รถม้าประทับตราสกุลฮุ่ยของราชครูเข้ามาจอดอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นวัดเสวียนคง วัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาดูเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ หลังจากลงรถม้าฮุ่ยเจียงกับสาวใช้ก็เดินขึ้นบันไดที่มีซุ้มต้นไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เรียงรายขนาบสองข้างทาง มันสูงจนปลายต้นโน้มเอียงเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไผ่สร้างความร่มรื่นสวยงาม
ฮุ่ยเจียงสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สูดหายใจเข้าเต็มปอด ดวงหน้างดงามเผยรอยยิ้มสดใส ยามที่สายลมอ่อน ๆ โชยพัดมาปะทะร่างของนาง ช่างสดชื่นนัก! ความรู้สึกสดชื่นที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสีฟ้าใสและต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม ความสงบเงียบของธรรมชาติช่วยปลอบประโลมจิตใจนางจากความทุกข์ทรมานจากชาติที่แล้ว สาวใช้ที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจียอีมองคุณหนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
ฮุ่ยเจียงยิ้มอย่างสดใส ขณะสายลมพัดโชยพาให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เจียอีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจากใจจริง
“คุณหนู ท่านช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียงหันมายิ้มให้สาวใช้ “เจียอี เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้ามีความสุขเพียงใด” ที่ได้โอกาสกลับมาอีกครั้ง ประโยคหลังนางพูดกับตัวเอง ฮุ่ยเจียงค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดหินที่ปูทางอย่างระมัดระวังแสดงถึงความสง่างามและอ่อนช้อย นางก้าวขึ้นบันไดพลางมองสองข้างทางอย่างไม่เร่งรีบ ต่างจากสาวใช้ที่แสดงความเป็นห่วง น้ำเสียงติดกังวล
"คุณหนูเจ้าคะรีบเดินเถอะเจ้าค่ะ ลมแรงนักเดี๋ยวจะไม่สบายนะเจ้าคะ" ขณะพูดเจียอีก็นำเสื้อคลุมมาคลุมร่างของนางเอาไว้ สองมือจัดการผูกเชือกอย่างขะมักเขม้นจนแน่นราวกับกลัวว่าลมเพียงน้อยนิดที่พัดพาจะทำให้ร่างกายนางเป็นไข้หนัก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่อยากขัดใจสาวใช้เพราะเห็นว่าเจ้าตัวนั้นเป็นห่วงเพียงใด
“ขอบใจเจ้ามาก” ฮุ่ยเจียงใช้สองมือกระชับผ้าคลุมแน่นก่อนจะก้าวขึ้นบันไดชันโดยมีสาวใช้ก้าวตามไม่ห่าง
เมื่อเดินขึ้นถึงยอดบันได ก็เดินก้าวผ่านสระน้ำที่ประดับด้วยดอกไม้และพืชพรรณต่าง ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและร่มรื่นเหมาะสำหรับการทำสมาธิและปฏิบัติธรรม เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในฮุ่ยเจียงได้พบกับพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในอารามอันสงบเงียบนางค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้และคำนับเบา ๆ ดวงตาคู่สวยจับจ้องยังพระพักตร์ของพระพุทธรูป นางขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้นางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ลูกที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกในชาติที่แล้วกลับมาเกิดในท้องนางอีกครั้ง แต่หาใช่มาจากบิดาคนเดิม นางขอพรอย่างตั้งใจจากนั้นนางก็ก้าวเท้าเบา ๆ หาที่ที่เหมาะสม เพื่อสวดมนต์ภาวนา เมื่อถึงจุดที่ต้องการนางหยุดนิ่ง แล้วย่อตัวลงนั่ง สองมือพนมขึ้นอีกครั้งและปิดตาอย่างสงบ ฮุ่ยเจียงภาวนาเงียบ ๆ ในใจ ท่ามกลางความสงบเงียบของอาราม มีเพียงเสียงสายลมที่พัดผ่านและเสียงของธรรมชาติที่ทำให้นางรู้สึกถึงความสงบสุขอย่างแท้จริง
เจียอีที่ยืนอยู่ข้างหลังมองดูคุณหนูของนางด้วยความสงบ นางสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์และความงดงามที่แผ่ออกมาจากคุณหนู ยามที่คุณหนูนั่งอยู่ตรงหน้านั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และเวลาที่ผ่านไปเหมือนจะช้าลง เพื่อให้คุณหนูได้สัมผัสถึงความสงบสุขและศรัทธาอย่างแท้จริง
เวลาผ่านมาราวครึ่งก้านธูป
ฮุ่ยเจียงที่นั่งสมาธิอยู่นานรู้สึกหัวสมองปลอดโปร่ง หัวใจหนักอึ้งพลันสลายเหมือนกับว่านางได้สัมผัสกับชีวิตที่แท้จริงอีกครั้ง นางลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าออกมาเดินเล่นซึมซับธรรมชาติอันเงียบสงบ นางเดินเรื่อยเปื่อยมาตามทางจนมาถึงทางเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงสาวใช้ที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นเบา ๆ
"คุณหนู จะที่แห่งใดหรือเจ้าคะ" เจียอีถามด้วยความสงสัยเพราะคุณหนูเดินออกห่างทางเข้ามาไกล
"ข้าจะออกไปเดินเล่นถ้าข้าจำไม่ผิดเดินไปอีกนิดจะมีลำธารข้าอยากเดินแช่น้ำสักหน่อย" พูดจบก็เดินนำหน้าสาวใช้ไปทันทีไม่รอให้สาวใช้ได้โต้แย้งเจียอีที่เห็นว่าคุณหนูเร่งเดินไปก็รีบตามไปติด ๆ
"คุณหนูเจ้าคะเหตุใดจึงรีบเดินนักเจ้าคะลืมที่ฮูหยินใหญ่สอนแล้วหรือเจ้าคะท่านต้องเดินช้าลงอีกนิดนะเจ้าคะ ช้า ๆ เจ้าค่ะ" เจียอีที่ตามติดก็พูดตามที่ฮูหยินใหญ่เคยพูดสอนเพราะเกรงว่าคุณหนูออกไปเดินในที่สาธารณะแล้วจะลืมตัวเอาได้ เร่งเดินไม่ไว้ท่าทีแบบนี้มีหวังบุรุษได้หนีห่างแน่และเจียอีย่อมยอมไม่ได้ และตอนนี้ก็ใกล้ถึงวัยปักปิ่นแล้วด้วยเจียอีเลยต้องเป็นหูเป็นตาแทนฮูหยินใหญ่
"ช้าอย่างนี้หรือ" ฮุ่ยเจียงที่ได้ยินสาวใช้พูดบ่นงึมงำแต่ก็นางก็เดินช้าลง ช้าแบบมาก ๆ เป็นการกลั่นแกล้งสาวใช้ไปในตัวส่วนเจียอีที่เห็นคุณหนูทำท่าประชดก้าวเท้าช้าลงกว่าเดิมหลายเท่าแต่ดวงตาที่มองมาที่นางนั้นกลับเต็มไปด้วยความขบขัน มีหรือที่เจียอีจะไม่รู้ว่าตอนนี้โดนคุณหนูแกล้งกันเข้าให้แล้ว
"คุณหนู.." เจียอีได้แต่เรียกคุณหนูด้วยน้ำเสียงโอดครวญก่อนจะเดินมาถึงลำธารใสสะอาดที่ไหลผ่านกลางป่าแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลงมาผ่านใบไม้ทำให้ผืนน้ำเป็นประกายแวววาวเสียงน้ำไหลเบา ๆ สร้างบรรยากาศที่สงบและสดชื่นดอกไม้ป่าหลากสีและพืชพันธุ์ต่าง ๆ เติบโตอยู่ริมลำธารทำให้พื้นที่รอบ ๆ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและสวยงาม ตากลมโตของฮุ่ยเจียงโตมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อมองเห็นฝูงปลาขนาดใหญ่แหวกว่ายไปมาอยู่ตรงหน้า
"เจียอีน้ำใสมาก เจ้าดูนั่นสิเห็นปลาด้วย" มือบางชี้ไปยังธารน้ำใสที่เห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
"ใสมากจริงด้วยเจ้าค่ะ" เจียอีที่เห็นก็พลันตื่นเต้นตามไปด้วย
ฮุ่ยเจียงตื่นเต้นและไม่อยากพลาดโอกาส นางรีบถอดรองเท้าออกจนเห็นข้อเท้าขาวผ่อง แล้วเดินย่ำธารน้ำใสที่ไหลลงมาจากน้ำตกด้วยท่าทางตื่นเต้นดวงตาของนางเป็นประกายราวกับเจอเรื่องถูกใจก่อนจะหันไปหาสาวใช้แล้วยื่นมือไปที่นาง
"เจียอีเจ้าผูกแขนเสื้อให้ข้าหน่อยข้าจะจับปลา!"
เจียอีทำท่าละล้าละลัง หันไปมองรอบ ๆ ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความกังวล "จะดีหรือเจ้าคะคุณหนูถ้าเกิดผู้ใดมาพบมันจะไม่งามนะเจ้าคะ" ฮุ่ยเจียงเห็นสาวใช้ดูกังวลเกินไปก็ส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา "เราเดินมาลึกขนาดนี้จะมีใครมาพบกันเล่า เจ้ารีบผูกแขนเสื้อให้ข้าเถอะ ประเดี๋ยวปลาจะหายหมด" เสียงพูดที่เร่งเร้าทำให้เจียอีไม่กล้าโต้แย้ง นางผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ แต่สองมือก็ทำหน้าที่ของนางอย่างดี
"เจ้าค่ะคุณหนู"
พอเจียอีผูกเสร็จ ฮุ่ยเจียงก็จัดการผูกให้สาวใช้ของตัวเองด้วย โดยที่เจียอีได้แต่ยืนนิ่งยอมให้คุณหนูผู้แต่โดยดี หลังจากสองนายบ่าวผลัดกันผูกแขนเสื้อเสร็จ เจียอีจะช่วยผูกชายกระโปรงของคุณหนูเพื่อไม่ให้เปียกน้ำแล้วรวบผมยาวของคุณหนูเพื่อไม่ให้เกะกะ แล้วก็จัดการของตัวเองแล้วก็พากันเดินลงไปยังฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายไปมาด้วยความตื่นเต้น
ฮุ่ยเจียงมองฝูงปลาที่มีอยู่ทั่วผืนน้ำรู้ได้ทันทีว่าที่แห่งนี้เป็นที่อุดมสมบูรณ์มากจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดผ่านมาเห็นทั้งที่ไม่ได้ไกลจากวัดมากนักจะบอกว่าเป็นเขตอภัยทานก็ไม่น่าใช่เพราะถ้าจำไม่ผิดเหมือนกับว่าพวกนางเดินข้ามกำแพงวัดมาทั้งฮุ่ยเจียงและเจียอีลงไปในลำธารขณะที่น้ำเย็นไหลผ่านขาทั้งคู่เริ่มมองหาปลาที่ว่ายไปมาใต้ผืนน้ำ
ดวงตาสุกสกาวมองเจ้าปลาตัวโตที่กำลังว่ายเข้ามาด้วยความหมายมั่นสองมือตั้งท่าจับปลาอยู่ในน้ำดวงตาจ้องไปที่เจ้าปลาตัวนั้นอย่างไม่วางตาก่อนที่จะตวัดมือไปที่เจ้าปลาตัวนั้นแล้วจับได้อย่างง่ายดาย"นี่แหนะข้าจับได้แล้ว เจียอีข้าสามารถจับปลาด้วยมือเปล่าได้ด้วย เจ้าดูสิ! "
จวนสวีเสวียนหนาน"ขนาดนางหลับยังน่ารักขนาดนี้" เสียงอ่อนละมุนของสวีเสวียนหนานทำเอาซีฮั่นแอบกลอกตา นี่ท่านกำลังลักพาตัวบุตรสาวท่านราชครูมาอยู่นะ เหตุใดถึงยังใจเย็นไม่รีบส่งข่าวกัน เอาแต่นั่งมองนางมาครึ่งชั่วยามแล้ว ทั้งยังนั่งพัดวีให้ไม่หยุด ซีฮั่นแทบไม่เห็นแมลงสักตัวบินผ่าน เพราะมันไม่มีชีวิตรอดตั้งแต่บินโฉบลงมาแล้ว ช่างเป็นคนที่เหี้ยมโหดโดยแท้ ส่วนเขาที่ต้องระเห็จมานั่งอยู่หน้าเรือนก็เพราะเผลอไปแอบมองท่านอ๋องอยู่นะสิ!สวีเสวียนหนานหาได้สนใจสิ่งใด ตอนนี้เอาแต่นั่งมองยอดดวงใจ ยามที่เห็นนางกำลังตกน้ำหัวใจของเขาแทบกระเด็นออกมา ยังไม่ทันที่นางจะร่วงลงสู่ผืนน้ำ เขาก็โฉบเข้าไปฉกตัวนางมาจากอ้อมแขนของหญิงชั่วคนนั้นเสียก่อน ไม่ลืมถีบนางหญิงสารเลวนั่นเพื่อส่งให้นางลงสู่ผืนน้ำโดยไว ส่วนเจ้าบุรุษชั่วผู้นั้นซีฮั่นก็เป็นคนส่งมันลงสู่แม่น้ำด้วยลูกถีบที่แคล่วคล่องว่องไว และไม่คิดว่ามีใครมองเห็นนอกจากท่าทางการลงน้ำที่ดูน่าตลกนั่นแต่ครั้งนี้ก็ถือว่าเขายังใจดีกับพวกมันอยู่ส่วนฮุ่ยเจียงที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราว นางไม่รู้เลยว่าตอนนี้นางมาอยู่ที่จวนท่านอ๋องและยังนอนเตียงของเขาอย่างสบายใจ สวีเสวียนหนานมองใ
ฮุ่ยเจียงถูกจิ่วเย่วกึ่งลากกึ่งจูงมาบนสะพานเซี่ยงจื่อ หลังจากแวะซื้อโคมไฟเพื่อนำมาลอย โดยที่จิ่วเย่วเป็นคนลงทุนซื้อมาให้ ฮุ่ยเจียงเพียงปรายตามองเท่านั้นเพราะรู้ถึงสาเหตุที่นางลงทุนสิ้นเปลืองเงินในครั้งนี้ฮุ่ยเจียงมองผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา บางคนก็มากันเป็น คู่ ๆ ซึ่งสะพานนี้เป็นสะพานที่ขึ้นชื่อเรื่องความรัก คู่รักจึงพากันมาที่นี่เพื่อจะปล่อยโคมขึ้นไปบนท้องฟ้าและอธิษฐานร่วมกัน ฮุ่ยเจียงมองผู้คนโดยรอบก่อนจะหันไปเห็นคนของพี่ชายซึ่งนางขอร้องให้พี่ชายส่งคนมาตามดูนางอย่างลับ ๆ พี่ชายนางเองก็เป็นห่วงจึงส่งคนมาดูแลเพราะกลัวว่านางจะเกิดอันตรายในเมื่อห้ามไม่ให้นางมามิได้ ตัวเองก็ติดภารกิจทำให้ไม่สามารถตามมาดูแลด้วยตัวเองได้ แต่สิ่งที่ฮุ่ยเจียงไม่มีวันรู้เลยก็คือรอบตัวนางยังมีเหล่าองครักษ์ที่อยู่ชุดธรรมดาเพื่อให้กลมกลืนกับผู้คน คอยตามดูนางอย่างใกล้ชิดและยังมีองครักษ์เงาที่คอยเฝ้าดูอยู่ไม่ละสายตา รวมถึงดวงตาคมกริบของคนผู้หนึ่งที่มองตามนางไม่วางตา"อันนี้โคมไฟรูปกระต่ายข้าเลือกให้เจ้าเองกับมือเพราะข้ารู้ว่าเจ้าชอบเอาล่ะเจ้าอธิษฐานสิ" จิ่วเย่วส่งโคมไฟรูปกระต่ายให้ฮุ่ยเจียงก่อนจะหันไปหาคนที่ร่วมอ
เมื่อเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับอีกแห่งหนึ่งจิ่วเยว่ก็เดินเข้าไปนางหยิบกำไลที่ประณีตและงดงามขึ้นมา "ฮุ่ยเจียง เจ้าดูนี่..กำไลหยกชิ้นนี้สิ งดงามมากทีเดียว" จิ่วเย่วพูดจบก็สวมกำไลหยกสีเขียว พร้อมกับลูบคลำด้วยความชื่นชอบด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงจะไม่งามเท่าที่นางเห็น ฮุ่ยเจียงสวมแต่ก็ดีกว่าชิ้นไหน ๆ ที่วางขายและนางก้อยากได้อยู่พอดี"คุณหนู กำไลชิ้นนี้พอประดับอยู่บนตัวท่านช่างงดงามเสียจริง ๆ" เจ้าของร้านเอ่ยชม แต่ฮุ่ยเจียงเห็นใบหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ของเจ้าของร้าน ปากช่างเจรจาแบบนี้เห็นทีว่าจะขายดีเลยทีเดียว"จริงหรือเถ้าแก่ ฮุ่ยเจียงเจ้าช่วยข้าดูหน่อยสวยงามจริง ๆ หรือ" จิ่วเย่วพูดกับเจ้าของร้านแล้วหันมาทางฮุ่ยเจียงที่เพียงมองนิ่ง ๆ เท่านั้นก่อนที่จะลื่นไหลตามน้ำกล่าวชมไม่ต่างจากเจ้าของร้าน"เหมาะกับเจ้าจริง ๆ ด้วยเจ้าช่างตาถึงยิ่งนัก ปิ่นอันนี้ก็สวยไม่แพ้กัน ไหนให้ข้าลองเสียบผมเจ้าหน่อยสิ ดูสิเถ้าแก่ปิ่นชิ้นนี้กับกำไลหยกที่สหายข้าสวมช่างเข้ากันดีเสียเหลือเกิน ใช่ตามที่ข้าพูดหรือไม่เจ้าคะ"ฮุ่ยเจียงพูดชมด้วยความตื่นเต้นหลังจากหยิบปิ่นขึ้นไปเสียบบนศีรษะของจิ่วเย่ว ดวงตาเปล่งประกายชื่นชมก่อนจะ
จวนราชครู"นะ..ฮุ่ยเจียง เจ้าไปกับข้าเถิด ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วมีอาหารอร่อย ๆ ตั้งหลายร้าน เจ้ากับข้ายังเดินเล่นกันจนเพลินลืมเวลากลับจวนเลย เจ้าจำได้หรือไม่" จิ่วเย่วลูกสาวนายอำเภอที่เป็นเพื่อนเล่นของฮุ่ยเจียงมาตั้งแต่เด็กวันนี้นางมาเพื่อจะพาฮุ่ยเจียงไปเทศกาลหยวนเจียง* (เทศกาลโคมไฟ) ตามที่ได้วางแผนกับห่าวอู๋เอาไว้วันนี้นางจะพลาดไม่ได้ส่วนฮุ่ยเจียงนั้นรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นางได้แต่งงานกับห่าวอู๋ นางเองก็ไม่อยากไปแต่ถ้าปฏิเสธตอนนี้ก็เกรงว่า จะทำให้สหายพี่เติบโตมาด้วยกันสงสัยเอาได้ ว่าเหตุใดนางจึงไม่หัวอ่อนและดูโง่เง่าเหมือนอย่างเคย"เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าไปเจอเจ้ายามโหย่ว (17:00-18.59) ก็แล้วกัน" ฮุ่ยเจียงพูดพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบ แต่สายตาก็มองไปยังสหายที่ชาติที่แล้วเคยเชื่อใจ และรักนางเหมือนกับคนในครอบครัว ไม่คิดว่าสหายหน้าซื่อใจคดผู้นี้จะทำให้ตระกูลนางถูกสังหาร และสั่งฆ่านางกับของนางได้อย่างเลือดเย็นความโกรธแค้นสุมแน่นอยู่ในอก ฮุ่ยเจียงจิกเล็บเข้าไปในเนื้อเพื่อระงับอารมณ์ สายตาเย็นชาแต่ใบหน้ายังคงยิ้มบาง 'ชาตินี้อ
"ต้นท้อหลวงเป็นพันธุ์ไม้แปลกหายากสิบปีถึงจะออกดอกออกผล" เขาพูดแล้วยิ้มด้วยความดีใจที่เด็กน้อยยอมพูดด้วยฮุ่ยเจียงตาโต มีต้นไม้ที่ใช้เวลาออกดอกออกผลนานขนาดนี้ด้วยหรือ "นานถึงเพียงนั้นเลยหรือพี่ชาย ไม่ใช่ว่ามันจะตายก่อนหรือเจ้าคะกว่าจะได้เห็นผลของมันหรือกว่าจะได้ลิ้มรสชาติของต้นไม้ต้นนี้" เด็กน้อยพูดขึ้นด้วยความสงสัยยื่นมือไปสัมผัสเจ้าต้นท้อหลวงด้วยความสนใจ"ถ้าเจ้าดูแลมันด้วยความรัก หมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยแล้วอย่าลืมใส่ใจลงไปด้วย ถ้าหากว่าคิดถึงข้าเจ้าก็พูดกับมันออกมา ให้เจ้าคิดว่าข้าคือต้นไม้ต้นนี้ถึงแม้ว่าข้าจะตอบโต้เจ้าไม่ได้ แต่ข้ารับรู้ได้แน่นอน" สวีเสวียนหนานพูดจากหลอกล่อเด็กน้อย “จริงหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยถามด้วยความกระตือรือร้น นางเชื่ออย่างสนิทใจ"จริงที่สุดเพียงแค่เจ้าทำตามทุกอย่างที่ข้าพูด ดังนั้นข้าขอฝากเจ้าดูแลต้นไม้ต้นนี้ได้หรือไม่" เขายื่นต้นไม้ให้นาง ฮุ่ยเจียงรับต้นท้อหลวงมาด้วยความระมัดระวัง "ข้าจะดูแลมันอย่างดี ขอบคุณพี่ชายมากนะเจ้าคะ ท่านเชื่อใจข้าได้เลย สิบปีก็สิบปี หากถึงวันนั้นท่านกลับมาแล้วท่านจะได้ลิ้มรสชาติผลไม้ต้นนี้อย่างแน่นอน" ฮุ่ยเจียงตอบด้วยท่าทางขึงขัง ดวง
ซีฮั่นที่ได้ยินก็ส่ายหัวอย่างนึกระอา สิ่งที่เขาเตือนคงไม่เข้าหูคนอย่างนาง พลางนึกไปถึงครั้งที่นางถูกส่งมาเป็นหญิงอุ่นเตียงให้ท่านอ๋องใหม่ ๆ ตอนนั้นนางอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวโดนเหล่าบรรดาหญิงอุ่นเตียงก่อนหน้านั้นรังแกสารพัด จนท่านอ๋องทนความรำคาญไม่ไหวจึงส่งพวกนางออกไปแต่ยังเหลือนางเอาไว้เพราะสงสาร แต่ไม่คิดว่านางจะคิดกำเริบเสิบสานคงคิดว่าท่านอ๋องเอ็นดูนางกระมัง แต่ที่นางไม่มีโอกาสเข้ามารับใช้ท่านอ๋องเลยสักครั้งก็เพราะว่าท่านอ๋องมิได้สนใจนางต่างหาก แม้ว่านางจะแต่งกายยั่วยวนเพียงใด สายตาท่านอ๋องก็มิเคยชายตาแล แต่นางก็ไม่คิดยอมแพ้และหาวิธีเข้าใกล้ท่านอ๋องทุกครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนว่าท่านอ๋องคงไม่เก็บไว้ให้ระคายสายตาซีฮั่นยกสุราเข้ามาวางแล้วจัดการเทสุราให้ท่านอ๋องก่อนที่จะได้ยินท่านอ๋องพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม"ข้าได้ลองคุยกับเสด็จแม่แล้ว ให้คุยกับเสด็จพ่อเรื่องการส่งหญิงงามเข้ามาที่จวน ต่อไปนี้คงไม่มีอีก ส่วนคนที่เหลือเจ้าจัดการพาพวกนางออกไปให้พ้น ๆ หน้าข้าด้วยก็แล้วกัน ยิ่งมีคนมากข้าก็ยิ่งรำคาญ มันผู้ใดที่ต้องการจะปีนเตียงข้าเจ้าควรรู้ว่าต้องกำจัดเช่นไร” สวีเสวียนหนานพูดพร้อมกับถอนหายใจอ