางเสียงเย็น“เห้ยยย” นางตกใจถอยหลังหนี ด้วยรีบร้อนเกินไปจึงได้ล้มไปกองกับพื้นทันที“อย่างไรกัน คุณหนูจวนใดถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้”เจียอีถูกนางกำนัลพยุงลุกขึ้น นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของนางกำนัลทันที ความกลัวพุ่งสูงจนเหงื่อซึมออกมาตามใบหน้าและแผ่นหลัง ใบหน้าของนางซีดขาวจนนางกำนัลต้องเข้าไปประคองนางไว้“ขออภัยอีกรอบเพคะ” นางก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสบสายตาของเขา“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์กำลังทำให้คุณหนูมู่หวาดกลัวอยู่เพคะ” จางมามา นางกำนัลข้างกายของไทเฮาเอ่ยบอกเว่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเจียอีอยู่“เหอะ เปิ่นหวางเป็นปีศาจหรืออย่างไร ถึงได้หวาดกลัวเสียจะเป็นลมเช่นนี้”“หะ หามิได้เพคะ” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นออกมาเช่นนี้แล้วผู้ใดจะเชื่อว่านา