แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: กระต่ายน้อยใต้ดวงจันทร์
ขนตาเจียงเฟิ่งหัวไหวระริก ใบหน้าเล็กๆ นั้นอดกลั้นจนแดงก่ำ นิ้วมือเรียวกระชับชุดชั้นนอกที่เดิมก็บางเบาอยู่แล้ว ยิ่งปกปิดยิ่งเผยให้เห็นเรือนร่างกลมกลึงของนาง เท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นเปิดเผยอยู่เบื้องหน้าเขา ชวนให้คนเอ็นดูเหมือนภูตน้อยไม่มีผิด

เซี่ยซางรีบเสสายตาหนี เอ่ยเสียงเย็นชา “แต่งตัวให้เรียบร้อย”

เจียงเฟิ่งหัวก้มหน้ามอง พบว่าเท้าของตนเองเปลือยเปล่า นางบิดเอวคอดเดินผ่านหน้าเขาไป ด้านหนึ่งดึงอาภรณ์ลงปกปิดอย่างร้อนรน ด้านหนึ่งก็อธิบายเสียงเบา “หม่อมฉันไม่ได้ไม่รู้กฎระเบียบนะเพคะ ท่านอ๋องโปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน ตอนกลางวันชุดชั้นนอกของหม่อมฉันถูกไฟเผา หม่อมฉันเกรงว่าจะแลดูไม่เหมาะสม ครั้นกลับห้องหม่อมฉันจึงให้คนไปเตรียมน้ำอาบน้ำ เดิมคิดว่าจะแต่งตัวใหม่ แต่อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปจึงเผลอหลับไปโดยไม่ทันระวัง หม่อมฉันจึงลืมเวลาไปชั่วขณะ”

“ข้าไม่ได้ถือสา” น้ำเสียงของเขาห่างเหินเย็นชา แววตามืดครึ้มเผยให้เห็นความไม่พอใจ

นางคิด สำหรับคนที่ไม่สนใจแล้ว ต่อให้เปลือยทั้งตัว เขาก็ไม่สนใจหรอก

เจียงเฟิ่งหัวดวงตาเป็นประกาย นางหลบไปข้างๆ อย่างอ่อนแอขวัญอ่อน ดวงตาฉายแววลังเล กัดริมฝีปากสีแดงฉ่ำพึมพำว่า “พิธีในวันมงคลสมรสที่วังหมัวมัวสอนไว้...”

มองสาวน้อยท่าทางอ่อนแอขลาดเขลาตรงหน้า เห็นทีตนเองคงทำให้นางหวาดกลัวเสียแล้ว ความเย็นชาในแววตาของเขาสลายไปเล็กน้อย ปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบลง “เจ้านั่งลง”

“เชิญท่านอ๋องนั่งลงก่อนเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวยิ้มบาง

รอยยิ้มบนใบหน้านางราวกับสามารถติดต่อถึงผู้อื่นได้ ทำให้หัวใจเขาพลันสั่นสะท้าน

เซี่ยซางตีหน้าขรึมนั่งลงบนขอบเตียง เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่มองนาง รักษาความเย็นชาแข็งกระด้างบนใบหน้าไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ

เจียงเฟิ่งหัวแสร้งเป็นมองไม่เห็นความห่างเหินของเขา นั่งลงข้างกายเขาอย่างไร้ข้อกริ่งเกรงใดๆ ใบหน้าซับสีเลือดฝาด “วังหมัวมัวบอกว่า...”

“ไม่ต้องฟังตามที่วังหมัวมัวพูด ตอนนี้ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” เซี่ยซางตัดบทนาง ประกายคมกริบวาบผ่านดวงตา วังหมัวมัวก็คือสายตาของเสด็จแม่ที่คอยสอดแนมเขาอยู่ทุกขณะ

“เชิญท่านอ๋องพูดเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวหยุดพูดทันที ดวงตาเป็นประกายมองไปทางบุรุษข้างกายอย่างไร้เดียงสา

เซี่ยซางมีรูปโฉมหล่อเหลาโดยแท้ บนศีรษะครอบมงกุฎฝังหยกหรูหราสูงศักดิ์ คิ้วกระบี่นัยน์ตาพราว หางตาเรียวยาว แลดูองอาจเหนือคนทั่วไป จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆ แผ่ซ่านความห่างเหินเย็นชาออกมา

เครื่องหน้าที่ราวกับแกะสลักออกมามีเหลี่ยมมุมชัดเจน หล่อเหลาคมคายเหนือสามัญ ไม่แปลกที่ชาติก่อนนางรักเขาดุจชีวิต น่าเสียดายที่ในใจเขามีคนอื่นไปนานแล้ว จึงไม่อาจรองรับคนอื่นได้อีก

ตอนนี้สำหรับนางแล้ว เซี่ยซางเป็นได้เพียงหินรองเท้าในการไขว่คว้าอำนาจของนางเท่านั้น นางไม่มีทางมีความรู้สึกใด ๆ ให้เขาอีกแล้ว

ทว่าบุรุษรูปงามก็มีแรงดึงดูดมากจริงๆ นางเข้าใกล้เขาโดยไม่ทันระวัง

เซี่ยซางสัมผัสได้ทันทีว่าเจียงเฟิ่งหัวขยับเข้ามาใกล้ เสื้อคลุมชั้นนอกของนางพลันคลายออก ข้างในสวมเพียงชุดผ้าเนื้อบางสีแดงชุดเดียว เรือนกายอรชรปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ เขาผุดลุกขึ้นมา ยึดถือหนักแน่นว่าคนที่ตนเองรักคือซูถิงหว่าน

สีหน้าของเขาเย็นชาขึ้นมาในบัดดล น้ำเสียงไร้ความรู้สึกและไม่แยแส “ข้ามีคนที่ชอบแล้ว ทั้งยังสัญญาไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะชอบนางเพียงคนเดียว นอกจากนาง หัวใจข้าก็ไม่อาจรองรับสตรีคนที่สองได้อีก ดังนั้นข้าไม่มีทางร่วมหอกับเจ้า สิ่งที่วังหมัวมัวบอกเจ้าล้วนแต่เป็นเรื่องผิดพลาด มีเพียงคนที่รักใคร่กันจากใจจริงเท่านั้นจึงจะสามารถเปิดใจไปทำเรื่องแบบนั้นได้”

เจียงเฟิ่งหัวเบิกตาโพลง สีหน้าสงบนิ่งไร้ระลอก นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่แท้ท่านอ๋องก็มีคนที่ชอบแล้วนี่เอง!”

ลมปากของผู้ชายเชื่อถือไม่ได้ที่สุดแล้ว หลังจากเซี่ยซางขึ้นครองบัลลังก์ก็เติมเต็มวังหลัง ราชวงศ์ไม่อนุญาตให้เขาโปรดปรานคนเพียงคนเดียว วันหน้าเขาจะรู้เองว่าความจริงโหดร้ายแค่ไหน ความรักของเขากับซูถิงหว่านเล็กจ้อยเพียงใด

ดวงตาของนางสะท้อนความสับสนงงงวย บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เอ่ยเนิบช้าว่า “ตั้งแต่ราชโองการประทานสมรสส่งมาถึงจวนสกุลเจียง ท่านแม่ก็บอกข้าว่าข้าสามารถชอบท่านอ๋องได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าก่อนนี้ข้าไม่เคยเห็นท่านอ๋องแล้วจะชอบท่านอ๋องได้อย่างไร ในเมื่อท่านอ๋องมีนางในดวงใจแล้วก็ควรไปสู่ขอนางมาสิเพคะ!”

ความหมายของนางก็คือ ท่านมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่ไม่มีความสามารถไปสู่ขอ เกี่ยวอันใดกับข้า? ข้าไม่ได้ชอบท่านสักหน่อย แต่ที่แต่งงานกับท่านก็เพราะไม่อาจปฏิเสธราชโองการได้ก็เท่านั้นแหละ

นางต้องการบอกเขาว่า นางไม่ได้เจตนาเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาสองคน นางได้รับราชโองการประทานสมรสให้แต่งงานเข้ามาเป็นพระชายาในจวนเหิงอ๋อง

นางรู้จักเซี่ยซางดี ต่อหน้าเขา ทางที่ดีตนเองควรเป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ความอยากเอาชนะของบุรุษรุนแรงกว่าที่คาดคิดกันมากนัก

เซี่ยซางตกตะลึงต่อปฏิกิริยาตอบสนองของนาง ในแววตาเต็มไปด้วยความค้นหา ที่นางเข้าใกล้โดยไร้สาเหตุเมื่อครู่ ไม่ใช่เพราะว่าต้องการหรอกหรือ?

ทว่าดวงตาของนางแจ่มกระจ่างเปิดเผย สีหน้าปราศจากความผิดปกติใดใด กลับเป็นตนเองเสียอีกที่จิตใจว้าวุ่นเพราะการประชิดเข้ามาของนาง

ครั้นคิดว่าเจียงเฟิ่งหัวเป็นชายาของเขาแล้ว ได้ยินว่าสามีชอบสตรีอื่น นางกลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย หรือจะเป็นดังที่นางว่า นางไม่ชอบเขา ดังนั้นจึงไม่ถือสา

เขายืนยันอีกครั้ง “เจ้าไม่ถือสาที่นางจะเข้าจวนมาจริงๆ?”

“สามารถทำให้ท่านอ๋องหลงรักได้จะต้องเป็นสตรีที่ดีมากแน่นอน เหตุใดหม่อมฉันต้องถือสาด้วยเพคะ วังหมัวมัวบอกว่าในเมื่อเป็นชายาของท่านอ๋องแล้วก็ต้องเอาใส่ใจเรื่องทายาทของจวนอ๋องเข้าไว้ หน้าที่ของชายาเอกยังรวมถึงการคัดเลือกสตรีที่เหมาะสมเข้าจวนมาปรนนิบัติท่านอ๋อง ต่อไปหม่อมฉันจะต้องใส่ใจให้มากแน่นอนเพคะ” ไม่เห็นด้วยแล้วอย่างไรเล่า ร้องไห้ไปได้ประโยชน์อันใดขึ้นมา สามวันหลังจากนี้ท่านก็ยังจะแต่งนางเข้าจวนมาอยู่ดี ข้าปล่อยตามน้ำผูกน้ำใจไว้เสียมิดีกว่าหรือ ชาตินี้ข้าก็อยากเห็นกับตาตัวเองเหมือนกันว่าระหว่างท่านกับซูถิงหว่านมีความรักหนักแน่นมั่นคงเพียงไร

เซี่ยซางเห็นคิ้วนางเข้มดุจภาพวาด น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล ใบหน้าสงบไร้ระลอก แววตาจริงใจ สีหน้าไร้ความผิดปกติ ราวกับว่าไม่ถือสาที่สามีของตนเองมีหญิงอื่นในใจสักนิดเลยจริงๆ

แต่ได้รู้ว่าเขามีสตรีที่ชอบอยู่แล้ว ไฉนนางจึงมีท่าทางเหมือนโล่งอกเช่นนั้นเล่า

เซี่ยซางเห็นหญิงสาวสงบนิ่งปานนี้ เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ นางใจกว้างขนาดนี้จริงงั้นหรือ?

“ท่านอ๋องจะนอนแล้วใช่ไหมเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวเป็นฝ่ายถามขึ้นมา

จิตใจเซี่ยซางพลันสั่นสะท้าน “ในเมื่อคุยกันชัดเจนแล้ว ข้าก็จะไปนอนที่ห้องหนังสือ”

“ท่านอ๋องอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่มีทางทำอันใดท่านอ๋อง พวกเราเพียงแค่เข้านอนกันเท่านั้น ต่างคนต่างนอนดีไหมเพคะ?” นางเสริมมาอีกอย่างอาจหาญ “คิดว่าท่านอ๋องก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วเหมือนกัน ไยจะต้องไปทำรบกวนข้ารับใช้ให้ตกอกตกใจกันด้วย มิสู้นอนเสียที่นี่ อีกอย่าง ดึกดื่นป่านนี้แล้ว หากท่านอ๋องออกจากห้องหอในคืนแต่งงานไปนอนในห้องหนังสือตามลำพัง เกรงว่าวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันคงต้องได้ฟังวังหมัวมัวเทศนากิจของภรรยาไม่จบไม่สิ้นแน่นอนเพคะ”

เซี่ยซางฟังแล้วความนึกคิดก็รอบคอบกว่าเดิม ถึงอย่างไรเจียงเฟิ่งหัวก็เป็นคนที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสเข้ามา ไม่อาจดูดายนางเกินไป ในเมื่อนางยินดีให้แต่งหว่านเอ๋อร์เข้าจวน ทั้งยังยินดีไม่ร่วมหอ เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ไปนอนที่ห้องหนังสือ

นอกจากนี้ หากคืนนี้เขาไปแล้ว บุตรีราชครูเจียงถูกสามีหมางเมินตั้งแต่คืนวันแต่งงาน หากร่ำลือออกไป เขาเองก็ยากจะอธิบายเหมือนกัน

ขอเพียงเจียงเฟิ่งหัวรู้กาลเทศะ เขาก็จะไม่ทำให้นางลำบากใจ

“หม่อมฉันปรนนิบัติท่านอ๋องผลัดอาภรณ์นะเพคะ” นางกล่าว

“ไม่ต้อง” เซี่ยซางเบี่ยงร่างหลีกเลี่ยงนางแล้วตรงไปหลังฉากกันลม ตอนกลางวันยุ่งมาทั้งวัน ตอนเย็นยังดื่มสุราไปมากขนาดนั้น เขาเหนื่อยล้ามาแต่แรกแล้ว จำเป็นต้องไปอาบน้ำสักรอบ

เจียงเฟิ่งหัวแววตาราบเรียบ ไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย อย่างไรเสียนางก็อาบน้ำแล้ว นางไม่สนใจเซี่ยซาง ปีนขึ้นเตียง จัดท่านอนที่สบายตัวแล้วนอนหลับไปคนเดียว
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 466

    “เฮ้อ ก็ใครขอให้ฝ่ายนั้นเขามีบุตรีงดงามถึงขั้นได้เกาะบารมีรัชทายาทกันเล่า ครอบครัวพวกข้าไม่มีธิดาสักคน ชาตินี้อย่าได้วาดหวังว่าจะมีโอกาสงาม ๆ เช่นนี้เลย”“จากบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งในกรมคลัง แม้ตำแหน่งเขาจะยังไม่โดดเด่น ทว่าการใช้เส้นสายของเขากลับแย่งอาชีพทำมาหากินของคนอีกจำนวนไม่น้อยไป ตำแหน่งนี้รัชทายาทยังจัดสรรให้เขาตั้งแต่สมัยยังเป็นเหิงอ๋องด้วย”“แล้วต่อมาเขายังได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมคลัง และเป็นเพราะรัชทายาทเป็นคนเรียกตัวเขาไปร่วมศึก แค่ออกรบศึกเดียวสุดท้ายก็ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นโหวเจวี๋ยอย่างก้าวกระโดด หากมิได้เกาะชายกระโปรงอาศัยบารมีของน้องสาวคนอย่างเขาหรือจะก้าวมาถึงตำแหน่งนี้ได้”“หากต้องอาศัยเพียงความรู้ความสามารถที่แท้จริงของเขาสอบเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักจริง เกรงจะยากกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก”เพียงชั่วข้ามคืนคุณชายอันดับหนึ่งที่เคยมีพรสวรรค์สูงล้ำโดดเด่นกลับกลายเป็นคนเล่นเส้นสาย เป็นบุรุษที่อาศัยสตรีเลี้ยงดูในปากของคนอื่นไปแล้ว ไม่ต้องบอกว่าน่าอดสูเพียงใดครั้งนี้เขาสอบได้ที่สอง ทุกคนต่างก็เริ่มขยี้ตาแล้วมองเ

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 465

    วันต่อมาขณะประชุมสภาขุนนางยามเช้า พานไท่ฟู่มาถึงพระตำหนักจินหลวนด้วยอาการร้อนรนกระวนกระวาย ประสิทธิภาพการทำงานของเขารวดเร็วฉับไว ขณะเดียวกันก็นำคำให้การของหวังชิงมาด้วยพานไท่ฟู่ทำความเคารพด้วยความนบนอบ “กระหม่อมถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“ไท่ฟู่เชิญลุกขึ้นเถิด ท่านผู้เฒ่ามีเหตุอันใดจึงเข้าวังมาหรือ เฉาเต๋อเจ้ารีบไปหาที่นั่งให้พานไท่ฟู่เร็วเข้า” ฝ่าบาททรงรับสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเข้าวังมาก็เพื่อจะกราบทูลฝ่าบาทถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามสอบเคอจวี่ปีนี้พ่ะย่ะค่ะ” พานไท่ฟู่แม้อายุมากแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรงดี หัวหน้าขันทีเฉาย้ายเก้าอี้นุ่มมาให้แต่กระนั้นเขาก็มิได้ถือดีว่าตนเองอาวุโสและนั่งลงไปจริง ๆ เพียงแต่ค่อย ๆ เริ่มบรรยายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสนามสอบเมื่อวานให้อีกฝ่ายรับฟังอย่างละเอียดพวกเขาไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย ลากตัวคนที่กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครจับกุมได้เมื่อวานเข้ามาสอบปากคำทันที หนึ่งในนั้นได้กล่าวหาว่าผู้เข้าสอบนามว่าหวังชิงกระทำการทุจริตขณะสอบ กระทั่งพานไท่ฟู่ไปตรวจสอบถึงในเรือนของหวังชิงด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขายังมิได้ทำการสอบสวน

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 464  

    ท้องของนางใหญ่มากแล้วจึงได้แต่นอนตะแคง และยังจำเป็นต้องหนุนหมอนอีกใบที่หลัง มิเช่นนั้นแล้วนางจะนอนไม่สบาย นางลืมตาขึ้นมาก็เห็นเขาใกล้กันเพียงคืบ นางเลื่อนปลายนิ้วไล้ไปบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างแผ่วเบา “ท่านพี่ ท่านจำได้หรือไม่ว่านับแต่ครั้งล่าสุดพวกเราไม่ได้นอนด้วยกันแบบนี้มานานกี่วันแล้ว” “กี่วันหรือ?” เขาถาม “คงหกเจ็ดได้แล้วกระมัง!” “สิบสี่วันแล้วเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวบอกจำนวนให้เขาฟัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “วันนี้หากท่านไม่กลับมา พวกเราก็มิได้พบหน้ากันครึ่งเดือนเต็มแล้วนะเพคะ หม่อมฉันนับวันรอจะได้พบท่าน เหมือนกับตอนที่ท่านไปทำศึกครานั้นหม่อมฉันก็ได้แต่เฝ้าคิดว่าสามีของหม่อมฉันจะกลับมาเมื่อใด” “นานเพียงนี้เชียวหรือ? วันเวลาผ่านไปรวดเร็วปานนี้เชียว? หรวนหร่วน ข้าเย็นชากับเจ้าแล้ว ตอนแรกเจ้าตั้งครรภ์ข้าก็มิได้อยู่ข้างกายเจ้า บัดนี้จวนจะคลอดเต็มทีแล้ว ข้าก็ยังมิได้อยู่เคียงกายเจ้าเลย เจ้าตัวคนเดียวลำพังคงลำบากมากแน่” เขาทอดกายนอนข้างเจียงเฟิ่งหัวและหันหน้ามาทางนาง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องในวังหลวงให้ฟัง คล้ายกำลังอธิบาย “ข้าชุลมุนจนหัวหมุนแล้ว ไปถึงตำหนักไท่หัวข้าก็ยังปรับตัวไม่ค่

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 463  

    เวลานี้ เห็นเพียงแววตาของเจียงเฟิ่งหัวดูอบอุ่นอ่อนโยนลงมาก ดวงหน้างดงามเพริศพริ้งดุจบุปผา นางเอื้อนเอ่ยคำชมหวานหูออกมา “ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาสามารถองอาจห้าวหาญ เพียบพร้อมทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ กุมอำนาจทั่วใต้ผืนฟ้า สูงส่งเหนือผู้ใด โจรใจทรามไหนเลยจะหลอกลวงได้ง่าย ๆ องค์รัชทายาทของพวกเรา เปี่ยมล้นด้วยสติปัญญา ดุจสายธารดาราอันพร่างพราว กว้างใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุด เปล่งประกายทั่วใต้หล้า รัชทายาทไหนเลยจะปล่อยให้คนชั่วช้าสามานย์ได้อำนาจลอยนวลไป” กล่าวอีกนัยหนึ่งหากชาติก่อนสกุลเจียงประสบปัญหาเช่นนี้ ต่อให้เจียงเฟิ่งหัวจะพยายามพูดเพียงใดล้วนไม่เป็นประโยชน์ สกุลเจียงต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่มีทางจะพลิกฟื้นกลับมาสู่จุดเดิมได้อย่างแน่นอน ชาตินี้นางได้ครองตำแหน่งชายารัชทายาทอย่างมั่นคงแล้ว ได้รับความไว้วางพระทัยจากทั้งฝ่าบาทและองค์รัชทายาท เสียงกระซิบข้างหมอนของนางมิได้เป็นเพียงลมล่องลอยสูญเปล่า เมื่อมีอำนาจถึงจะมีสิทธิ์ในการเอ่ยวาจา บัดนี้นางมีสิทธิ์ในการเอ่ยวาจาแล้ว สิ่งนี้คือความเป็นไปของโลก ได้ฟังวาจาของเจียงเฟิ่งหัว มุมปากของเซี่ยซางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยคำชื่นช

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 462  

    แท้ที่จริงจางอวี่มั่วอยากเรียนทำอาหารจานโปรดของเจียงจิ่นเหยียนไว้ต่างหาก เจียงเฟิ่งหัวตักน้ำแกงให้เจียงจิ่นเหยียนและเซี่ยซางคนละถ้วย “กินข้าวก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันเถิด!” “หรวนหร่วน เจ้าคิดเห็นเช่นไรหรือ?” เซี่ยซางเป็นฝ่ายถามนางขึ้นมาก่อน คล้ายว่ากำลังหยั่งเชิงความคิดเห็นของนางต่อเซียวอวี้ เจียงเฟิ่งหัวเอ่ย “ข้ากำลังคิดถึงหวังชิง ชื่อของคนผู้นี้คล้ายติดอยู่ในความทรงจำ” เจียงจิ่นเหยียนถามขึ้น “เจ้ารู้จักเขาได้อย่างไร” เจียงเฟิ่งหัวเผยรอยยิ้มสบายใจให้พวกเขา “ข้าไม่รู้จักเขา และไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็คงไม่รู้ว่ามีข้าผู้นี้อยู่ด้วย ข้าจำได้ว่าเมื่อสามปีก่อนมีบัณฑิตจำนวนมากมายอยากฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านพ่อ ทว่าท่านพ่อเองก็ใช่ว่าจะรับทุกคนเป็นศิษย์ สิ่งแรกที่ให้ความสำคัญก็คือคุณธรรมความประพฤติ และหวังชิงผู้นี้ก็เหมือนกับศิษย์คนอื่น ๆ ที่อยากให้ท่านพ่อเป็นท่านอาจารย์ของเขา” “พื้นเพของหวังชิงทำการค้าขาย ร่ำรวยอู้ฟู่ ดังนั้นเขาจึงยกหีบเงินทองสองหีบมาถึงจวนสกุลเจียง ทว่ากลับถูกท่านพ่อปฏิเสธไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังดึงดัน ไม่รับเขาเป็นศิษย์ เขาก็ไม่ไป จนพวกข้าไป

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 461  

    เซี่ยซางเขี่ยปลายจมูกของนางเบา ๆ “มารดาของพวกเขาช่างมีความรู้กว้างขวางนัก แม้ตั้งครรภ์พวกเขาแต่ก็ยังชอบอ่านตำราประจำ หลังจากนี้จะต้องเลี้ยงดูสั่งสอนจนพวกเขาได้เป็นจอหงวนแน่” “หม่อมฉันศึกษาเองคงพอทำเนา แต่ให้สอนบุตรด้วยหม่อมฉันสอนไม่ได้เพคะ เช่นนี้จะทำอย่างไรดีเพคะ? มิสู้ให้ท่านพี่สอนเองเป็นอย่างไรเพคะ หม่อมฉันขอรับหน้าที่แค่ให้กำเนิดก็พอ ส่วนพวกเขาให้เป็นหน้าที่ของท่านพี่แล้วกันเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกะพริบตาอย่างแสดงความฉลาด เซี่ยซางเองก็คิดจะปัดความรับผิดชอบเหมือนกัน “บัณฑิตส่วนมากที่สอบได้ในปีนี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ของพ่อตาทั้งสิ้น ความสามารถในการให้วิชาความรู้สั่งสอนศิษย์ย่อมไม่มีผู้ใดกังขา ไม่สู้พวกเราฝากพวกเขาให้พ่อตาเป็นผู้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้เป็นอย่างไร” เจียงเฟิ่งหัวยิ้มกว้าง “ความคิดนี้ดีเพคะ อีกทั้งยังต้องหาท่านอาจารย์เก่งๆ สักคนมาสอนวิชาต่อสู้ให้เขา ร่างกายจะได้แข็งแรง หากว่าให้กำเนิดเป็นบุตรี ข้าจะสอนนางร่ายรำด้วยตัวเอง นักสังคีตและนางรำในวังยากจะอธิบายด้วยคำพูดสั้น ๆ …” สองสามีภรรยาหารือกันแล้วว่าจะดูแลเจ้าตัวน้อยที่ยังไม่เกิดออกมาอย่างไร เจียงเฟิ่งหัวเองก็เคยคิดเอาไว้แ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status