LOGINหลิวซินเห็นเหอซานเดินออกมา มือหนึ่งของนางลูบอกตัวเองพลางยิ้มกว้างราวกับได้สิ่งใดติดมือมา ทำให้หลิวซินอดสงสัยมิได้ว่าในหอดอกท้อนั้นมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกันแน่ ความอยากรู้อยากเห็นผลักดันให้นางก้าวเข้าไปในหอดอกท้อโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวรูปโฉมงดงามที่อยู่ภายในเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ครั้งนี้ไม่ใช่หญิงหน้าตาไม่งามดังเช่นครั้งก่อน หากแต่เป็นหญิงสาวผู้มีโฉมสะคราญสะกดตา นางเอียงคอเล็กน้อยด้วยความฉงน วันนี้เป็นวันอันใดกัน ถึงได้มีสตรีแปลกหน้ามาถึงสองคน ก่อนเอ่ยถามเสียงนุ่ม “เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ” หัวใจหลิวซินเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อก้าวเข้ามา นางเหลียวซ้ายแลขวาเห็นผู้คนบางตา จึงขยับเข้าใกล้หญิงสาวรูปงามแล้วเอ่ยออกไปด้วยเสียงแผ่ว “ข้ามาซื้อของ…เหมือนหญิงสาวคนเมื่อครู่” คำพูดนั้นเป็นเพียงสิ่งที่นึกออกในฉับพลัน “อ๋อ…พวกเจ้ามาซื้อยาเสียสาวหรือ?” หญิงงามผู้นั้นยิ้มบาง ดวงตากวาดมองหลิวซินพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉงน “ช่างประหลาดนัก เจ้าหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงต้องใช้ยาชนิดนั้นเล่า” “ยา…เสียสาวอย่างนั้นหรือ!” หลิวซินเผลอร้องออกมาอย่างตกใจ หญิงงามหัวเราะเบา ๆ “ใช่ หรือเจ้าไม่ได้ตั้งใจมาซื้อเช่นกันหรอกหรือ? เจ้าสวยสะคราญถึงเพียงนี้ มิเหมาะต้องใช้ของเช่นนั้นหรอก” น้ำเสียงของนางเจือความหวังดี “ข้า…ข้าไม่ซื้อแล้ว ข้าเข้าใจผิดไปเอง” หลิวซินรีบหันหลังเดินออกจากหอดอกท้อ ราวกับกลัวอยู่นานกว่านี้จะถูกผู้ใดพบเห็นเข้า หญิงสาวรูปโฉมงามได้แต่มองตามแผ่นหลังที่รีบร้อนจากไปด้วยความงุนงง หญิงสาวสองคนนี้ช่างแปลกเสียจริง… หลังจากก้าวพ้นหอดอกท้อ หลิวซินก็คิดพลางเดินตรงไปยังที่ที่เหอซานอยู่ ครานี้เห็นนางแวะร้านอาหารและถือไหสุราเดินออกมา หลิวซินจึงแสร้งทำทีเลือกซื้อผัก แล้วรีบกลับไปยังรถเกวียนของหมู่บ้าน ก่อนขึ้นนั่งด้านในเพื่อมิให้เหอซานสังเกตเห็น หลิวซินหลบสายตาทันทีที่เหอซานอุ้มไหสุราขึ้นมาวางบนเกวียน ระหว่างการเดินทางกลับหมู่บ้าน เสียงสนทนาของชาวบ้านที่ดังขึ้นพลันเข้าหูของนางพอดี “เหอซาน เจ้านี่ซื้อสุราไปดื่มหรือ?” ชายคนหนึ่งถามอย่างสงสัย หลิวซินที่นั่งฟังอยู่แอบขยับตัวเข้าใกล้ เพื่อจับถ้อยคำให้ชัดเจนขึ้น เหอซานได้ยินคำถามก็ยิ้ม ไม่คิดจะปิดบัง “ข้าจะเอาไปให้พี่ตงจวิน ได้ข่าวว่าเขาจะแต่งงาน ข้าก็เลยตั้งใจไปแสดงความยินดีกับพี่เขาสักหน่อย ยิ่งคนรู้มากก็ยิ่งดี” “อ้อ…ตงจวินจะแต่งงานแล้วหรือ?” ชาวบ้านผู้นั้นอุทานด้วยความแปลกใจ “ใช่ อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงแล้ว” น้ำเสียงเหอซานแม้ตอบยิ้ม แต่แววตากลับเจือความไม่พอใจที่ยากจะปิดบัง “อ้อ เช่นนั้นเองรึ” หลิวซินก้มหน้าลง ไม่เอ่ยถ้อยคำอันใดอีก ความคิดพลันตีกันในใจ หรือว่าเหอซานตั้งใจจะใช้ยาเสียสาวกับตงจวิน? แล้วนางจะนำสุราไปมอบให้เขาเมื่อใดกันเล่า… ความกังวลเกาะกุมหัวใจยิ่งนัก ยามทอดตามองท้องฟ้าที่แต้มสีส้มยามอัสดง ความไม่สบายใจยิ่งทวีคูณ ‘เหอซานคงยังไม่เอาของไปให้ตงจวินในวันนี้หรอก…แต่ข้าก็มิอาจวางใจได้ จำต้องหาโอกาสไปเตือนเขาสักครั้ง’ เมื่อกลับถึงบ้าน หลิวซินเห็นมารดาชะเง้อมองออกมาที่หน้าประตู นางก้าวเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านแม่ เหตุใดถึงมารออยู่ตรงนี้เจ้าคะ” “แม่ก็มารอเจ้าน่ะสิ! ไปไหนมา เหตุใดไม่บอกก่อน ปล่อยให้แม่เป็นห่วงเช่นนี้” กัวหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้ม “พอดีข้ามีของเล็กน้อยต้องซื้อ จึงรีบเข้าไปในเมือง แต่ก็หาไม่ได้ดังที่ต้องการ…ท่านเข้าไปด้านในก่อนเถิดเจ้าค่ะ” กัวหยุนเห็นท่าทางลูกสาวผิดปกติ แม้ไม่เอ่ยซักไซ้ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ “เจ้าแอบปิดบังอันใดจากแม่หรือไม่” อีกไม่กี่เดือนลูกสาวก็จะออกเรือนแล้ว นางไม่อยากให้มีเรื่องใดมาทำให้งานเสียหาย “ข้าไม่มีเรื่องอันใดหรอกเจ้าค่ะ ก่อนไปยังได้แวะเอาอาหารไปให้พี่ตงจวินด้วย” หลิวซินรีบเบนเรื่องทันที “อ๋อ เช่นนั้นก็ดีแล้ว ๆ” กัวหยุนยิ้มกว้าง ลืมความสงสัยไปในบัดดล หลิวซินยกมือกดอก ถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก ดีที่มารดาไม่ไต่ถามต่อ ทางด้านเหอซาน เมื่อกลับถึงบ้านของตนก็ได้ยินเสียงดุด่าดังมาแต่ไกล “แกมัวไปไหนมา! ข้าตามหาตั้งนานแล้ว เวลานี้เพลาล่วงเลยไปเท่าใดแล้ว อาหารยังมิได้ทำอีก!” จ้าวเฟิงตวาดเสียงหงุดหงิด เหอซานหันไปตามเสียงนั้น พลางพยักหน้าเบา ๆ “ข้าจะรีบไปทำเดี๋ยวนี้” ดีที่นางเอาของไปเก็บไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว “ก็ไปสิ มายืนทำหน้าซื่ออยู่ได้!” จ้าวเฟิงสะบัดก้นเดินจากไป ยิ่งเห็นหลานสาวคนนี้ของสามีก็ยิ่งอารมณ์เสีย หน้าตาไม่งาม แถมน่ารำคาญ จะขายก็ขายไม่ออก เสียของจริง ๆ หลังจากจัดการอาหารเสร็จสิ้น เหอซานก็รีบกลับเข้าห้อง นางยกไหสุราออกมาวางตรงหน้า แววตาเจือความหวังพร้อมรอยยิ้มกว้าง ‘อีกไม่นาน ข้าก็จะได้ก้าวออกจากบ้านหลังนี้เสียที สิ่งนี้…คือทางรอดเดียวของข้า’ นางหยิบห่อยาที่ซ่อนในเสื้อ คลี่ออกมาก็เห็นสมุนไพรบางชนิดซึ่งไม่คุ้นตา นางนำไปต้มจนเดือด ก่อนเทผสมลงในไหสุรา เมื่อเห็นสุราที่ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น พรุ่งนี้…ข้าจะเริ่มแผนที่รอคอยมานาน คืนนั้น หลิวซินพลิกกายไปมาบนที่นอน ความกังวลวนเวียนไม่ยอมจางตลอดทั้งคืน จนเมื่อแสงอรุณแรกโผล่พ้นขอบฟ้า นางก็ลุกขึ้นจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว รีบกินอาหาร แล้วตรงไปหามารดา “ท่านแม่ ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อยนะเจ้าคะ” หลิวซินเอ่ยเร่งรีบ ก่อนก้าวฉับออกจากบ้านโดยไม่รอคำถาม กัวหยุนมองตามด้วยความงุนงง แต่ยังไม่ทันได้ถามสิ่งใด ลูกสาวก็วิ่งลับสายตาไปแล้ว หลิวซินตรงไปยังท่าน้ำที่ตงจวินกำลังจะออกเรือ นางถือห่ออาหารติดมือมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้าง พอไปถึงก็ก้าวเข้าไปหาเขาด้วยลมหายใจหอบถี่ “ท่านกำลังจะออกเรือหรือ” “ใช่แล้ว เจ้ามาหาข้าแต่เช้า มีเรื่องอันใดกันหรือ” เขามองนางอย่างแปลกใจ หลิวซินกวาดตามองรอบข้าง เห็นชาวบ้านชายหลายคนกำลังเตรียมเรืออยู่ จึงลดเสียงลงแล้วเอ่ย “ข้านำอาหารมาให้ และก็มีเรื่องอยากเตือนท่านเล็กน้อย” นางยกห่ออาหารขึ้นส่งให้ “เจ้าถึงกับนำอาหารมาให้ข้าหรือ” ตงจวินถามด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อนเลย หลิวซินขยับเข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูเขาเบา ๆ “หากเหอซานมาหาท่าน แล้วนำของใดมาให้กิน ข้าขอให้ท่านอย่าเพิ่งแตะต้องมันได้หรือไม่” “เหตุใดหรือ เจ้ารู้ได้อย่างไร” เขาถามซักเสียงจริงจัง “ท่านอย่าได้ถามเลย หากนางนำสิ่งใดมา ขอให้ท่านส่งต่อให้ข้าแทนได้ไหม” หลิวซินสบตาเว้าวอน ตงจวินเห็นท่าทีจริงจังของนาง จึงพยักหน้ารับ “ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขอ” “ขอบคุณท่านมาก ข้ามีเพียงเท่านี้…ท่านออกเรือโดยปลอดภัยนะ” พูดจบ หลิวซินก็รีบผละไปทันที ชายชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นเอ่ยแซวเสียงดัง “ยังมิทันแต่ง ก็มีสาวงามเอาอาหารมาส่งถึงที่เสียแล้ว เจ้าช่างโชคดีนัก!” เสียงหัวเราะของชาวบ้านดังครืนตามมา ตงจวินได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย แต่ในใจยังคงครุ่นคิด เหตุใดหลิวซินถึงได้ฝากฝังเรื่องประหลาดเช่นนั้น หรือมีสิ่งใดที่นางกังวลอยู่กันแน่…“เด็กน้อยของพ่อ… เจ้าช่างน่าเอ็นดูนัก”ตงจวินมองลูกน้อยในอ้อมแขน พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและปลื้มปิติกัวหยุนซึ่งเพิ่งดูแลลูกสาวเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาจากห้องด้านใน พอเห็นภาพสองพ่อลูกอยู่เคียงกัน นางก็อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้“เป็นอย่างไรเล่า ลูกของเจ้าเหมือนเจ้าหรือไม่” นางเอ่ยถามพลางก้าวเข้ามาใกล้ มองดูหลานชายทั้งสองอย่างพินิจ เด็กน้อยทั้งคู่เป็นเพศชาย แต่กลับมีใบหน้าที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนแฝดทั่วไปเลยสักนิด“ข้าว่าพวกเขาไม่เหมือนกันนัก คนหนึ่งหน้าตาคล้ายข้า ส่วนอีกคนกลับเหมือนหลิวซินอยู่มาก” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “แต่ไม่ว่าจะเหมือนใคร ข้าเพียงอยากให้พวกเขาเติบโตเป็นคนเก่งเหมือนภรรยา และแข็งแรงเหมือนข้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”กัวหยุนหัวเราะเบา ๆ และมองเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของตงจวินอย่างเอ็นดูตงจวินคิดถึงภรรยาที่นอนอยู่ด้านในห้อง ถึงจะรู้ว่านางปลอดภัยแต่ก็อดห่วงไม่ได้ “ตอนนี้ภรรยาข้าหลับแล้วหรือ” เขาหันไปถามแม่ย้ายด้วยสายตาเป็นห่วง“หลับไปแล้ว” กัวหยุนตอบคำถามให้ตงจวินเบาใจลงตงจวินพยักหน้า ก่อนอุ้มลูกชายทั้งสองเข้าไปในห้องที่ภรรยานอนพักอยู่ ภาพเบื้องห
หลิวซินที่โผล่ขึ้นจากน้ำ มองเห็นเงาเรือลาง ๆ อยู่ไม่ไกล แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นตงจวิน ทว่าเมื่อสบเข้ากับสายตาเขา…ดวงตาคู่นั้นกลับคลอไปด้วยน้ำตาใส“ข้ากลับมาแล้ว” นางกล่าวเบา ๆ ด้วยเสียงสั่นไหว ดวงตาเปี่ยมด้วยความคิดถึงและโหยหาตงจวินรีบดึงร่างหลิวซินขึ้นมาจากน้ำ แล้วโอบกอดนางแนบอกแน่นราวกลัวว่าจะสูญเสียอีกครั้ง ความอบอุ่นจากร่างบางทำให้หัวใจที่แห้งแล้งถูกเติมเต็มในพริบตา เสียงของเขาแผ่วพร่าจากการกลั้นสะอื้น “เจ้าหายไปไหน ข้าคิดถึงเจ้ามาก…จริง ๆ”เขาซบหน้าลงที่ซอกคอของภรรยาแน่น ก่อนเงยหน้ามองใบหน้าอ่อนหวานที่คิดถึงมานานเหลือเกินหลิวซินลูบหลังสามีเบา ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาและใบหน้าที่บวมแดงจากการร้องไห้ไม่รู้กี่คืน นางพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้ามีเรื่องมากมายเหลือเกิน อยากเล่าให้ท่านฟัง” เพียงไม่กี่วัน…ชีวิตของนางกลับผ่านเหตุการณ์มหัศจรรย์เกินจะเอ่ย“เจ้าไปอยู่ที่ใดมา รู้หรือไม่ว่าพี่เป็นห่วงเพียงใด” เขาพูดพรั่งพรูด้วยความรู้สึกที่เก็บกดมานาน ทั้งคิดถึง ทั้งหวาดกลัวจะสูญเสียนางไปอีก“ตอนที่ข้าช่วยท่าน ข้าก็หมดสติไป ไม่รู้เลยว่าร่างของข้าเข้าไปในมิติตั้งแต่เมื่อใ
“นั่นเสียงหวงหานนิ!” ผู้ใหญ่หางเจ๋ยรีบยกคบเพลิงขึ้นส่องไปยังทิศที่ได้ยินเสียงนั้น“ข้าก็ได้ยินเช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านเรารีบเข้าไปดูเถิด” ชายผู้หนึ่งที่มาช่วยตามหาเอ่ยเร่งด้วยความร้อนใจกัวหยุนซึ่งกำลังร้องไห้ตามหาลูกสาว ได้ยินดังนั้น นางไม่รอช้า รีบวิ่งตรงไปยังเรือที่เพิ่งเทียบท่าทันที พอเห็นภาพตรงหน้า หวงหานพาตงจวินนอนสลบไม่ได้สติ นางกลับมองไปรอบ ๆ แล้วหัวใจแทบหยุดเต้น เพราะไม่เห็นร่างของลูกตนแม้แต่น้อย“หลิวซินเล่า… เจ้าพบนางหรือไม่?” เสียงนางสั่นพร่า ทั้งกลัวทั้งสิ้นหวัง“ท่านป้า…” หวงหานหลบตา น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่จริง… เจ้าตอบข้ามาเถิด เจ้าพบนางหรือไม่!” กัวหยุนเอ่ยเสียงสั่น มองอีกฝ่ายที่น้ำตาไหลไม่หยุด“หลิวซิน… นางจมลงไปใต้ทะเลขอรับ” เขาพูดออกมาทั้งน้ำเสียงสั่นเครือ“ไม่จริง… ลูกของข้าว่ายน้ำเป็น นางต้องรอดแน่! นางจมลงไปตรงไหน?” กัวหยุนถามเสียงสั่น สติเริ่มเลือนลาง“นางจมตรงน้ำวนขอรับ… พร้อมกับเจียงหมิง” หวงหานตอบพลางหันไปมองผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งเดินเข้ามา พร้อมกับชาวบ้านอีกหลายคน“เจ้าว่าอย่างไรนะ… น้ำวนหรือ?” หางเจ๋ยถึงกับหน้าถอดสี เพราะใคร ๆ ต่างรู้ดี ว่าผู้ใดตกลงไปในน้ำวนนั้น… ไม่ม
“นั่น พวกเขาอยู่ตรงนั้น” หลิวซินชีกระชับฝีเท้าไปยังด้านหน้าท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่หวงหานชะโงกมองไปยังเรือลำหน้า มือสั่นเล็กน้อยในความเป็นห่วงแล้วร้องเรียก “ตงจวิน ใช่เจ้าหรือไม่!”ตงจวินซึ่งพยายามดันเจียงหมินออกจากตัว ได้ยินเสียงคุ้นหูนั้น หัวใจที่เคยแตกสลายกลับเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเสียงเพื่อนชายผสานกับเสียงหวานที่คุ้นเคยดังมาในความมืด “หวงหาน ข้าอยู่ที่นี่ หลิวซิน เจ้าปลอดภัยหรือไม่” เขาตะโกนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราวกับได้ยึดเอาชีวิตคืนมาหลิวซินน้ำตาไหลพรั่ง นางสะอื้นแล้วบอกเสียงสั่น “ตงจวิน ข้าปลอดภัยแล้ว ท่านอย่ากังวล” เสียงร้องของหลิวซินหวานปนสั่นดังขึ้น เพื่อปลอบให้ความกลุ้มของเขาค่อยๆ เบาบางเจียงหมิงได้ยินชื่อหลิวซิน สีหน้าจึงซีดเซียว เขาไม่คิดว่าสตรีคนนั้นจะรอดจากเปลวเพลิงได้ จึงลงแรงมากขึ้นกับคนตรงหน้าก่อนที่หลิวซินจะมาถึง เจียงหมิงได้นั่งเรือมากับตงจวิน จนพบจุดน้ำวน และถามจนออกรู้ความว่ามีถ้ำที่หายใจได้ตรงนั้น ความตื่นเต้นแวบขึ้นในใจเขา เมื่อเห็นจังหวะที่ตงจวินไม่ทันระวัง เขาสาดผงสีขาวตรงหน้าอีกฝ่ายทันที ผงมึนงงที่กลิ่นเพียงเล็กน้อยก็ทำให้สับสนและควบคุมตัวเองได้ยาก“เจ้าทำอะไ
ตงจวินหัวใจกระตุกวูบ ราวกับมีบางสิ่งในอกถูกพรากไป “ทำไมข้าถึงรู้สึกไม่ดีเช่นนี้นะ…” เขาพึมพำเสียงแผ่ว สายตาเหม่อมองยอดเขา เห็นแสงไฟส่องประกายเจิดจ้าลิบ ๆ จึงเพ่งมองด้วยความร้อนรน แต่ยังไม่ทันได้ขยับไปดู เงาร่างหนึ่งเบื้องหน้าก็ดึงความสนใจกลับมา“เจียงหมิง! เจ้าจับภรรยาข้าไปไว้ที่ไหน!”เขาโผเข้ากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธและหวาดหวั่นเจียงหมิงมองท่าทางร้อนรนของเขาอย่างพึงใจ “เจ้าอยากรู้หรือ?” น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงรอยเยาะ “ข้าจะบอกก็ได้…แต่เจ้าต้องทำบางอย่างให้ข้าเป็นการแลกเปลี่ยน”“ต้องทำอะไร? แล้วภรรยาข้าปลอดภัยหรือไม่!” ตงจวินถามเสียงสั่น ความเป็นห่วงหลิวซินกับลูกในครรภ์แทบกลืนกินสติของเขา“ฮึ ปลอดภัยสิ ทั้งคู่” เจียงหมิงหัวเราะเบา ๆ แววตาเจ้าเล่ห์สะท้อนแสงไฟ ยิ่งทำให้ตงจวินไม่ไว้ใจตงจวินสบตาอีกฝ่าย สายตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง แต่ไม่มีเวลาจะมาไตร่ตรองอีก เขาจำต้องรีบเร่งให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็ว “เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใด ถึงจะยอมปล่อยภรรยาของข้า?” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาพร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อให้นางปลอดภัย“ดี…พูดเข้าเรื่องเสียที” เจียงหมิงเอ่ยเรียบ “ข้าไม
“ท่านจะทำอะไร” น้ำเสียงของหลิวซินสั่นระริก ความไม่ไว้วางใจฉายชัดในแววตา วันนี้เจียงหมิงดูแปลกไปจากเดิมราวเป็นคนละคน“จุ ๆ อย่ามองหาใครเลย ที่นี่มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้น” เขาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูผิดปกติ ราวกับความสุขอันบิดเบี้ยวซ่อนอยู่ในนั้น“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ จะมาทำสิ่งใดกับข้า!” หลิวซินขยับถอยหลัง ดวงตาสั่นไหวด้วยความตระหนก มองเขาราวคนบ้าที่คาดเดาไม่ได้“ข้าไม่ทำอันตรายเจ้า เพียงอยากให้เจ้าร่วมมือกับข้าสักเล็กน้อยเท่านั้น หวังว่าเจ้าคงไม่ขัดขืนหรอกนะ” เจียงหมิงส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาเต็มไปด้วยเลศนัย“ร่วมมือ… อะไรกัน?” หลิวซินพยายามคงน้ำเสียงให้ราบเรียบ แม้ใจเต้นระส่ำ หวังเพียงถ่วงเวลาให้มีคนผ่านมาเห็น“ฮึ เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง อย่ามัวแต่พูดเพื่อยืดเวลาเลยดีกว่า”ขณะเอ่ย เขาก้าวเข้าหาอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง“ท่านอย่าเข้ามา!” เสียงของหลิวซินสั่น นางถอยร่นทีละก้าว จนแผ่นหลังแทบชิดผนังรั้วเจียงหมิงมองท่าทีหวาดกลัวของหญิงตรงหน้า ดวงตาเขาฉายแววพึงใจ ก่อนจะพุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมกับใช้ผ้าผืนหนึ่งปิดที่จมูกของหลิวซินอย่างรวดเร็วนางสะดุ้งสุดตัว สูดเอากลิ่นฉุนบางอย่าง







