ริมฝีปากบางของเขาสัมผัสปลายจมูกนาง ดั่งลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านผิวน้ำ จนกลายเป็นระลอกน้ำแพร่กระจายการกระทำของเขาละมุนละไมอย่างที่สุด ราวกับเขาเป็นสามีที่รักมากกำลังให้ความสุขแก่ภรรยานางเรียกเสียงค่อย “ท่านอ๋อง...”“เจ้าบอกมาสิ เจ้าชอบข้าหรือไม่” น้ำเสียงเซี่ยซางแหบแห้ง ริมฝีปากกำลังถูไถอยู่ข้างหูนาง กำลังหยอกเย้านางอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้รีบร้อนจะจูบนาง ริมฝีปากวาดผ่านแก้มนางแผ่วเบา ราวกับขนนกที่ไล้ผ่านหัวใจของนางเขารู้ว่าริมฝีปากของนางอ่อนนุ่ม แต่เขาอยากได้ยินด้วยตัวเองว่านางชอบเขาเจียงเฟิ่งหัวไม่ตอบ นางปิดปากแน่น กระทั่งก้มหน้าลงเล็กน้อยไม่ให้เขาสัมผัสโดนตัวนางเซี่ยซางยังคงไม่ยินยอม เข้าไปโอบเอวนางเอาไว้ กอดนางเข้าสู่อ้อมอก มุมปากมีรอยยิ้มที่ทำให้ลุ่มหลงผุดขึ้น โน้มเข้าไปใกล้ข้างหูแล้วจงใจหยอกเย้านาง พร้อมกล่าวเสียงค่อย “ยังไม่ยอมพูดหรือ? เจ้าชอบข้าหรือไม่”น้ำตาคลออยู่ในดวงตาเจียงเฟิ่งหัว นางหลับตาแน่น กัดริมฝีปากสีชมพูพร้อมพยักหน้า “หม่อมฉันชอบท่านอ๋อง หม่อมฉันชอบท่านอ๋องนานแล้วเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกเพียงใกล้ขาดลมหายใจเพราะจูบของเขา เซี่ยซางคือยอดฝีมือด้านความรัก ไม่ร
เขาอุ้มเจียงเฟิ่งหัวลงมาจากโต๊ะ พร้อมจูบริมฝีปากนางแผ่วเบา “ข้าสามารถเรียกเจ้าว่าหรวนหร่วนเหมือนมารดาเจ้าได้กระมัง!”“แล้วแต่ท่านอ๋องเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวดิ้นออกจากอ้อมกอดเขานางเริ่มจัดแจงกระโปรงและทรงผม สีปากบนริมฝีปากก็ถูกเขากินไปแล้ว ต่อให้ไม่แต่งหน้าหรือแต่งอ่อน ๆ นางก็ยังงดงาม บริสุทธิ์หมดจด ราวกับเทพธิดาลงมาโลกมนุษย์รูปร่างนางสูงโปร่ง เรือนร่างงดงาม ก้าวเดินอรชรอ้อนแอ้น ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสวยงามนางแตกต่างกับซูถิงหว่านสิ้นเชิง ซูถิงหว่านไม่เคยสนใจเรื่องแต่งตัวเจียงเฟิ่งหัวเดินไปตรงหน้าเขา ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์ “หม่อมฉันเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะเพคะ!”เซี่ยซางถูกเจียงเฟิ่งหัวตรงหน้าดึงดูด จึงเป็นฝ่ายจูงมือนางแล้วพาเดินออกไปอู๋ซินยืนเฝ้าอยู่ข้างประตูอย่างนอบน้อม “บ่าวคารวะเหิงอ๋อง พระชายาเหิงอ๋อง”เซี่ยซางพยักหน้าพร้อมเหลือบมองเขา “หัวหน้าขันทีเฉาให้เจ้ามาหรือ”“อาจารย์รับใช้อยู่ข้างกายฝ่าบาท จึงให้บ่าวมาเรียนเชิญท่านอ๋องกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ซินกล่าวเสียงต่ำอีกครั้ง “พ่อบุญธรรมบอกว่า ฝ่าบาททรงกำลังกลัดกลุ้มเพราะคดีลักขโมยคดีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”อู๋ซินพูดมาขนาดนี้แล
หากนางเอ่ยปากออกไปว่าฝ่าบาททรงกริ้วก็เพราะนางลงชื่อในหนังสือคำร้องทุกข์ของราษฎร มิเท่ากับเป็นการกล่าวว่าฝ่าบาททรงใจแคบ ไร้เหตุผล คอยก่อความวุ่นวายหรอกหรือ เช่นนี้บารมีของโอรสสวรรค์จะอยู่ตรงไหนกัน นางมิใช่คนโง่เขลาเซี่ยซางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิด เขาไม่ยอมรับว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงจ้องเล่นงานเขาอยู่ร่ำไป เจียงเฟิ่งหัวจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงประเด็นหลัก แต่กลับเอ่ยคำพูดนี้ขึ้นมาแทนเขารู้สึกเพียงว่าเจียงเฟิ่งหัวงดงามเจิดจรัสเช่นนี้ ทำให้จิตใจของเขาใฝ่หามุมปากของฮ่องเต้ยกยิ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ช่างเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นลูกสะใภ้ที่มีไหวพริบดีเสียจริงในเวลานี้ ฮ่องเต้ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพระชายาเหิงอ๋องคือบุตรสาวของราชครูเจียง เจียงหวย บิดาของนางนั้นเป็นผู้รอบรู้จริง ๆ เจียงเฟิ่งหัวไม่ได้กล่าวถึงความผิดของเซี่ยซางแม้แต่น้อย แต่ค่อย ๆ กล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องยังเยาว์วัย หุนหันพลันแล่น เลือดร้อน มีความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ แต่เขาก็วู่วามเกินไป วิธีที่เขาแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาทก็ผิดพลาด”“หากเป็นหม่อมฉัน หม่อมฉันจะกราบทูลรายละเอียดให้เสด็จพ่อทรงทราบก่อน เสด็จพ่อทรงเปี่ยมด้วย
เจียงเฟิ่งหัวออกจากห้องทรงพระอักษร แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องที่สุสานหลวงถูกโจรกรรม นางจำได้ว่าในชาติที่แล้วสุสานหลวงก็ถูกโจรกรรมจริง ๆ ท่านพ่อเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้คร่าว ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ราชวงศ์ปกปิดเรื่องนี้เป็นอย่างดีแม้ว่านางจะเป็นพระชายาเหิงอ๋อง แต่ก็แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับเซี่ยซางเลย และยังไม่ได้รับความรักจากเซี่ยซาง นางจึงรู้เรื่องราวของเขาน้อยมากนางจำได้ว่าหลังจากที่เซี่ยซางได้เป็นรัชทายาทแล้ว เขาก็ตามหาของสิ่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลา คาดว่าน่าจะเป็นของของราชวงศ์ที่ถูกขโมยไปจากสุสานหลวงเป็นแน่ เป็นสิ่งของอะไรที่หายไป ภายหลังใช้เวลาหลายปีก็ยังหาไม่พบฮ่องเต้ทรงปิดบัง ของสำคัญนั้นคืออะไรกันแน่?เจียงเฟิ่งหัวจมอยู่กับความคิดของตัวเองตลอดเวลา กระทั่งอู๋ซินมายืนอยู่ข้าง ๆ นางโดยที่นางไม่ทันสังเกตอู๋ซินดูตื่นเต้นเล็กน้อย “อู๋ซินคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”เจียงเฟิ่งหัวมองพิจารณาเขา เขาเรียกตัวเองว่าอู๋ซิน ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นขันทีน้อยในตอนนั้น หลังจากเติบโตขึ้นมาก็ดูหล่อเหลาไม่น้อย นางเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าเฉาให้เจ้ามาส่งข้าไปที่ตำหนักคุนหนิง”“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋ซินรู้สึ
เจียงเฟิ่งหัวก้าวเท้าอย่างช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชาติที่แล้วค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในใจทีละน้อย ดวงตาของนางราวกับมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอเวลานี้ ตำหนักเฉินซีมีคนของเฉิงฮองเฮามาดูแล ดังนั้นเรือนพักอาศัยและเครื่องเรือนของที่นี่จึงยังดูใหม่มาก บริเวณโดยรอบสะอาดสะอ้าน นอกจากความสะอาดแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงความเงียบเหงาและหนาวเย็น หนาวเย็นเสียจนทำให้กระดูกของนางสั่นสะท้าน รู้สึกหนาวเหน็บในใจนางผลักประตูเรือนที่เคยอาศัยอยู่เข้าไป จากนั้นกอดแขนตัวเองเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว อยากจะก้าวเดินหนีไป เพราะชีวิตของนางในที่นี้ กลับกลายเป็นความว่างเปล่าอันยาวนาน“พระชายา ห้องบรรทมนี้กว้างขวาง ท่านสามารถพักผ่อนที่นี่ก่อนได้เพคะ” สี่หมัวมัวกล่าวภาพใบหน้าพึงพอใจของซูถิงหว่านแวบเข้ามาในหัวของนาง ‘พระชายา หม่อมฉันจัดห้องบรรทมที่กว้างขวางไว้ให้ท่านแล้ว เข้าวังมาแล้ว หม่อมฉันก็ต้องให้ท่านอยู่อย่างสุขสบาย ท่านพอใจหรือไม่?’เซี่ยซางมอบตำหนักบูรพาให้กับซูถิงหว่าน แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมเป็นนางที่จัดการ นางจะกล้าไม่พอใจได้อย่างไรที่นี่อยู่ไกลจากห้องบรรทมของเซี่ยซางมากที่สุด ดังนั้นพ
อีกด้านหนึ่ง สี่หมัวมัวกลับไปที่ตำหนักคุนหนิงแล้วก็เอ่ยปากชมเจียงเฟิ่งหัวไม่หยุด ยังนำนางไปเปรียบเทียบกับซูถิงหว่าน ชมว่าฮองเฮาทรงมีวิสัยทัศน์ที่ดีฮองเฮาตรัสว่า “นางเป็นลูกสะใภ้ที่ข้าเลือกเองกับมือ ข้าก็มองเห็นข้อนี้ แต่การที่นางได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ แสดงว่านางก็ยังพอมีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง ถ้านางทุ่มเทใจให้กับซางเอ๋อร์ ข้าจะยกย่องนางก็คงไม่เสียหายอะไร”หากไม่เป็นเช่นนั้น การละทิ้งนางก็ไม่เป็นไร ขึ้นอยู่กับว่านางมีค่าพอที่จะอยู่เคียงข้างซางเอ๋อร์หรือไม่ถึงอย่างไรก็มิใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของตน ตราบใดที่เจียงเฟิ่งหัวรักษาภาพลักษณ์ได้ดี ต่อให้นางแสร้งปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ก็ไม่เป็นไร“ซางเอ๋อร์ฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ข้าก็วางใจได้เสมอ เพียงแต่ในใจเขายังคงคิดถึงซูถิงหว่านอยู่ตลอด และยังไม่ได้ร่วมหอกับเจียงเฟิ่งหัว”สายตาของฮองเฮาเต็มไปด้วยความกังวล “ซูกุ้ยเฟยต้องการให้สตรีคนหนึ่งมาควบคุมบุตรชายของข้า ข้าจะไม่มีวันยอมให้นางสมหวัง ในเมื่อเจียงเฟิ่งหัวเข้าวังมาแล้ว ก็ให้นางทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด”สี่หมัวมัวกลอกตา “ไม่มีพระชายารองซูอยู่ ก็เป็นโอกาสให้ท่านอ๋
แล้วก็ไม่รู้ว่าเจียงเฟิ่งหัวทำอย่างไร เฉิงฮองเฮาเสด็จเข้าไปในตำหนักเฉินซีแล้วก็ไม่ได้เสด็จออกมาอีกเลย ประตูตำหนักปิดอยู่ตลอด ดูลึกลับน่าสงสัยยามราตรีมาเยือน นอกตำหนักเฉินซี จู่ ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้น เซี่ยอวี้ได้รับคำแนะนำจากใครบางคนให้แอบเข้ามา เนื่องจากเป็นตำหนักที่ว่างเปล่าไม่มีขันทีเฝ้าอยู่ เขาจึงเข้ามาได้อย่างสะดวกเซี่ยอวี้ไม่ชอบเซี่ยซางมาโดยตลอด เมื่อได้ยินว่าพระชายาที่เซี่ยซางแต่งงานด้วยนั้นงดงามราวกับบุปผา แต่เขากลับหลงใหลพระชายารอง เขาจึงด่าทอ “ช่างโง่เขลาเสียจริง มีสตรีที่งดงามเช่นนี้แต่ไม่สนใจ ว่าแต่พระชายาเหิงอ๋องจะงดงามสักเพียงใด ข้าจะต้องไปดูให้เห็นกับตา”ตำหนักเฉินซีทั้งตำหนักอยู่ในความมืดมิด มีเพียงห้องบรรทมห้องเดียวเท่านั้นที่มีแสงสว่าง นางกำนัลเฝ้าอยู่ด้านนอกครู่หนึ่งก็จากไปเซี่ยอวี้ค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ห้องบรรทม ผ่านทางหน้าต่าง เขาได้ยินเสียงครางอันน่าหลงใหลดังออกมาจากข้างในเซี่ยอวี้ยิ่งรู้สึกทนไม่ไหว อย่างไรเสียเซี่ยซางก็ยังปรึกษาหารือเรื่องบ้านเมืองกับเสด็จพ่ออยู่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ชอบสตรีผู้นี้ แค่มองสักหน่อยจะเป็นไรไป ในเมื่อเขาไม่ต้องการ ก็
เซี่ยซางฟังแล้วก็เข้าใจได้ในทันที เซี่ยอวี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ฮองเฮาและสี่หมัวมัวหญิงชราสองคนนี้ แต่พุ่งเป้ามาที่เจียงเฟิ่งหัวผู้งดงามราวกับบุปผาทว่าเจียงเฟิ่งหัวไม่เคยพบเซี่ยอวี้มาก่อน ยิ่งไม่รู้จักเขา แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเจียงเฟิ่งหัวพักอยู่ที่ตำหนักเฉินซี นอกเสียจากว่ามีคนต้องการทำร้ายเจียงเฟิ่งหัว จงใจทำเช่นนี้เซี่ยอวี้ถูกต่อยตีจนต้องร้องขอชีวิตไม่หยุด ฮ่องเต้ก้าวเข้าไปเตะเขาอีกที “ลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงได้ไปที่ตำหนักเฉินซี วันนี้ถ้าเจ้าไม่พูดความจริง เราจะฆ่าเจ้าเสีย”เซี่ยอวี้ตกใจกลัวจนตัวสั่น “ลูกไม่เคยเห็นพระชายาเหิงอ๋องมาก่อน เพียงแต่ได้ยินว่านางงดงาม จึงอยากมาดูสักหน่อย ลูกไม่มีเจตนาอื่นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แค่มาชื่นชมความงามอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น เจียงเฟิ่งหัวเป็นภรรยาของเหิงอ๋อง ต่อให้ลูกคิดอกุศล ก็ไม่มีความกล้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโปรดไว้ชีวิตด้วย ลูกแค่มาดูจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”การดูมีโทษเบากว่าการทำมาก เขาจึงยืนยันคำให้การนี้เวลานี้ ฮองเฮาแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เดินตรงไปที่ข้างหน้าเขาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม “เจ้าเตรียมตัวมาดูอย่างไร มาโดยไม่ได้รับเชิญ ผลักประตูแล้วแอบบุก
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นอู๋ซินก็เดินมาตรงหน้าเจียงเฟิ่งหัว “กราบทูลพระชายา ฝ่าบาทมีรับสั่งเชิญท่านเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”เขาก็กังวลมากว่านางจะติดร่างแหไปกับฮองเฮาด้วยโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เนื่องด้วยเรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระชายาเหิงอ๋อง อู๋ซินจึงไม่ได้ส่งคนไปอธิบายสถานการณ์ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็นเจียงเฟิ่งหัวจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในพระตำหนักเฉียนชิงอย่างเคารพนบนอบก็ได้เห็นว่าเซี่ยหลิงเอ๋อร์ก็คุกเข่าอยู่ด้านใน ใบหน้านางมีแต่น้ำตา สะอึกสะอื้น ท่าทางดูเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจมาก แขนของนางก็โผล่ออกมาข้างนอก แขนเสื้อม้วนขึ้นมา บนแขนเต็มไปด้วยรอยแผลถูกตี เลือดแดงสามารถสังเกตเห็นได้ ผิวเหมือนมีเลือดซึมออกมาแล้วนางครุ่นคิดในใจ แผลเหล่านี้เป็นฝีมือวังหมัวมัว หรือว่าเป็นฝีมือของนางเองกันแน่? อย่างมากวังหมัวมัวก็แค่ตีฝ่ามือ ไม่มีทางตีไปจนถึงแขนเด็ดขาดเจียงเฟิ่งหัวเดินเข้าไปด้านหน้า ถวายคำนับด้วยความเคารพ “หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”ขณะที่นางกำลังจะคุกเข่าลงนั้นเอง ฝ่าบาทก็ตรัสว่า “ตามสบายเถิด ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เจ้ามาทำอะไร”เจ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวตามมาถึงพระตำหนักเฉียนชิง เหล่าพระสนมในวังส่วนใหญ่ต่างก็มาถึงแล้วพระสนมเยี่ยนเฟยผู้ชอบประสมโรงเมื่อมีเรื่องวุ่นวายร่ำสุราจนเมาแล้วก็มาแทรกตัวอยู่แถวหน้า หญิงอายุเยอะแล้วอย่างนางหัวเราะเยาะโดยไม่สนใจว่าเรื่องจะยิ่งบานปลาย “หวังเจาอี๋ร้ายจริง ๆ กล้าสวมเขาให้ฝ่าบาท นางเข้าวังมายังไม่ถึงสองปีหรอกกระมัง แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ อยู่ในวังมันเหงาหงอย มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ!”“ราตรีช่างยาวนานวังกว้างใหญ่ หญิงเดียวดายลำพังร่ำรำพัน…”“ใบหน้าอันเคยงามชราไป อยู่จำใจในวังให้ระทม…”“ฝันสลายน้ำตานองเต็มผ้า แว่วเสียงจากวังหน้ายามดึกดื่น…”“…”พระสนมเยี่ยนเฟยเริ่มขับขานบทกลอนต่อหน้าทุกคน ดูท่าทางเหมือนได้ระบายความโกรธเป็นอย่างมากเพียงไม่นาน หัวหน้าขันทีเฉาไม่สนใจลำดับยศต่ำสูงแล้ว สั่งให้คนรีบลากตัวพระสนมเยี่ยนเฟยออกไป “พระสนมเยี่ยนเฟย ท่านก็เงียบ ๆ ลงสักหน่อยเถิด หากทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วท่านไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวเอง ยังจะทำร้ายอวี้อ๋องด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!”เยี่ยนเฟยกระเสือกกระสน พูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า “หวังเจาอี๋กล้าคบชู้เพราะนางมีความกล้า ข้ากลับเสียเวลาในวังไปเปล่า ๆ อยู่หลายสิบปี
เซี่ยหลิงเอ๋อร์เมื่อชาติที่แล้วพูดได้เลยว่าเรียกร้องความสนใจ เกินหน้าเกินตาคนอื่นถึงขีดสุด มีหน้ามีตาไปทั้งชีวิต ชาตินี้ก็ไม่แน่นอนแล้ว ได้ยินว่าเฉิงฮองเฮามักจะลงโทษนางโดยใช้เหตุผลว่าเป็นการสั่งสอนกฎระเบียบแก่นางทันใดนั้นเจียงเฟิ่งหัวก็มองนางแวบหนึ่ง เพียงแค่ปราดเดียว นางก็ดูออกว่าสายตาที่เซี่ยหลิงเอ๋อร์จับจ้องที่นางเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายในวังก็ต้องอยู่รอเฝ้าคืนข้ามปีเช่นกัน เพียงแค่ว่าหลังจากอาหารมื้อสุดท้ายของปีแล้ว ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกลับไปเฝ้ารอช่วงเวลาข้ามปีในตำหนักตัวเอง เวลานี้เอง คนในวังก็ยิ่งรู้สึกเหงาหงอยกลอนวรรคหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ทุกเทศกาลยิ่งคะนึงถึงครอบครัว ยิ่งถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ในช่วงเทศกาลเช่นนี้เจียงเฟิ่งหัวก็ต้องอยู่เฝ้าคืนข้ามปี เพื่อคนในครอบครัว ต่อให้นางง่วงแค่ไหนนางก็ต้องห่อตัวไว้ด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์ นั่งล้อมอยู่ข้างเตาไฟเวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงตีฆ้องและกลองดังขึ้น ทั้งวังก็แปรเปลี่ยนจากที่เงียบสงบกลายเป็นอึกทึกครึกโครมขึ้นมาในชั่วพริบตาเหลียนเย่เปิดประตูวิ่งออกไปดูความวุ่นวาย เพียงไม่นานนางก็นำข่าวกลับมา “ในวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเพคะ
เหลียนเย่นำข่าวที่ไปสืบมากลับมา “แต่ละคนแข่งกันแต่งตัวอย่างยั่วยวน จัดจ้าน ทั้งดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนตัวอักษร วาดภาพ แย่งกันแสดงความสามารถ กลัวสุด ๆ ว่าจะสู้คนอื่นไม่ได้ ดูท่างานชมดอกเหมยที่ฮองเฮาทรงจัดครั้งนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าที่จริงแล้วมีวัตถุประสงค์อะไร”เจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเรียบเฉย กำลังอ่านหนังสือเรื่องเล่าออกใหม่ที่อยู่ในมือ เนื้อหาตลกขบขันน่าสนใจ สนุกจนนางหัวเราะแฮะ ๆ ขึ้นมาเหลียนเย่กล่าว “พระชายา ท่านได้ฟังบ่าวพูดอยู่บ้างหรือไม่เพคะ!”เจียงเฟิ่งหัวไม่ละสายตาจากหนังสือ นิ้วอันเรียวงามทั้งสิบนิ้วพลิกหน้าหนังสือเบา ๆ ผ่อนคลายสบายอารมณ์ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ได้ยินแล้ว ไม่มีอะไรน่าฟังเลย คิดไว้อยู่แล้ว” เพราะว่าหญิงสาวเหล่านี้ต่อไปล้วนจะกลายเป็นพระสนมในวังทั้งสิ้น“ว่ากันว่าลูกสาวบ้านเจ้ากรมถังกับลูกชายใต้เท้าลู่เจ้ากรมยุติธรรมสนิทสนมรักกันมาตั้งแต่เยาว์วัยมิใช่หรือ? นางมีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ยังมาร่วมวงด้วยอีก ท่านน่ะไม่ได้เห็นท่าทางของนาง กลัวมาก ๆ ว่าจะด้อยกว่าคนอื่น แสดงออกอย่างกระตือรือร้นสุด ๆ” เหลียนเย่จิกกัดต่อไป“แล้วก็ยังมีจูเจินเจินกับเฉียวเซวียนเอ๋อร์นั่นอีก พว
ส่วนความแค้นระหว่างสกุลเฉิงและสกุลซู เฉิงฮองเฮาวางความสำคัญไว้หลังเซี่ยซางแล้ว ขอเพียงเซี่ยซางได้เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าเรื่องอะไรนางสามารถละทิ้งไปก่อนชั่วคราวได้ทั้งสิ้น ซูถิงหว่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเซี่ยซางจะต้องได้เป็นฮ่องเต้ และนางก็เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา รู้สึกว่าโอรสของตนเองมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น สมควรได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ นางเฝ้ารอวันที่ว่านี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว เฉิงฮองเฮาเปลี่ยนน้ำเสียงให้อบอบอุ่นอ่อนโยน “ความหมายของหรวนหร่วนคือ? แม่นางเหล่านี้ไม่ว่าด้วยอุปนิสัย รูปโฉมหน้าตา หรือชาติกำเนิดล้วนหาได้ยากยิ่ง หากพวกนางหมั้นหมาย หรือสมรสกับผู้อื่นไปแล้วจริง ๆ ก็เท่ากับว่าพลาดไปแล้ว ข้าเองก็คิดเพื่อซางเอ๋อร์นะ” นางยังเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงอีกว่า “หรวนหร่วน ความจริงข้าเองก็กำลังคิดว่าจะดึงขุนนางให้มาเป็นพวกพ้องของซางเอ๋อร์ เจ้าในฐานะภรรยาของเขา ก็น่าจะรู้ว่าบิดาของพวกนางมีความสำคัญในราชสำนักอย่างไรบ้าง” ได้ยินถึงตรงนี้ เจียงเฟิ่งหัวอยากจะอาเจียนออกมาเต็มที คนที่ไม่รู้คงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่านางกำลังเฟ้นหาลูกสะใภ้ให้ตนเอง ทั้งที่ความจริงแม่สามีเป็นคนลากลูกสะ
เฉิงฮองเฮาก็หยิบภาพเหมือนออกมาให้เจียงเฟิ่งหัว พลางอธิบายทีละใบว่าคนในภาพเป็นธิดาของขุนนางท่านใด หลังจากเจียงเฟิ่งหัวดูแล้ว ในบรรดาภาพเหมือนเหล่านั้นก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ดูเหมือนว่านางจะเตรียมการทุกอย่างให้เซี่ยซางตามกฎเกณฑ์การคัดเลือกพระสนมจริง ๆ “สตรีที่เสด็จแม่ทรงเลือกมาเหล่านี้ งดงามเพริศพริ้งจริงเพคะ เพียงแต่ชาติกำเนิดของพวกนางจะไม่เอิกเกริกเกินไปหรือเพคะ ล้วนเป็นธิดาจากตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งสิ้น พวกนางจะยอมสมรสกับท่านอ๋องเป็นเพียงอนุภรรยาได้อย่างไรเพคะ เสด็จแม่หากไปสู่ขอแบบนี้ เกรงว่าจะหมางใจกับขุนนางได้นะเพคะ!” “ได้เป็นอนุชายาของซางเอ๋อร์ ถือเป็นวาสนาของพวกนางแล้ว” เฉิงฮองเฮาเริ่มอวดดีขึ้นมาบ้างแล้ว คอยให้โอรสของตนได้เป็นฮ่องเต้ พวกเขาจะต้องระริกระรี้อยากส่งบุตรีเข้าวังจนทนไม่ไหวแน่ เจียงเฟิ่งหัวได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ตอนนางเชิญท่านแม่เข้าวังเมื่อครั้งแรก ก็แสดงท่าทางสูงส่งถือดีเช่นนี้เหมือนกัน ราวกับว่าการที่เจียงเฟิ่งหัวได้สมรสเป็นพระชายาของโอรสของนาง นับว่าเป็นโชคดีที่บรรพบุรุษได้สั่งสมบุญบารมีจุดธูปใหญ่บูชาสวรรค์มา ก่อนที่เฉิงฮองเฮาจะเล
แต่นางเล่า ก็ได้แต่ทนทรมานต่อไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้หลุดพ้นออกมาเสียที ปัจจัยสำคัญคือบุตรชายไม่มีปัญญาจะไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น มิเช่นนั้นนางเองก็… ฮองเฮาเห็นนางเงียบไปไม่พูดจา กระนั้นก็มิได้สั่งให้นางออกไป แต่ตรัสขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเจ้าทุกคนประสงค์จะฉลองวันปีใหม่อย่างไรหรือ ข้าขอย้ำประโยคนั้น อย่าฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง บัดนี้ที่เขตชายแดนกำลังทำศึกสงคราม พวกเรายิ่งสมควรมัธยัสถ์ ต่อหน้าสตรีทั้งใต้หล้าควรเป็นแบบอย่างที่ดี พวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ พวกเราเป็นสตรีของฝ่าบาท จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้คนปฏิบัติตาม แต่ละตระกูลของพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปดูแลควบคุมกันเอง…” เฉิงฮองเฮาพร่ำพูดแต่เรื่องเดิมราวกับกำลังท่องบทสวดภาวนา ถ้อยคำเหล่านี้พวกนางฟังจนเบื่อหน่ายแล้ว ทุกคนขานรับด้วยความนอบน้อมราวกับสายน้ำไร้ชีวิต “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาอย่างเคร่งครัดเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวมองดูแล้ว ก็รู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ นางฉลองปีใหม่ที่จวนสกุลเจียงยังน่าสนใจมากกว่า คนทั้งเรือนล้อมวงกินอาหารด้วยกัน ท่านพ่อท่านแม่ยังมอบเงินแต๊ะเอียปีใหม่ให้พวกนางเหล่าพี่สาวน้อ
“หากเยี่ยนเฟยประสงค์จะพบพี่สะใภ้รอง ส่งคนไปตามนางก็ได้เพคะ เพียงแต่บัดนี้เสด็จพ่อทรงมอบราชกิจให้นาง และนางก็กำลังยุ่งมากเพคะ เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าเขาวังมาปรนนิบัติเยี่ยนเฟย มองจากพระวรกายของเยี่ยนเฟยแล้วเหมือนจะสบายดีเพคะ!” เจียงเฟิ่งหัวสุขุมเยือกเย็นมิได้ขุ่นเคือง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จะอย่างไรก็ตาม ความไม่กตัญญูมีสามประการ การไร้ทายาทสำคัญที่สุด…” เยี่ยนเฟยเพิ่งเอ่ยปากออกมา ทันใดนั้น เหล่านางสนมจากในวังก็ทยอยเดินออกมา เห็นเพียงพวกนางแสดงความเคารพต่อเจียงเฟิ่งหัวอย่างนอบน้อมก่อนคนแรก “น้อมคารวะพระชายาเหิงอ๋อง” นางผุดยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “คารวะพระสนมทุกท่าน” เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เหล่านางสนมในวังทุกพระองค์ต้องเข้ามาถวายบังคมต่อฮองเฮาในยามเช้า มองจากอาภรณ์แพรพรรณและการแต่งกายของพวกนางก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ในระยะนี้นางสนมพระองค์ใดได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากที่สุด ใบหน้าของพวกนางยิ่งเปล่งปลั่งแดงเรื่อ มากถึงขั้นฉายแววภาคภูมิใจอย่างเต็มที่ หย่าเฟยเป็นผู้คว้าชัยเหนือใครอย่างไม่ต้องสงสัย และนางก็ยังคงวางมาดงามสง่าในแบบองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ดังเดิม ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น ด
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค