ฮุ่ยเจียงย่อกายทำความเคารพบุคคลทั้งสามจากนั้นก็เดินเข้าไปหาท่านพ่อที่กำลังวางตำราลงโดยมีฮุ่ยหลินเข้ามานั่งบนหัวเข่าแล้วหยิบขนมบนจานขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ฮุ่ยเจียงสอดแขนไปรอบเอวของบิดาใบหน้าเล็กก้มงุดลงไปที่หน้าอกดวงตาหลับพริ้มซึมซับความรู้สึกคิดถึงท่ามกลางความแปลกใจของทั้งสามคน
"เจียงเอ๋อร์ลูกพ่อเจ้าเป็นอันใดรึ เจ็บป่วยยังไม่หายใช่หรือไม่" กล่าวจบฮุ่ยหมิ่นก็ยกมือขึ้นแตกหน้าผากเช็กอาการบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงเพราะปกตินางไม่ค่อยอ้อนนอกจากตอนยามเจ็บไข้ได้ป่วย
"ลูกสบายดีเจ้าค่ะแต่เมื่อคืนลูกเพียงแค่ฝันร้าย" ฮุยเจียงยิ้มให้บิดาแล้วผละออกหลังจากกอดจนพอใจ นางเดินเข้าไปหามารดาที่มองด้วยสายตาอบอุ่นร่างเล็กโถมเข้าหามารดาซบลงบนอกอุ่นด้วยความคิดถึง ดวงตาของนางร้อนผ่าวจนเกือบจะไหลทำให้นางต้องกะพริบตาปริบ ๆ ไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาเกรงว่าจะทำให้มารดาเป็นห่วง
"เจ้าเด็กคนนี้อ้อนเป็นน้องสาวเจ้าไปได้" ซูลี่ลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรสาวที่กำลังอ้อนราวกับเด็กน้อยใบหน้ายังคงส่งรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งเป็นใบหน้าที่ฮุ่ยเจียงเห็นจนชินตา สายตาของมารดาที่มองมาที่นางนั้นเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรักของแม่นั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
"ก็ข้ารักท่านแม่นี่เจ้าคะ" ฮุ่ยเจียงตอบมารดาด้วยน้ำเสียงติดสั่น
"ข้ารู้ ๆ เอ้ายังเหลืออีกคนหนึ่งแม่เจ้าน้อยใจแล้วกระมัง" ฮุ่ยเจียงผละจากอกมารดาก่อนจะจู่โจมไปที่แม่รองอ้อมกอดของนางรัดแน่น ไม่ต่างจากที่กอดกับมารดาผู้ให้กำเนิด
"แม่รองท่านอย่าน้อยใจไปข้าเองก็รักท่านเหมือนกัน นี่แหนะ...ข้ารักแม่รองนะเจ้าคะ " นางพูดพร้อมกับยื่นนิ้วเล็ก ๆ ไปที่เอวซึ่งเป็นจุดอ่อนของแม่รองด้วยความขี้เล่น
"คิก คิก คุณหนู ไม่นะไม่เล่นแบบนี้"
"เมื่อกี้แม่รอง เรียกข้าว่ายังไงนะเจ้าคะ" เสียงเด็กสาวเข้มขึ้นดวงตาเรียวหรี่ลงนิ้วเล็ก ๆ ยังจ่ออยู่ที่เอวของนาง
เย่วซินที่เผลอเรียกว่าคุณหนูก็เบิกตาโพลงนางรีบบิดตัวหนีนิ้วเล็ก ๆ ของเด็กสาวตรงหน้าเพราะใครต่างก็รู้ว่านางและบุตรสาวเป็นคนบ้าจี้เพียงใดและนั่นยังเป็นสิ่งที่ลูกเลี้ยงที่นางรักไม่ต่างกับบุตรสาวในไส้ชอบแกล้งนาง ทำให้ตอนนี้นางได้แต่หัวเราะน้ำตาไหลพร้อมกับพูดละล่ำละลักแก้ตัวพัลวันทั้งยังส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด
"แม่รองเพียงเผอเรอไปเท่านั้นลูกอย่าถือสา คิก คิก เจ้าปล่อยแม่รองด้วย โปรดไว้ชีวิตข้าสักครา" เสียงหัวเราะพร้อมกับร้องขอทำเอาสองสามีภรรยากับเด็กน้อยอีกสองคนมองและยิ้มตามแต่ไม่มีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงที่กำลังจะฆ่ากันตายด้วยเสียงหัวเราะ
"ไม่เจ้าค่ะวันนี้แม่รองต้องตายด้วยน้ำมือของข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่แหนะ ๆ ๆ " ฮุ่ยเจียงที่รักแม่รองไม่น้อยกว่าแม่แท้ ๆ และยังชอบจี้เอวเพราะแม่รองหัวเราะได้อร่อยนัก
"ท่านพี่ พี่หญิงช่วยข้าด้วยลูกท่านจะฆ่าข้าแล้ว คิก คิก " เย่วซินร้องขอความช่วยเหลือจากสามีและฮูหยินรองทั้งยังส่งเสียงหัวเราะไม่หยุด
"ลูกข้าที่ไหนกัน นางลูกเจ้าชัด ๆ มีที่ไหนหัวเราะกันจนลั่นจวนแบบนี้ ลูกข้าอยู่นั่นต่างหาก ฮุ่ยหลินมาหาแม่ใหญ่มา.. แม่ใหญ่จะป้อนขนมให้ นี่แม่ใหญ่ให้คนซื้อขนมที่เจ้าชอบมาเลยนะ" ฮูหยินใหญ่พูดขึ้นพร้อมกับหยิบถังหูลู่ที่ถูกบรรจุใส่กล่องอย่างดีที่ให้คนไปรับที่ร้านมา เพื่อฮุ่ยหลินโดยเฉพาะที่พูดว่านางเป็นลูกอีกคนนั้นไม่เกินจริงเพราะนางรักลูกทุกคนที่เกิดมาจากสามีที่นางรักรวมถึงภรรยารองของสามีนางเองก็รักไม่ต่างจากน้องสาวอาจเป็นเพราะความเอ็นดูตั้งแต่ครั้งแรกที่พบจะกล่าวว่าถูกชะตาก็ไม่ผิดนัก เย่วซินนั้นเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวและเคารพนางด้วยใจจริงและเป็นอย่างนั้นอย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่ใช่แค่สามีที่เย่วซินดูแลเป็นอย่างดี นางเองก็ได้รับการดูแลจากเย่วซินอย่างดีเช่นกัน
ในตอนที่พบกับเย่วซินครั้งแรกนั้น นางและสามีได้ไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมืองระหว่างทางกลับเจอเข้ากับเย่วซินที่กำลังนั่งร้องไห้ ดูแล้วน่าเวทนาข้างกายมีศพของผู้เป็นบิดานอนอยู่อย่างอนาถ
ในตอนนั้นนางพึ่งอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้นผู้คนที่มามุงดูต่างก็พากันสงสารแต่ก็ไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือ ด้วยความที่นางเป็นคนมีจิตใจเมตตาจึงเข้าไปถามไถ่ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนเดินทางมาจากต่างแคว้นเพื่อมาหางานทำ แต่เพราะบิดาที่อายุมากหลังจากตรากตรำเดินทางอย่างยาวนานร่างกายอ่อนล้าและด้วยโรคชราทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา นางรู้สึกได้ถึงความกลัวและชีวิตที่โดดเดี่ยวของเย่วซิน จึงขออนุญาตสามีพาเย่วซินกลับมาด้วย
สามปีผ่านไปเย่วซินก็เติบโตตามวัยในตอนนั้นนางเองก็กำลังท้องฮุ่ยเจียงและเห็นว่าสามีนั้นต้องห่างหายเรื่องของสามีภรรยา
ตอนนั้นสามีของนางเองก็เพิ่งเข้าสู่วัยฉกรรจ์ดังนั้นความต้องการย่อมมีมากแน่นอน แต่เพราะสามียังคงรักนางจึงมิได้ปรายตามองหญิงใดขนาดเย่วซินสวยงามไม่แพ้กับลูกคุณหนูในเมืองสามียังมิชายตาคอยเว้นระยะห่างเรื่อยมา เย่วซินเองก็ไม่ได้คิดจะปีนเตียงสามีของนางและอยู่อย่างคนรับใช้คอยรับใช้นางไม่ห่างกาย
แต่เพราะนางสงสารสามีและต้องการหาคนมาแบ่งเบาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนสนิทข้างกาย ถึงจะใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่นานแต่ทุกอย่างก็ราบรื่นดี แต่กับสามีของนางนั้นการเจรจาไม่ราบรื่นเท่าไรนัก
จนนางต้องขอร้อง สามีจึงทำตามความต้องการของนางและหลังจากนั้นการแต่งเข้าจวนของฮูหยินรองก็ถูกจัดขึ้น ผ่านมาแล้วยี่สิบห้าปีครอบครัวของเราก็ยังอยู่เย็นเป็นสุข
ซูลี่ป้อนขนมฮุ่ยหลินด้วยความอ่อนโยนน้ำเสียงที่เรียกนางก็ฟังดูนุ่มระรื่นหู
"ขอบคุณเจ้าค่ะแม่ใหญ่ข้ารักท่านที่สุดเลยเจ้าค่ะ" เด็กน้อยรู้ความรู้จักอ้อนเอาใจและรู้ว่าท่านพ่อแม่ใหญ่และท่านแม่รวมถึงพี่ชายใหญ่และพี่สาวรักนางทุกคน ฮุ่ยหลินเป็นเด็กร่าเริงสดใสคิดสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้นจึงไม่มีใครไม่เอ็นดูเพราะถูกเลี้ยงมาอย่างดีทั้งตอนนี้ยังอ้อนแม่ใหญ่หยิบขนมป้อนให้นางอีกด้วย
"นี่เจ้าค่ะแม่ใหญ่ ลูกป้อนท่านบ้างนะเจ้าคะ" เด็กน้อยเอาใจใบหน้ากลมส่งยิ้มจนตาหยี
ส่วนสองคนแม่ลูกที่เมื่อกี้ยังหัวเราะร่า ตอนนี้ต่างก็นั่งมองสตรีต่างวัย ที่ต่างเอาอกเอาใจกันไม่หยุดพลางหันมามองหน้าแล้วพูดออกมาพร้อมกัน "แม่รองโดนทิ้งแล้ว//เจ้าโดนทิ้งแล้ว" เสียงที่ดังก้องทำให้ฮุ่ยหมิ่นให้ไปมองแล้วส่ายหัว ก่อนจะหันมากวักมือเรียกลูกชายที่กำลังนั่งยิ้มเข้ามาใกล้ ๆ
"เจ้ามาอ่านตำราให้ข้าฟังดีกว่า" ฮุ่ยเฉิงก้มหน้ารับแล้วเดินมาหาบิดานั่งข้าง ๆ อย่างเชื่อฟัง
"ขอรับท่านพ่อ"
...
ฮุ่ยเจียงขึ้นมานั่งบนรถม้าหลังจากที่ขออนุญาตท่านพ่อท่านแม่เพื่อจะไปไหว้พระที่วัด มือบางตวัดผ้าม่านขึ้นแล้วมองไปที่เรือนฮุ่ยหลันอีกครั้งยามที่เห็นท่านพ่อท่านแม่และแม่รองหัวเราะและส่งยิ้มให้กันอย่างมีความสุขรวมถึงน้อง ๆ ที่นั่งเล่นกันไม่ห่างนางก็ยิ้มตามอย่างมีความสุข มือบางปล่อยผ้าม่านลงพลางคิดว่านี่กระมังที่เป็นเหตุให้นางมองคนอื่นในแง่ดีตามไปด้วย เพราะครอบครัวของนางสมานฉันท์อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดีในตอนที่สหายนางเข้ามาขอร้องนางให้ช่วยเหลือนางจึงไม่อาจตัดเยื่อใยได้เพราะคิดว่ายังไงก็เป็นสหายกันมานาน
ด้วยความคิดที่น้อยไปในหัวสมองน้อย ๆ ของนางเพียงแค่คิดว่าขนาดท่านแม่ยังพาแม่รองเข้าจวนและยังให้เป็นฮูหยินรองอยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่กลมเกลียวกันได้แล้วเหตุใดสหายของนางที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในยามที่สหายเดือดร้อนนางจึงช่วยเหลืออย่างดีที่สุดแต่ใครจะคิดว่าการช่วยเหลือในครั้งนั้นเป็นการชักนำความเดือดร้อนมาให้ สหายรักปีนเตียงสามีนางยังพอทำใจได้
แต่การที่พวกมันร่วมมือกันใส่ร้ายครอบครัวของนางว่าก่อกบฏจนถูกประหารนี่สิ! นางยอมไม่ได้...
นี่สินะความโง่งมของนางในชาติที่แล้วเพราะคิดว่านางดีต่อใครคนนั้นก็จะดีตอบแต่นางคงลืมคิดไปว่าคนทุกคนไม่ได้จะเป็นเหมือนท่านแม่และแม่รอง
ความแค้นต่อพวกเจ้าในชาติที่แล้วข้าจะไม่มีวันลืม!
จวนสวีเสวียนหนาน"ขนาดนางหลับยังน่ารักขนาดนี้" เสียงอ่อนละมุนของสวีเสวียนหนานทำเอาซีฮั่นแอบกลอกตา นี่ท่านกำลังลักพาตัวบุตรสาวท่านราชครูมาอยู่นะ เหตุใดถึงยังใจเย็นไม่รีบส่งข่าวกัน เอาแต่นั่งมองนางมาครึ่งชั่วยามแล้ว ทั้งยังนั่งพัดวีให้ไม่หยุด ซีฮั่นแทบไม่เห็นแมลงสักตัวบินผ่าน เพราะมันไม่มีชีวิตรอดตั้งแต่บินโฉบลงมาแล้ว ช่างเป็นคนที่เหี้ยมโหดโดยแท้ ส่วนเขาที่ต้องระเห็จมานั่งอยู่หน้าเรือนก็เพราะเผลอไปแอบมองท่านอ๋องอยู่นะสิ!สวีเสวียนหนานหาได้สนใจสิ่งใด ตอนนี้เอาแต่นั่งมองยอดดวงใจ ยามที่เห็นนางกำลังตกน้ำหัวใจของเขาแทบกระเด็นออกมา ยังไม่ทันที่นางจะร่วงลงสู่ผืนน้ำ เขาก็โฉบเข้าไปฉกตัวนางมาจากอ้อมแขนของหญิงชั่วคนนั้นเสียก่อน ไม่ลืมถีบนางหญิงสารเลวนั่นเพื่อส่งให้นางลงสู่ผืนน้ำโดยไว ส่วนเจ้าบุรุษชั่วผู้นั้นซีฮั่นก็เป็นคนส่งมันลงสู่แม่น้ำด้วยลูกถีบที่แคล่วคล่องว่องไว และไม่คิดว่ามีใครมองเห็นนอกจากท่าทางการลงน้ำที่ดูน่าตลกนั่นแต่ครั้งนี้ก็ถือว่าเขายังใจดีกับพวกมันอยู่ส่วนฮุ่ยเจียงที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราว นางไม่รู้เลยว่าตอนนี้นางมาอยู่ที่จวนท่านอ๋องและยังนอนเตียงของเขาอย่างสบายใจ สวีเสวียนหนานมองใ
ฮุ่ยเจียงถูกจิ่วเย่วกึ่งลากกึ่งจูงมาบนสะพานเซี่ยงจื่อ หลังจากแวะซื้อโคมไฟเพื่อนำมาลอย โดยที่จิ่วเย่วเป็นคนลงทุนซื้อมาให้ ฮุ่ยเจียงเพียงปรายตามองเท่านั้นเพราะรู้ถึงสาเหตุที่นางลงทุนสิ้นเปลืองเงินในครั้งนี้ฮุ่ยเจียงมองผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา บางคนก็มากันเป็น คู่ ๆ ซึ่งสะพานนี้เป็นสะพานที่ขึ้นชื่อเรื่องความรัก คู่รักจึงพากันมาที่นี่เพื่อจะปล่อยโคมขึ้นไปบนท้องฟ้าและอธิษฐานร่วมกัน ฮุ่ยเจียงมองผู้คนโดยรอบก่อนจะหันไปเห็นคนของพี่ชายซึ่งนางขอร้องให้พี่ชายส่งคนมาตามดูนางอย่างลับ ๆ พี่ชายนางเองก็เป็นห่วงจึงส่งคนมาดูแลเพราะกลัวว่านางจะเกิดอันตรายในเมื่อห้ามไม่ให้นางมามิได้ ตัวเองก็ติดภารกิจทำให้ไม่สามารถตามมาดูแลด้วยตัวเองได้ แต่สิ่งที่ฮุ่ยเจียงไม่มีวันรู้เลยก็คือรอบตัวนางยังมีเหล่าองครักษ์ที่อยู่ชุดธรรมดาเพื่อให้กลมกลืนกับผู้คน คอยตามดูนางอย่างใกล้ชิดและยังมีองครักษ์เงาที่คอยเฝ้าดูอยู่ไม่ละสายตา รวมถึงดวงตาคมกริบของคนผู้หนึ่งที่มองตามนางไม่วางตา"อันนี้โคมไฟรูปกระต่ายข้าเลือกให้เจ้าเองกับมือเพราะข้ารู้ว่าเจ้าชอบเอาล่ะเจ้าอธิษฐานสิ" จิ่วเย่วส่งโคมไฟรูปกระต่ายให้ฮุ่ยเจียงก่อนจะหันไปหาคนที่ร่วมอ
เมื่อเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับอีกแห่งหนึ่งจิ่วเยว่ก็เดินเข้าไปนางหยิบกำไลที่ประณีตและงดงามขึ้นมา "ฮุ่ยเจียง เจ้าดูนี่..กำไลหยกชิ้นนี้สิ งดงามมากทีเดียว" จิ่วเย่วพูดจบก็สวมกำไลหยกสีเขียว พร้อมกับลูบคลำด้วยความชื่นชอบด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงจะไม่งามเท่าที่นางเห็น ฮุ่ยเจียงสวมแต่ก็ดีกว่าชิ้นไหน ๆ ที่วางขายและนางก้อยากได้อยู่พอดี"คุณหนู กำไลชิ้นนี้พอประดับอยู่บนตัวท่านช่างงดงามเสียจริง ๆ" เจ้าของร้านเอ่ยชม แต่ฮุ่ยเจียงเห็นใบหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ของเจ้าของร้าน ปากช่างเจรจาแบบนี้เห็นทีว่าจะขายดีเลยทีเดียว"จริงหรือเถ้าแก่ ฮุ่ยเจียงเจ้าช่วยข้าดูหน่อยสวยงามจริง ๆ หรือ" จิ่วเย่วพูดกับเจ้าของร้านแล้วหันมาทางฮุ่ยเจียงที่เพียงมองนิ่ง ๆ เท่านั้นก่อนที่จะลื่นไหลตามน้ำกล่าวชมไม่ต่างจากเจ้าของร้าน"เหมาะกับเจ้าจริง ๆ ด้วยเจ้าช่างตาถึงยิ่งนัก ปิ่นอันนี้ก็สวยไม่แพ้กัน ไหนให้ข้าลองเสียบผมเจ้าหน่อยสิ ดูสิเถ้าแก่ปิ่นชิ้นนี้กับกำไลหยกที่สหายข้าสวมช่างเข้ากันดีเสียเหลือเกิน ใช่ตามที่ข้าพูดหรือไม่เจ้าคะ"ฮุ่ยเจียงพูดชมด้วยความตื่นเต้นหลังจากหยิบปิ่นขึ้นไปเสียบบนศีรษะของจิ่วเย่ว ดวงตาเปล่งประกายชื่นชมก่อนจะ
จวนราชครู"นะ..ฮุ่ยเจียง เจ้าไปกับข้าเถิด ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วมีอาหารอร่อย ๆ ตั้งหลายร้าน เจ้ากับข้ายังเดินเล่นกันจนเพลินลืมเวลากลับจวนเลย เจ้าจำได้หรือไม่" จิ่วเย่วลูกสาวนายอำเภอที่เป็นเพื่อนเล่นของฮุ่ยเจียงมาตั้งแต่เด็กวันนี้นางมาเพื่อจะพาฮุ่ยเจียงไปเทศกาลหยวนเจียง* (เทศกาลโคมไฟ) ตามที่ได้วางแผนกับห่าวอู๋เอาไว้วันนี้นางจะพลาดไม่ได้ส่วนฮุ่ยเจียงนั้นรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นางได้แต่งงานกับห่าวอู๋ นางเองก็ไม่อยากไปแต่ถ้าปฏิเสธตอนนี้ก็เกรงว่า จะทำให้สหายพี่เติบโตมาด้วยกันสงสัยเอาได้ ว่าเหตุใดนางจึงไม่หัวอ่อนและดูโง่เง่าเหมือนอย่างเคย"เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าไปเจอเจ้ายามโหย่ว (17:00-18.59) ก็แล้วกัน" ฮุ่ยเจียงพูดพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบ แต่สายตาก็มองไปยังสหายที่ชาติที่แล้วเคยเชื่อใจ และรักนางเหมือนกับคนในครอบครัว ไม่คิดว่าสหายหน้าซื่อใจคดผู้นี้จะทำให้ตระกูลนางถูกสังหาร และสั่งฆ่านางกับของนางได้อย่างเลือดเย็นความโกรธแค้นสุมแน่นอยู่ในอก ฮุ่ยเจียงจิกเล็บเข้าไปในเนื้อเพื่อระงับอารมณ์ สายตาเย็นชาแต่ใบหน้ายังคงยิ้มบาง 'ชาตินี้อ
"ต้นท้อหลวงเป็นพันธุ์ไม้แปลกหายากสิบปีถึงจะออกดอกออกผล" เขาพูดแล้วยิ้มด้วยความดีใจที่เด็กน้อยยอมพูดด้วยฮุ่ยเจียงตาโต มีต้นไม้ที่ใช้เวลาออกดอกออกผลนานขนาดนี้ด้วยหรือ "นานถึงเพียงนั้นเลยหรือพี่ชาย ไม่ใช่ว่ามันจะตายก่อนหรือเจ้าคะกว่าจะได้เห็นผลของมันหรือกว่าจะได้ลิ้มรสชาติของต้นไม้ต้นนี้" เด็กน้อยพูดขึ้นด้วยความสงสัยยื่นมือไปสัมผัสเจ้าต้นท้อหลวงด้วยความสนใจ"ถ้าเจ้าดูแลมันด้วยความรัก หมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยแล้วอย่าลืมใส่ใจลงไปด้วย ถ้าหากว่าคิดถึงข้าเจ้าก็พูดกับมันออกมา ให้เจ้าคิดว่าข้าคือต้นไม้ต้นนี้ถึงแม้ว่าข้าจะตอบโต้เจ้าไม่ได้ แต่ข้ารับรู้ได้แน่นอน" สวีเสวียนหนานพูดจากหลอกล่อเด็กน้อย “จริงหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยถามด้วยความกระตือรือร้น นางเชื่ออย่างสนิทใจ"จริงที่สุดเพียงแค่เจ้าทำตามทุกอย่างที่ข้าพูด ดังนั้นข้าขอฝากเจ้าดูแลต้นไม้ต้นนี้ได้หรือไม่" เขายื่นต้นไม้ให้นาง ฮุ่ยเจียงรับต้นท้อหลวงมาด้วยความระมัดระวัง "ข้าจะดูแลมันอย่างดี ขอบคุณพี่ชายมากนะเจ้าคะ ท่านเชื่อใจข้าได้เลย สิบปีก็สิบปี หากถึงวันนั้นท่านกลับมาแล้วท่านจะได้ลิ้มรสชาติผลไม้ต้นนี้อย่างแน่นอน" ฮุ่ยเจียงตอบด้วยท่าทางขึงขัง ดวง
ซีฮั่นที่ได้ยินก็ส่ายหัวอย่างนึกระอา สิ่งที่เขาเตือนคงไม่เข้าหูคนอย่างนาง พลางนึกไปถึงครั้งที่นางถูกส่งมาเป็นหญิงอุ่นเตียงให้ท่านอ๋องใหม่ ๆ ตอนนั้นนางอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวโดนเหล่าบรรดาหญิงอุ่นเตียงก่อนหน้านั้นรังแกสารพัด จนท่านอ๋องทนความรำคาญไม่ไหวจึงส่งพวกนางออกไปแต่ยังเหลือนางเอาไว้เพราะสงสาร แต่ไม่คิดว่านางจะคิดกำเริบเสิบสานคงคิดว่าท่านอ๋องเอ็นดูนางกระมัง แต่ที่นางไม่มีโอกาสเข้ามารับใช้ท่านอ๋องเลยสักครั้งก็เพราะว่าท่านอ๋องมิได้สนใจนางต่างหาก แม้ว่านางจะแต่งกายยั่วยวนเพียงใด สายตาท่านอ๋องก็มิเคยชายตาแล แต่นางก็ไม่คิดยอมแพ้และหาวิธีเข้าใกล้ท่านอ๋องทุกครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนว่าท่านอ๋องคงไม่เก็บไว้ให้ระคายสายตาซีฮั่นยกสุราเข้ามาวางแล้วจัดการเทสุราให้ท่านอ๋องก่อนที่จะได้ยินท่านอ๋องพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม"ข้าได้ลองคุยกับเสด็จแม่แล้ว ให้คุยกับเสด็จพ่อเรื่องการส่งหญิงงามเข้ามาที่จวน ต่อไปนี้คงไม่มีอีก ส่วนคนที่เหลือเจ้าจัดการพาพวกนางออกไปให้พ้น ๆ หน้าข้าด้วยก็แล้วกัน ยิ่งมีคนมากข้าก็ยิ่งรำคาญ มันผู้ใดที่ต้องการจะปีนเตียงข้าเจ้าควรรู้ว่าต้องกำจัดเช่นไร” สวีเสวียนหนานพูดพร้อมกับถอนหายใจอ