“กลับมาแล้วเหรออันเหมย ทำงานมาทั้งสัปดาห์เหนื่อยมากไหม”
นางจางหลานกลับมาเตรียมอาหารมื้อเย็นให้สามีและลูกชายทั้งสองเอ่ยถามด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้าลูกสาวที่ไม่ได้เจอมาทั้งสัปดาห์
“ไม่เท่าไรค่ะแม่ พ่อกับพี่ใหญ่ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“อืม ทั้งสองขึ้นเขาไปเก็บกับดักสัตว์ป่า คงอีกสักพัก กลับมาเหนื่อย ๆ เข้าไปอาบน้ำก่อนสิ กว่าแม่จะทำอาหารเย็นเสร็จคงจะอีกนาน”
ครึ่งปีแล้วที่ลูกสาวของเธอไปทำงานในโรงงานยาสูบ แรก ๆ มู่อันเหมยยังคงกลับบ้านทุกวัน แต่เมื่อสามเดือนก่อนกลับมาขออยู่หอพักพนักงาน อ้างว่าเหนื่อยกับการเดินทางและต้องตื่นเช้าจนเกินไป
เมื่อเห็นว่าลูกเหนื่อยกับการเดินทางและต้องตื่นเช้าเพื่อไม่ให้เข้างานสายจึงได้อนุญาตให้อยู่หอพักพนักงาน
“เดี๋ยวฉันมานะแม่”
มู่อันเหมยเมื่อรู้ว่าพ่อกับพี่ชายยังไม่กลับมาและไม่ได้อยู่กับลูกชายบ้านเฉินจึงคิดจะทำบางอย่าง เมื่อบอกกล่าวกับแม่เธอจึงรีบเดินออกจากบ้านมาทันที
“พี่ใหญ่เฉิน”
เฉินหยางคุนกำลังเดินกลับบ้านกลับมีเสียงเรียกเขาไว้ เมื่อหันมามองก็เป็นว่าที่ภรรยาของตนเอง เขาไม่ใช่คนหวาน ติดจะเย็นชาจึงไม่รู้ว่าต้องทำสีหน้าอย่างไรเมื่อเจอหญิงสาวตรงหน้า จึงมีเพียงใบหน้าเย็นชาหันกลับมามอง
“ฉันขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม เรื่องการแต่งงานระหว่างบ้านรองมู่และบ้านเฉินของคุณ”
น้ำเสียงที่ส่งไปนั้นช่างห่างเหินนัก ทำให้เฉินหยางคุนรู้สึกเจ็บแปลบไม่น้อย จึงทำเพียงพยักหน้าตอบกลับ และเดินไปทางที่ไม่มีผู้คนหรือชาวบ้านสัญจร เพื่อไม่ให้ว่าที่ภรรยาของตนนั้นอับอายหรือถูกนินทาว่ามานัดพบกับเขา
ทันทีที่มาถึง มู่อันเหมยไม่รีรอ พูดความต้องการของตนเองออกมาทันที
“ฉันต้องการยกเลิกสัญญาหมั้นหมายระหว่างสองบ้าน ฉันมีคนรักแล้ว และเราอยู่ด้วยกัน”
คล้ายกับฟ้าผ่ากลางใจ ใบหน้าเย็นชาของเฉินหยางคุนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าครู่เดียวก็กลับมาเย็นชาเหมือนเดิม
“ครอบครัวคุณรู้เรื่องนี้ไหม”
เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมา เขาเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของหญิงสาวตรงหน้าเพียงคนเดียว บวกกับท่าทางที่นิ่งเฉยเขาจึงมั่นใจว่าบ้านรองมู่ไม่รู้ว่าลูกสาวคนรองมาเจรจายกเลิกสัญญากับเขาด้วยตนเอง
“คุณรักผู้ชายคนนั้น”
“ใช่ค่ะ เราทั้งสองคนรักกันมาก อีกอย่างฉันไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกแล้ว คุณควรจะหาภรรยาที่ดีกว่าฉัน ชื่อเสียงของฉันในหมู่บ้านก็ไม่ดีเท่าไร ยังมีหญิงสาวหลายคนที่อยากแต่งเข้าบ้านเฉิน...”
“ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ใช่คุณ”
เฉินหยางคุนสวนกลับทันควัน ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้านั้นรังเกียจเขามากแค่ไหน แตกต่างจากเขาที่หลงรักเธอตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกหลังจากที่เขากลับมาอยู่บ้าน
“เช่นนั้นก็ทำตามใจตนเองเถอะ หากคิดว่าผู้ชายคนนั้นรักคุณจริง สำหรับผม ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะบริสุทธิ์หรือไม่ หากผมรักผมไม่มีวันรังเกียจและด้อยค่าของเธอเพียงเพราะเธอไม่บริสุทธิ์”
กล่าวจบเขาเดินจากมาทันที ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ในเมื่อเธอเลือกแล้ว เขาจะรั้งไว้ทำไม
หลังจากนั้นสัญญาแต่งงานระหว่างสองบ้านถูกยกเลิกโดยเฉินหยางคุน เขาไม่บอกเหตุผลว่าทำไม แต่บ้านรองมู่เข้าใจว่าเรื่องนี้คงต้องเกี่ยวกับมู่อันเหมย
แม้ว่ายกเลิกสัญญาแต่งงานกับบ้านเฉินมาร่วมสามเดือน แต่คนรักของเธอไม่มีทีท่าเลยว่าจะจดทะเบียนสมรสหรือไปพูดคุยกับครอบครัวเธอเพื่อจะสู่ขอ จนวันหนึ่งมู่อันเหมยมีอาการผิดปกติจึงตัดสินใจไปตรวจที่อนามัยแห่งหนึ่งจนรู้ว่าตนเองท้อง
ทันทีที่กลับมาบอกคนรัก เธอคล้ายกับโดนฟ้าผ่ากลางใจ เขาไม่เพียงไม่ดีใจแต่กลับตำหนิหาว่าเธอไม่ยอมกินยาคุมกำเนิด ซึ่งยาคุมกำเนิดนั้นหาง่ายเสียที่ไหนกันล่ะ
“ไปเอาออกซะ พี่ยังไม่พร้อม” คำตอบที่เย็นชาเปล่งออกมาคล้ายจะตัดขั้วหัวใจของมู่อันเหมยให้ขาดจากกัน
“นี่ลูกของเรานะ พี่กล้าทำลายลูกเหรอคะ” เธอไม่คิดเลยว่าชายที่แสนจะอ่อนโยนก่อนหน้านี้จะกล้าใจร้ายให้เธอทำลายเลือดเนื้อของตนเอง
“ก็พี่บอกว่ายังไม่พร้อม ครอบครัวเธอก็ยังไม่รู้เรื่องของเรา ยังมีครอบครัวพี่อีกล่ะ ทางที่ดีไปเอาออกซะ” ว่านปี่หมิงยังยืนยันเช่นเดิม
จะให้เขารับเรื่องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขามีลูกและภรรยาอยู่แล้ว อีกทั้งเขาไม่เคยคิดจริงจังกับมู่อันเหมยเลย
กล่าวจบชายหนุ่มรีบเดินออกมาจากห้องพักและไปหาสหายเพื่อหาเรื่องตั้งวงดื่ม เรื่องนี้ทำให้เขากลุ้มใจจริง ๆ พลอยไม่อยากเห็นหน้ามู่อันเหมยด้วยเช่นกัน
ทันทีที่ว่านปี่หมิงเดินจากไป มู่อันเหมยกอดตนเองร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ทว่าเธอยังคิดว่าเขาคงจะยังไม่พร้อมจริง ๆ แต่จะให้เธอทำลายลูกนั้นเป็นไปไม่ได้ ในใจนั้นคิดว่ารอให้เขาอารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง
ตลอดสองวันที่ผ่านมาเธอลาหยุด และว่านปี่หมิงก็ไม่กลับบ้านเช่นกัน ทำให้เธอยังไม่พบหน้าคนรักและยังไม่ได้คุยกันต่อเรื่องลูก วันนี้เมื่อครบกำหนดต้องทำงานเธอจึงกลับมาที่โรงงานด้วยใบหน้าที่อิดโรย เมื่อเข้ามาในโรงงาน เธอมองไปยังจุดพักผ่อนคราวนี้ใจเธอแทบสลายจริง ๆ
ชายคนรักนั่งอยู่กับหญิงสาวหน้าตาดี และยังมีเด็กน้อยอายุประมาณสามขวบนั่งอยู่ด้วย ทั้งสามคนต่างก็พูดคุยหยอกล้อกันด้วยเสียงหัวเราะ หากไม่ตาบอดคงมองออกว่านั่นคือภรรยาและลูกของเขา
ใจที่แตกสลายทำให้มู่อันเหมยเดินออกมาจากโรงงานโดยไม่รู้ตัว เวลานี้เธอคิดเพียงว่าอยากไปจากภาพตรงหน้าให้เร็วที่สุด
มู่อันเหมยไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นเดินมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไร จะเข้าหมู่บ้านก็ไม่กล้า กลัวว่าครอบครัวจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ห้องก็ไม่อยากกลับเพราะกลัวคำตอบที่ได้รับ
“อันเหมยคุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
เฉินหยางคุนออกมาทำธุระจึงลางานในคอมมูน ไม่คิดว่าจะเจอกับมู่อันเหมยที่เดินใจลอยจนไม่รู้ว่าเขามายืนดักหน้าไว้
มู่อันเหมยเลือกที่จะไม่ตอบ เธอยังคงเดินไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นโรงแรมของรัฐ เธอจึงเลือกที่จะเข้าไปใช้บริการ เธอต้องการที่จะหลับไปเพื่อตื่นมาแล้วสิ่งที่เห็นก่อนหน้านั้นให้เป็นเพียงแค่ความฝัน
เฉินหยางคุนเห็นดังนั้นจึงไม่ตามเข้าไป ทำเพียงขมวดคิ้วคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวบ้านรองมู่กันแน่ สุดท้ายจึงกลับไปทำธุระของตนเองต่อ ทว่าในใจนั้นอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
วันต่อมามู่อันเหมยคืนห้องพักจากนั้นจึงกลับไปยังโรงงาน เพราะเมื่อวานนี้เธอขาดงานโดยไม่มีเหตุผล
ทันทีที่เข้ามาในโรงงาน สายตาของเพื่อนร่วมงานมองเธอคล้ายกับเยาะเย้ย ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร จนสหายของเธอเดินเข้ามาพูดคุยบางอย่าง
“เขาลาออกแล้วนะ เมื่อวานเมียและลูกมารับ ฉันได้ข่าวว่าเมียเขาอยากได้ลูกชาย เลยมาเอ่ยขอร้องให้สามีกลับไปทำงานที่บ้าน”
ในสมองของมู่อันเหมยได้ยินเพียงคำว่าลูกเมีย และเขาลาออกไปแล้ว ร่างบางของเธอจึงซวนเซเล็กน้อย ไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดคือเรื่องจริง
“ฉันกลับก่อนนะเสี่ยวฟาง”
สมองของเธอสั่งการให้รีบกลับไปยังห้องพักที่อยู่ด้วยกันกับคนรัก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม
แต่ทว่าเมื่อมาถึง กลับไม่พบข้าวของเครื่องใช้ของคนรักเลย นี่แสดงว่าเขาทิ้งเธอกับลูกไปแล้ว กลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของเขา
มู่อันเหมยคล้ายกับคนเสียสติ เธอนึกถึงวันเก่า ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่อยู่ด้วยกันกับว่านปี่หมิง เธอนอนคู้ตัวบนเตียงกอดตนเองพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
แม้ว่าเพื่อนสนิทอย่างเสี่ยวฟางจะมาเคาะห้องเรียกอย่างไร เธอไม่คิดที่จะลุกขึ้นมาเปิด คล้ายกับสมองของเธอไม่รับอะไรแล้ว มู่อันเหมยจมอยู่กับความเศร้าจนเวลาผ่านไปอีกวัน
สุดท้ายสิ่งที่เธอคิดถึงมากที่สุดในตอนนี้คืออ้อมกอดและรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัว
เมื่อคิดได้ดังนั้น มู่อันเหมยจึงเดินออกมาจากห้องอีกครั้ง ในเวลานี้สภาพของเธอไม่ต่างอะไรกับซากศพเดินได้ ทว่าจุดหมายปลายทางของเธอกลับไม่ใช่หมู่บ้านที่ทุกคนรออยู่ แต่กลับเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ที่มีหน้าผาสูงชัน
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว