ตลอดทั้งวันเจียอี ได้แต่นั่งคิดถึงเรื่องความฝันเมื่อคืนของเธอ จนไม่ได้ลุกออกจากห้องไปด้านนอกเลย ป้าตงได้แต่นำอาหาร ของว่างเข้ามาให้เธอด้านในห้อง กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป เพราะไม่เคยนอนจนเรียกไม่ตื่นแบบนี้มาก่อน
“คุณหนูออกไปเที่ยวเล่นไหมคะ ป้าจะให้ลุงฟางเตรียมรถ” ป้าตงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ค่ะ หนูอยากอยู่บ้าน ป้าตงมีงานอะไรก็ไปทำได้เลยค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เธอยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเพื่อไม่อยากให้ป้าตงต้องมากังวลเรื่องของเธอจนไม่อาจจะปลีกตัวไปทำงานได้
“ถ้างั้น เย็นนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“อาหารของป้าอร่อยทุกอย่าง ทำอะไรมาหนูก็กินทั้งนั้นค่ะ”
“ได้ค่ะ วันนี้ป้าจะทำมื้อใหญ่ให้เลยค่ะ”
พอป้าตงออกจากห้องไป เจียอีก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เธอหันข้างนอนเล่นปิ่นมรกตในมือ “หรือเป็นเพราะปิ่น ฉันถึงได้ฝันเรื่องบ้าบอแบบนี้” เพียงแค่คิดถึงความฝัน ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความกลัวออกมา
ยิ่งตอนที่ถูกม้าทั้งห้าตัวแยกร่าง เจียอีก็กลัวจนใบหน้าซีดขาว เธอยังจำความรู้สึกตอนที่แขนขาขาดออกจากร่างกายได้ดี ส่วนหัวเป็นส่วนที่ถูกกระชากออกไปเป็นอย่างสุดท้าย ความเจ็บปวดที่แสนสาหัส เธอกลัวว่าจะกลับไปฝันแบบนั้นอีก
“จะนอนก็กลัวจะฝัน แล้วจะไปที่ไหนดี” ระหว่างที่หมุนปิ่นเล่นและคิดว่าจะโทรหาอาหรันเพื่อออกไปพักที่บ้านของเธอ หรือจะชวนอาหรันไปเที่ยวที่อื่นดี
ตัวของเจียอีก็ไปปรากฏอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว เธอล้มไปกองอยู่บนพื้นที่โล่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ศาลาริมน้ำที่งดงามมองเห็นทิวเขาที่อยู่ด้านหลัง ด้านข้างมีบ่อน้ำภายในมีดอกบัวบานอยู่หลายหลากสี
บ้านพักโบราณที่ด้านตะวันออกมีอยู่หลายหลังเลยทีเดียว เจียอีตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย เธอไม่แม้แต่จะกล้าลุกขึ้นยืน ได้แต่มองสำรวจไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงมาโผล่ที่แห่งนี้ได้ ในมือของเธอยังกำปิ่นปักผมไว้แน่นอีกด้วย
“ที่ไหนเนี่ย” ภายในใจเริ่มหวาดกลัวถึงที่สุด เธอไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ไง แม้จะสวยงามแต่ก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน แล้วเข้ามาได้ยังไง
“มาแล้วรึ”
เจียอีสะดุ้งสุดตัว เธอหันไปตามเสียงพูดของหญิงสาวที่พูดขึ้น
“ที่นี่ที่ไหน ฉันเข้ามาได้ไง แล้วคุณเป็นใคร ทำไมหน้าเหมือนฉัน” เธอถอยหลังผงะไปเมื่อเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนเธออย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ข้าก็คือเจ้า เจียอี เจ้าเป็นเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้า เดิมทีก็สมควรจะผนึกอยู่รวมกัน แต่เพราะสวรรค์ทำเรื่องผิดพลาด เสี้ยวจิตวิญญาณของข้าอีกส่วนหนึ่งก็คือเจ้า ถึงได้ไปเกิดในภพที่เจ้าอยู่ในตอนนี้”
“ห๊า คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็จริง เจ้าในตอนนี้ไม่มีความทรงจำใดเหลืออยู่” นางเดินเข้ามาใกล้เจียอีที่ยังนั่งอยู่ที่พื้น พร้อมกับใช้นิ้วมือที่เรียวงามของนางชี้ไปที่กึ่งกลางหว่างคิ้วของเจียอี
แสงสีขาวปรากฏขึ้น จนเจียอีไม่อาจจะลืมตาขึ้นมาดูสิ่งที่อยู่รอบด้านใน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ พลันปรากฏขึ้นในความทรงจำของเธอ
เจียอีเป็นหนึ่งในเทพที่อยู่บนสวรรค์ นางต้องลงมาผ่านด่านเคราะห์ เพื่อเลื่อนขั้น แต่ความผิดพลาดในครั้งนั้นทำให้เสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณเกิดการถูกแบ่งขึ้น
ส่วนที่เป็นอารมณ์เด็ดเดี่ยว กล้าหาญถูกแบ่งไปใส่ร่างของเจียอีที่เกิดในภพปัจจุบัน มู่เจียอีที่อยู่ในภพโบราณตามแต่ตนที่นางต้องลงไปจุติ ทำให้มีเพียงแค่อารมณ์อ่อนหวาน อ่อนแอ มิกล้าตัดสินใจจะปฏิเสธสิ่งใด
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถูกรวมเข้ากับความรู้สึกนึกคิดของเจียอี ยามนี้ความผิดหวัง โกรธแค้นที่มู่เจียอีได้รับ เจียอีในตอนนี้เธอก็รับรู้ได้เช่นกัน
ดวงตาของเจียอีเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง อยากจะปฏิเสธความทรงจำที่ได้รับของมู่เจียอีที่กำลังไหลรวมเข้าสู่ร่างกายของเธอ
“พอ พอ แล้ว ฉันไม่อยากจะรับรู้แล้ว” เธอตะโกนสั่งให้หญิงสาวตรงหน้าหยุดการกระทำของเธอลง
แต่ไม่อาจจะหยุดภาพ ความรู้สึกที่ไหลเข้ามาดั่งสายน้ำได้ นานแค่ไหนไม่รู้ที่เจียอีดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้น
เธอนอนนิ่งปล่อยให้น้ำตาของเธอไหลออกอย่างห้ามไม่อยู่
“เธอจะต้องการให้ฉันรับรู้เพื่ออะไร” เธอเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวด
“เจ้าต้องกลับไป เพื่อแก้ไขเรื่องราว”
“ไม่ ชีวิตฉันในตอนนี้ดีอยู่แล้ว” แม้จะรับรู้ได้แล้วว่ามู่เจียอีคือตัวเธอในภพโบราณ แต่ก็ไม่อยากกลับไปเจอหน้าคนที่ทำเรื่องเลวร้ายกับเธออีกแล้ว
“เจียอี ไม่เช่นนั้น จิตวิญญาณของเจ้าจะแตกสลายไม่อาจจะรวมเข้ากันได้ ตัวเจ้าจะมิได้กลับคืนสู่สวรรค์”
เจียอีเงยหน้าขึ้นเหม่อมองผืนฟ้าอย่างครุ่นคิด “แล้วเรื่องในภพนี้ของฉันจะเป็นยังไง” เธอยังมีครอบครัวของเธอที่นี่
“เรื่องของเจ้าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“หมายความว่ายังไง” เจียอีลุกขึ้นนั่งมองมาที่หญิงสาวตรงหน้าอย่างสงสัย
“ตัวตนของเจ้าจะหายไปจากโลกใบนั้น ครอบครัวของเจ้าจะลืมเลือนถึงการมีอยู่ของเจ้าไป”
“ได้ยังไง ฉันเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่จะจำไม่ได้เลยเหรอว่าเคยมีฉันเกิดมา” นางตื่นตระหนกไม่เข้าใจว่าจะเป็นไปได้ยังไง
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น เรื่องที่เจ้าต้องทำมีเพียงสิ่งเดียว อย่าได้เดินตามเส้นทางเดิม อย่าได้ทำให้ตนเองมีนามในบันทึกว่าเป็นสตรีชั่วช้า”
เจียอีเบิกตากว้าง ไม่คิดว่ามู่เจียอีจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสตรีชั่วช้า
“แล้วนี่ ที่ไหน” นางเอ่ยถามออกมา เมื่อไม่รู้จะพูดเรื่องไหนแล้ว
“เดิมทีที่แห่งนี้ก็เป็นของเจ้า” นางมองไปรอบๆ อย่างโหยหา
“แล้วมันจะติดตัวฉันไปด้วยไหม”
“ไม่”
“ไม่ได้ ฉันจะเอาไปด้วย ไหนเธอบอกว่าเป็นความผิดของสวรรค์ที่แยกเสี้ยวจิตวิญญาณออก ยังไงก็ต้องชดเชยให้กันบ้าง”
“หึหึ ค่อยสมกับเป็นเจ้าเสียหน่อย อย่าให้ผู้ใดรู้ได้เล่าว่าเจ้ามีมิติ อีอี เจ้าต้องไปแล้ว มิเช่นนั้นจะมิอาจรวบรวมจิตวิญญาณได้อีก”
“ไม่มีเวลาให้ฉันทำใจก่อนเลยรึไง”
“ไม่ทันแล้ว” นางโบกมือเพียงครั้งเดียว เจียอีก็หายไปทันที
“คุณหนู ตื่นเร็วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงใครอีก แล้วตอนนี้ฉันมาอยู่ที่ไหนแล้ว เจียอีค่อยๆ หรี่ตาขึ้นเพื่อมองสิ่งที่อยู่รอบตัว
ภพเลือนรางที่ได้เห็น มีสตรีนางหนึ่งเขย่าเรียกตัวเธอที่นอนอยู่เบาๆ นางสวมใส่เสื้อผ้าในยุคโบราณ เจียอีถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าตอนนี้ได้ย้อนกลับมาแล้ว
ความทรงจำของมู่เจียอีค่อยๆ ฉายชัดขึ้น มู่เจียอีในวัยสิบห้าปี นางเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาได้เพียงไม่ถึงเดือน ตอนนี้มู่เฟยหย่านางก็ยังไม่ได้หมั้นหมายกับหวงเต๋อฟาน เพียงแต่มีการพูดคุยกันเรื่องแลกเปลี่ยนเทียบชะตาไปบ้างแล้ว
“อืม จะรีบตื่นไปที่ใด” เจียอีเบิกตากว้าง แม้แต่คำพูดที่นางใช้ก็กลับไปเป็นคำพูดโบราณโดยอัตโนมัติ
“โถ่ คุณหนูวันนี้คุณหนูต้องเดินทางเข้าวังหลวงพร้อมนายท่านกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
“ไปเพื่ออันใด” เจียอีพยุงตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง
นางหันไปมอง เสี่ยวถิง อย่างสนใจ สาวใช้ข้างกายของมู่เจียอี เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างกายของนางจนถึงวันที่นางถูกห้าม้าแยก และคงเป็นคนเดียวที่ร้องไห้จนแทบขาดใจอยู่ด้านข้างไม่ไกลจากนาง
“คุณหนู!!! ท่านมีไข้หรือไม่เจ้าคะ วันนี้เว่ยอ๋องเดินทางกลับเมืองหลวง ทางวังหลวงจัดงานเลี้ยงต้อนรับ มีตระกูลขุนนางในเมืองหลวงเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมงานนี้ เมื่อวานท่านยังยินดีอยู่เลยเจ้าค่ะ เหตุใดเช้านี้ถึงได้ลืมเสียแล้ว”
วันที่นางเดินทางกลับบ้านเดิม ข้าวของที่ตำหนักอ๋องจัดเตรียมไปมอบให้บ้านพระชายาก็มากกว่าห้าคันรถม้า คนไม่น้อยที่ต่างอิจฉาในวาสนาของรองเจ้ากรมมู่ที่มีบุตรสาววาสนาดีเช่นเจียอีและอีกไม่นานตำแหน่งเสนาบดีที่ว่างอยู่คงตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่ชาวเมืองกับพวกขุนนางคิดไว้ก็ไม่ผิดไปจากนั้น เมื่อพระราชโองการแต่งตั้งรองเจ้ากรมมู่ ขึ้นเป็นเสนาบดีแทนที่ตำแหน่งของเสนาบดีกงที่ว่างอยู่ หลังจากที่เจียอีนางแต่งออกไปได้เพียงห้าวันเท่านั้นก่อนวันที่มู่เฟยหย่าจะออกเรือน เจียอีกลับไปนอนที่จวนตระกูลมู่ โดยไร้เงาเว่ยอ๋องติดตามไปด้วย เพราะน้องจะนอนกับพี่สาวของนางก่อนที่นางจะแต่งออกไป“อีอี แล้วท่านอ๋องยอมปล่อยเจ้ามาได้อย่างไร” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามน้องสาวอย่างสงสัย เมื่อได้ข่าวจากเสี่ยวถิงเรื่องที่เว่ยอ๋องเป็นเงาคอยติดตามน้องสาวของนาง“ก็ข้าจะมานอนกับพี่หญิง แล้วเขาจะมาเพื่ออันใดเล่าเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาร่วมดื่มสุรามงคลก็พอแล้ว” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้นางได้หยุดพักหายใจบ้างเถิด ในแต่ละคืนเขาเคี่ยวกรำนางไม่น้อย ยิ่งรู้ว่านางจะกลับจวนตระกูลมู่เพื่อมานอนกับมู่เฟยหย่า ก่อนวันแต่งของนางเขาก็บังคับให้นางพาเข้
เว่ยอ๋องอยู่ในชุดมงคลสีแดง ปักลายพยัคฆ์คำรามสูงส่งดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ตลอดทางนางกำนัลขันทีต่างโปรยเงินตำลึงและขนมหวานไปตลอดทางองครักษ์กองทัพพยัคฆ์ของเขาก็อยู่ในชุดมงคลสีแดงเช่นกัน ต่างแบกเกี้ยวมงคลแปดคนหามหลังใหญ่ ทั้งแบกสินสมรสที่ยาวหลายลี้เจียอีถูกจางมามา ประคองออกจากเรือนของนางมาที่ส่วนหน้า เพื่อทำพิธีกราบลาบิดามารดาเว่ยอ๋องทำทุกอย่าง อย่างเร่งรีบ ก่อนจะอุ้มเจ้าสาวไปขึ้นเกี้ยว โดยไม่รอให้น้องชายแต่งมารดาของเจียอีเดินไปส่งนางแต่ก่อนที่เขาจะวางนางลงบนเกี้ยวเขาเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวออก เพื่อดูว่าเป็นเจียอีหรือมู่เฟยหย่ากันแน่“ว้ายยยย” จางมามากรีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นเว่ยอ๋องเปิดผ้าคลุมหน้าดู ก่อนจะที่จะวางเจ้าสาวลงในเกี้ยว“ท่านนี่มัน” เจียอีทุบที่แขนของเขาอย่างมันเขี้ยว“เปิ่นหวางต้องตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน” เขายกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปิดหน้านางไว้เช่นเดิมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ตำหนักอ๋องมีฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จออกจากวังหลวงมาร่วมงานเว่ยอ๋องยังสร้างความตกตะลึงให้คนที่มาร่วมงาน เมื่อเขาประกาศสาบานต่อหน้าฟ้าดิน“ข้าเยี่ยนเซวียน สาบานต่อหน้าฟ้าดิน ทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงมู่เจียอี เป็นภ
เจียอีเดินเข้าไปโอบกอดมู่เฟยหย่าไว้แน่น พร้อมทั้งตบที่หลังของนางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“ไม่ต้องร้องแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะฝันเห็นสิ่งใด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” มู่เฟยหย่าเอ่ยขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาและร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนบ่าวที่อยู่ในเรือนอดที่จะร้องไห้เพราะสงสารคุณหนูของตนไม่ได้สุดท้ายเจียอีก็พูดจนมู่เฟยหย่ายอมรับเครื่องประดับทั้งหมดไว้ สองพี่น้องจึงได้กลับมาคุยเล่นเช่นเดิมได้อีกครั้ง เมื่อเอ่ยเรื่องที่ติดค้างในใจออกมาเว่ยอ๋องที่ถูกคุมตัวอยู่ภายใต้สายตาของไทเฮา เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่ได้แอบไปหาเจียอีนางที่เรือน“เหอะ ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่รังแกอีอีนางไปแล้วเล่า” เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องโถงไทเฮาก็เอ่ยตำหนิบุตรชายออกมาวันนั้นที่จัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จ เว่ยอ๋องหายตัวออกไปจากวังหลวงทั้งคืน กลับมาอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้ว จะไม่ให้ไทเฮาสงสัยได้อย่างไร“ลูกเป็นเช่นนั้นรึอย่างไรเล่าเสด็จแม่” เว่ยอ๋องเกาจมูกแก้เก้อ“เพ้ย ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นใด” ไทเฮาถลึงตามองบุตรชายตัวดีของนาง“เสด็จแม่ ให้ลูกกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว เมื่อไม่มีเนื้อชิ้นงามอยู่ในอ้อมแขน
นางถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม สายตาของเว่ยอ๋องมองเรือนร่างของนางอย่างปรารถนา ก่อนจะเริ่มเล้าโลมนางอีกครั้งเจียอีหลุดเสียงครางออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียวซ่านยามลิ้นร้ายของเขาเลียไปทั่วเรือนร่างของนาง นิ้วมือของเขาก็รุกเข้าไปในส่วนที่คับแคบของนางอย่างต่อเนื่อง จนเจียอีกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างสุขสมเมื่อโดนรังแกทั้งด้านบนและด้านล่างเช่นนี้เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้ว เว่ยอ๋องปลดเสื้อผ้าที่เกะกะออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะจ่อลำทวนไปที่ช่องรักของนาง เพียงส่วนหัวที่เข้าไปด้านใน เจียอีก็สะดุ้งสุดตัวไปด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ยยย เอาออกไปเถิด ข้าเจ็บ” นางร้องออกมาอย่างน่าสงสาร แต่เว่ยอ๋องจะยอมตามใจนางในเรื่องนี้ได้อย่างไร“เพียงครู่เดียวเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว” เขาค่อยๆ กดลำทวนเข้าไปช้าๆ เพื่อให้เจียอีนางปรับตัว ทั้งยังเล้าโลมนางไปด้วยเพื่อให้นางคลายความเจ็บปวด"อื้มมมม" นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อหายเจ็บปวดแต่แทนที่ด้วยความคับแน่นแทน“หายเจ็บแล้วใช่หรือไม่” เขาจูบที่ข้างริมฝีปากของนางอย่างรักใคร่“อืม” นางพยักหน้าอย่างเขินอายท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้ ทำให้เว่ยอ๋องใจอ่อนยวบ เอวหน้าเริ่มขยับทำหน้าที่ของมันอย่างรู้งาน
ตอนที่เว่ยอ๋องเดินเข้ามาในห้องขัง นางถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว เพราะมีดสั้นที่อยู่ในมือของเขา“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ใจกล้าเช่นนี้” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเหยียบเย็นที่ดูราวกับจะมาเอาชีวิตของนางไปเขาเดินช้าๆ มาหยุดนั่งย่องๆ ที่ตรงหน้าของนาง แม้แต่เสียงร้องขอชีวิตก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาได้“ยิ่งเห็นใบหน้าเจ้า เปิ่นหวางอยากจะอาเจียนออกมา”ยามที่มีดสั้นบรรจงเฉือนเนื้อส่วนใบหน้าของมู่เฟยหย่าออกทีละนิด มันแสนเจ็บปวดจนนางต้องกรีดร้องออกมา นางโดนทรมานเช่นนั้นอยู่นับสองชั่วยาม ก่อนจะมีหมอมารักษานาง เพื่อยื้อไม่ได้ตายเร็วเกินไปนางถูกทรมานจนไม่อาจนับวันคืนได้ จนวันหนึ่งนางก็จบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชภายในคุกใต้ดินของตำหนักอ๋องแม้แต่หลุมฝังศพ เว่ยอ๋องก็ไม่ยอมให้นางได้อยู่ เขาสั่งให้องครักษ์นำร่างของมู่เฟยหย่าไปโยนทิ้งที่สุสานศพไร้ญาติ โดยไม่มีการฝังแต่อย่างใด ปล่อยให้หมาป่ากัดกินเนื้อส่วนที่เหลือของนางมู่เฟยหย่าสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหอบหายใจ อยู่ที่บนเตียงของนาง เสียงกรีดร้องของนางทำให้คนในตระกูลมู่ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากวังหลวงต่างรีบร้อนเข้ามาดูนาง“หย่าหย่า เจ้าเป็นอันใด” สวีซื่อเดินเข้าไปจับ
เจียอีรีบเดินไปที่บ่อน้ำอย่างร้อนใจ นางไม่เคยพบเจอว่าผู้ใดที่แช่น้ำในบ่อแล้วจะเรียกไม่ฟื้น“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ” นางเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังประคองใบหน้าของเขาไว้แล้วตบเรียกสติเบาๆเว่ยอ๋องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในภาพฝัน เงยหน้าขึ้นมาจากหลุมศพของเจียอี แล้วมองหาเสียงเรียกของนาง“อีอี เป็นเจ้ารึ เจ้าอยู่ที่ใด” เขาลุกขึ้นมองหา โดยที่ยังได้ยินเสียงเรียกที่ร้อนใจของนางอยู่ไม่ขาด“ท่านอ๋อง ได้โปรด ลืมตาตื่นเถิดเพคะ” เจียอีจรดหน้าผากของนางติดกับหน้าผากของเว่ยอ๋อง แล้วเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่นเทาน้ำตาของเจียอีไหลรินลงที่ใบหน้าที่หลับใหลของเว่ยอ๋อง นางยังคงเอ่ยเรียกเขาไว้ไม่ขาด เพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็ลืมตาตื่นขึ้นมา“อีอีรึ” เขากะพริบตาที่พร่ามัว ด้วยไม่เชื่อว่าตรงหน้าของเขาจะเป็นนางไปได้“ท่านฟื้นเสียที” นางยิ้มออกทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพิ่งจะได้รู้ว่าต้องการเขามากเพียงใด ก็ต่อเมื่อเรียกเขาแล้วไม่มีการตอบโต้กลับ ในภพที่แล้วคู่ชะตาของเขาจะใช่นางรึไม่ ตอนนี้เจียอีไม่สนใจแล้ว นางต้องการเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พอ“อีอี เปิ่นหวางมิได้ฝันใช่หรือไม่” เขาดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น เขาแยกไม่ออกแล้วว่