LOGINหลังจากเดินห่างจากตงจวินออกมาได้ไกล หลิวซินก็รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยได้บอกความกังวลในใจให้เขารับรู้ ทว่าความหนักอึ้งในอกก็ยังไม่คลายลง นางยังไม่อาจปล่อยวางได้จนกว่าเหอซานจะได้รับผลจากสิ่งที่คิดทำ อีกทั้งเรื่องเก่าที่นางเคยถูกผลักลงน้ำก็ยังไม่ได้เอาคืน ความแค้นที่เก็บซ่อนเอาไว้พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
ตกเย็นวันนั้น ตงจวินกำลังเก็บเรือ ทันใดก็เห็นเหอซานเดินตรงมาหาในมือถือบางสิ่งมา “พี่ตงจวิน…ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ” นางส่งเสียงหวานเอ่ยถาม “ข้ากำลังเก็บเรือ เจ้าไม่เห็นหรือไร” เขาตอบสั้น ๆ โดยไม่สนใจนัก “อ๋อ…” น้ำเสียงของเหอซานแผ่วลงทันที เมื่อได้ยินคำตอบห้วนห้าวนั้น ตงจวินนึกถึงคำเตือนของหลิวซิน จึงหันไปถาม “แล้วเจ้ามาเพราะเรื่องอันใดกัน” “ข้าเพิ่งเข้าเมืองเมื่อวาน เห็นของบางอย่างเลยอยากนำมามอบให้พี่ตงจวิน” เหอซานพูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ที่ชายหนุ่มยอมสนใจตะกร้าในมือของนาง “เจ้าถือสิ่งใดมา” เขาเหลือบมองไปยังตะกร้า เหอซานยกตะกร้าขึ้นพลางยิ้ม “เป็นสุรา ข้าได้ยินว่าดื่มแล้วช่วยให้นอนหลับสบาย อีกทั้งท่านกำลังจะแต่งงาน ข้าจึงตั้งใจซื้อมาเป็นของขวัญ หวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธน้ำใจของข้านะเจ้าคะ” ตงจวินมองไหสุราด้วยความระแวง แต่ก็ยื่นมือไปรับ “ขอบใจเจ้ามาก” “ท่านจะไม่ลองชิมสักหน่อยหรือ” น้ำเสียงนางแฝงความคาดหวัง “ไม่ล่ะ เอาไว้ข้ากลับไปดื่มที่บ้าน…เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” เหอซานทำท่าอึกอัก ก่อนเหลือบตาขึ้นสบเขา “ข้ามีเรื่องอยากรบกวน หากพี่ไม่รังเกียจคนหมู่บ้านเดียวกัน ช่วยข้าได้หรือไม่” ตงจวินเลิกคิ้วด้วยความฉงน “เจ้าจะให้ข้าช่วยเรื่องใด” “ข้าอยากลองออกเรือบ้าง เลยเก็บเงินสร้างเรือเล็ก ๆ ไว้บ้านร้างตรงตีนเขาท้ายหมู่บ้าน อยากให้พี่ตงจวินช่วยไปดูให้สักหน่อย” น้ำเสียงนางอ่อนลงราวกับอ้อนวอน “เรือ…เจ้าอยากออกเรือจริง ๆ น่ะหรือ” เขาถามกลับด้วยความไม่เชื่อหู “ใช่เจ้าค่ะ หาของริมฝั่งทะเลได้เงินน้อยนัก พอกลับบ้านก็ยังถูกท่านป้าดุด่าและตี ข้าอยากลองทำสิ่งใหม่ ๆ บ้าง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความน่าสงสาร ตงจวินเห็นเช่นนั้นจึงถอนใจ “ก็ได้ เอาไว้ข้าจะไปดูให้” “ไปวันนี้ได้หรือไม่” นางรีบซักต่อ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มย่ำเย็น “วันนี้งั้นหรือ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนยิ้มมุมปาก “ก็ได้ ข้าจะไปดูให้ แต่คงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะฟ้าจะมืดเสียก่อน” “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปรอที่นั่น” เหอซานยิ้มกว้าง ก่อนรีบหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่เอะใจสิ่งใดทั้งสิ้น ทว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ มีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องอยู่ตลอด… หลิวซินนั่นเอง นางซ่อนตัวฟังทุกถ้อยคำ จนเมื่อเห็นเหอซานเดินจากไปแล้ว จึงก้าวออกจากที่ซ่อนด้วยแววตาแน่วแน่ “ท่านคุยสิ่งใดกับนางหรือ” หลิวซินหรี่ตามองเขาอย่างจับผิดเล็กน้อย นิสัยเก่าที่ยังติดตัวอยู่พลันเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว “ก็เป็นดังที่เจ้าคาด นางเพียงนำของมาให้ข้าจริง ๆ …แต่เจ้ารู้ได้เช่นไรว่านางจะมาหาข้า” เขาอดสงสัยมิได้ ว่านางแอบมองตนตั้งแต่เมื่อใดกัน “ข้าเพียงคิดเอาไว้ ไม่ได้คาดว่านางจะมาหาท่านจริง ๆ แล้วนางพูดสิ่งใดกับท่านอีกหรือไม่” นางถามด้วยท่าทีเสมือนมิได้ใส่ใจนัก “นางอยากให้ข้าไปดูเรือที่บ้านร้างท้ายหมู่บ้านในวันนี้ แต่ข้าคิดว่า หากเย็นมากเกินไปก็คงไม่ไปดีกว่า” เขาพูดพลางคิดจะให้คนไปบอกเหอซานแทน “เช่นนั้นหรือ… ข้าขอสุราที่นางมอบให้ท่านได้หรือไม่” “สุรานี้หรือ ได้สิ ข้าให้เจ้าทั้งหมด ข้ายังมิได้แตะมันเลยสักหยด” เขารีบเอ่ยอธิบายทันควัน ราวกับกลัวว่านางจะเข้าใจผิด หลิวซินมองท่าทีรีบร้อนของเขาก็อดเผยรอยยิ้มบางมิได้ “ข้ายังมิได้กล่าวว่าอะไรท่านเสียหน่อย” นางหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี “วันนี้ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด หากนางเห็นว่าท่านไม่ไป นางก็คงกลับบ้านเองนั่นแหละ” น้ำเสียงของนางราบเรียบ หากแท้จริงแล้วไม่อยากให้เขาไปขัดแผนบางอย่าง “ได้ ข้าฟังเจ้าก็แล้วกัน” เขาเองก็ไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมจึงรู้สึกเกรงใจหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้นักหนา “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน” หลิวซินรีบก้าวเดินออกไป เพราะยังมีเรื่องอีกมากที่นางต้องจัดการ นางมองไหสุราในมือ ก่อนยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มเจือร้าย แววตาฉายแสงเย็นชา “ในเมื่อเจ้าปรารถนาสามีของข้า ปรารถนาจนตัวสั่น… เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้หาสามีให้เจ้าเอง” นางพึมพำเสียงแผ่ว แล้วหันกายมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังหนึ่ง พร้อมปิดบังใบหน้าด้วยผ้า และตามหาเด็กที่พอรู้ความมาใช้เป็นผู้ช่วย ด้านเหอซาน หลังจากจัดการทุกอย่างตามแผนที่วางไว้แล้ว นางจงใจเดินเข้าไปหากลุ่มชาวบ้าน และเลือกเข้าใกล้ป้าหูหลัน ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความชอบสอดรู้สอดเห็น เหอซานแสร้งอุทานเสียงแผ่วราวพูดกับตนเอง “ข้านัดกับพี่ตงจวินไว้ให้ไปดูเรือที่บ้านร้างตีนเขาตอนเย็น… พี่เขาจะมาไหมนะ” หูหลันหูผึ่งทันที รอยยิ้มอยากรู้อยากเห็นค่อย ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า ตงจวินกำลังจะแต่งงานภายในไม่กี่วัน แต่นี่กลับมีเรื่องสนุกมาให้ติดตามเสียแล้ว เหอซานเหลือบตาไปยังอีกฝั่ง เห็นป้าหูหลันกำลังจมอยู่กับความคิดของตนเอง จึงยิ้มมุมปากบาง ๆ แล้วเดินออกจากตรงนั้น มุ่งหน้าไปยังบ้านร้างที่ตีนเขาท้ายหมู่บ้าน ซึ่งปล่อยทิ้งไว้โดดเดี่ยว ไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้นัก ด้านหูหลัน เมื่อเห็นเหอซานเดินหายไป นางก็รีบรุดไปหากัวหยุนทันที “กัวหยุน เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ” “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” กัวหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “เห็นอยู่หรอก ๆ เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้ามีเรื่องสนุกจะพาเจ้าไปดู” หูหลันเผยรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจนัก กัวหยุนขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่ไปหรอก คงไม่พ้นเรื่องชาวบ้านอีกตามเคย” “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ไป… ถ้าเป็นเรื่องลูกเขยของเจ้าล่ะ” หูหลันแกล้งหยั่งเชิง “ตงจวินอย่างนั้นหรือ เขาทำสิ่งใด” กัวหยุนเผลอชะงัก ก่อนถามด้วยความอยากรู้ “ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ไปดูเองเถิด” หูหลันทำท่าจะหมุนตัวจากไป “เดี๋ยวก่อน! เจ้าอย่าเพิ่งไป บอกข้ามาก่อน” กัวหยุนรีบคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ หูหลันหัวเราะเบา ๆ “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ ข้าก็บอกให้… ข้าได้ยินมาบางอย่างเกี่ยวกับตงจวิน หากไม่อยากคาใจ ก็ไปพิสูจน์ด้วยตาของเจ้าเองเถิด” กัวหยุนฟังแล้วก็ทั้งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะไม่อยากเชื่อว่าตงจวินจะเป็นเช่นนั้น แต่ความกระหายอยากรู้กลับผลักให้นางอยากไปเห็นกับตาตนเอง“เด็กน้อยของพ่อ… เจ้าช่างน่าเอ็นดูนัก”ตงจวินมองลูกน้อยในอ้อมแขน พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและปลื้มปิติกัวหยุนซึ่งเพิ่งดูแลลูกสาวเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาจากห้องด้านใน พอเห็นภาพสองพ่อลูกอยู่เคียงกัน นางก็อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้“เป็นอย่างไรเล่า ลูกของเจ้าเหมือนเจ้าหรือไม่” นางเอ่ยถามพลางก้าวเข้ามาใกล้ มองดูหลานชายทั้งสองอย่างพินิจ เด็กน้อยทั้งคู่เป็นเพศชาย แต่กลับมีใบหน้าที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนแฝดทั่วไปเลยสักนิด“ข้าว่าพวกเขาไม่เหมือนกันนัก คนหนึ่งหน้าตาคล้ายข้า ส่วนอีกคนกลับเหมือนหลิวซินอยู่มาก” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “แต่ไม่ว่าจะเหมือนใคร ข้าเพียงอยากให้พวกเขาเติบโตเป็นคนเก่งเหมือนภรรยา และแข็งแรงเหมือนข้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”กัวหยุนหัวเราะเบา ๆ และมองเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของตงจวินอย่างเอ็นดูตงจวินคิดถึงภรรยาที่นอนอยู่ด้านในห้อง ถึงจะรู้ว่านางปลอดภัยแต่ก็อดห่วงไม่ได้ “ตอนนี้ภรรยาข้าหลับแล้วหรือ” เขาหันไปถามแม่ย้ายด้วยสายตาเป็นห่วง“หลับไปแล้ว” กัวหยุนตอบคำถามให้ตงจวินเบาใจลงตงจวินพยักหน้า ก่อนอุ้มลูกชายทั้งสองเข้าไปในห้องที่ภรรยานอนพักอยู่ ภาพเบื้องห
หลิวซินที่โผล่ขึ้นจากน้ำ มองเห็นเงาเรือลาง ๆ อยู่ไม่ไกล แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นตงจวิน ทว่าเมื่อสบเข้ากับสายตาเขา…ดวงตาคู่นั้นกลับคลอไปด้วยน้ำตาใส“ข้ากลับมาแล้ว” นางกล่าวเบา ๆ ด้วยเสียงสั่นไหว ดวงตาเปี่ยมด้วยความคิดถึงและโหยหาตงจวินรีบดึงร่างหลิวซินขึ้นมาจากน้ำ แล้วโอบกอดนางแนบอกแน่นราวกลัวว่าจะสูญเสียอีกครั้ง ความอบอุ่นจากร่างบางทำให้หัวใจที่แห้งแล้งถูกเติมเต็มในพริบตา เสียงของเขาแผ่วพร่าจากการกลั้นสะอื้น “เจ้าหายไปไหน ข้าคิดถึงเจ้ามาก…จริง ๆ”เขาซบหน้าลงที่ซอกคอของภรรยาแน่น ก่อนเงยหน้ามองใบหน้าอ่อนหวานที่คิดถึงมานานเหลือเกินหลิวซินลูบหลังสามีเบา ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาและใบหน้าที่บวมแดงจากการร้องไห้ไม่รู้กี่คืน นางพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้ามีเรื่องมากมายเหลือเกิน อยากเล่าให้ท่านฟัง” เพียงไม่กี่วัน…ชีวิตของนางกลับผ่านเหตุการณ์มหัศจรรย์เกินจะเอ่ย“เจ้าไปอยู่ที่ใดมา รู้หรือไม่ว่าพี่เป็นห่วงเพียงใด” เขาพูดพรั่งพรูด้วยความรู้สึกที่เก็บกดมานาน ทั้งคิดถึง ทั้งหวาดกลัวจะสูญเสียนางไปอีก“ตอนที่ข้าช่วยท่าน ข้าก็หมดสติไป ไม่รู้เลยว่าร่างของข้าเข้าไปในมิติตั้งแต่เมื่อใ
“นั่นเสียงหวงหานนิ!” ผู้ใหญ่หางเจ๋ยรีบยกคบเพลิงขึ้นส่องไปยังทิศที่ได้ยินเสียงนั้น“ข้าก็ได้ยินเช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านเรารีบเข้าไปดูเถิด” ชายผู้หนึ่งที่มาช่วยตามหาเอ่ยเร่งด้วยความร้อนใจกัวหยุนซึ่งกำลังร้องไห้ตามหาลูกสาว ได้ยินดังนั้น นางไม่รอช้า รีบวิ่งตรงไปยังเรือที่เพิ่งเทียบท่าทันที พอเห็นภาพตรงหน้า หวงหานพาตงจวินนอนสลบไม่ได้สติ นางกลับมองไปรอบ ๆ แล้วหัวใจแทบหยุดเต้น เพราะไม่เห็นร่างของลูกตนแม้แต่น้อย“หลิวซินเล่า… เจ้าพบนางหรือไม่?” เสียงนางสั่นพร่า ทั้งกลัวทั้งสิ้นหวัง“ท่านป้า…” หวงหานหลบตา น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่จริง… เจ้าตอบข้ามาเถิด เจ้าพบนางหรือไม่!” กัวหยุนเอ่ยเสียงสั่น มองอีกฝ่ายที่น้ำตาไหลไม่หยุด“หลิวซิน… นางจมลงไปใต้ทะเลขอรับ” เขาพูดออกมาทั้งน้ำเสียงสั่นเครือ“ไม่จริง… ลูกของข้าว่ายน้ำเป็น นางต้องรอดแน่! นางจมลงไปตรงไหน?” กัวหยุนถามเสียงสั่น สติเริ่มเลือนลาง“นางจมตรงน้ำวนขอรับ… พร้อมกับเจียงหมิง” หวงหานตอบพลางหันไปมองผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งเดินเข้ามา พร้อมกับชาวบ้านอีกหลายคน“เจ้าว่าอย่างไรนะ… น้ำวนหรือ?” หางเจ๋ยถึงกับหน้าถอดสี เพราะใคร ๆ ต่างรู้ดี ว่าผู้ใดตกลงไปในน้ำวนนั้น… ไม่ม
“นั่น พวกเขาอยู่ตรงนั้น” หลิวซินชีกระชับฝีเท้าไปยังด้านหน้าท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่หวงหานชะโงกมองไปยังเรือลำหน้า มือสั่นเล็กน้อยในความเป็นห่วงแล้วร้องเรียก “ตงจวิน ใช่เจ้าหรือไม่!”ตงจวินซึ่งพยายามดันเจียงหมินออกจากตัว ได้ยินเสียงคุ้นหูนั้น หัวใจที่เคยแตกสลายกลับเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเสียงเพื่อนชายผสานกับเสียงหวานที่คุ้นเคยดังมาในความมืด “หวงหาน ข้าอยู่ที่นี่ หลิวซิน เจ้าปลอดภัยหรือไม่” เขาตะโกนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราวกับได้ยึดเอาชีวิตคืนมาหลิวซินน้ำตาไหลพรั่ง นางสะอื้นแล้วบอกเสียงสั่น “ตงจวิน ข้าปลอดภัยแล้ว ท่านอย่ากังวล” เสียงร้องของหลิวซินหวานปนสั่นดังขึ้น เพื่อปลอบให้ความกลุ้มของเขาค่อยๆ เบาบางเจียงหมิงได้ยินชื่อหลิวซิน สีหน้าจึงซีดเซียว เขาไม่คิดว่าสตรีคนนั้นจะรอดจากเปลวเพลิงได้ จึงลงแรงมากขึ้นกับคนตรงหน้าก่อนที่หลิวซินจะมาถึง เจียงหมิงได้นั่งเรือมากับตงจวิน จนพบจุดน้ำวน และถามจนออกรู้ความว่ามีถ้ำที่หายใจได้ตรงนั้น ความตื่นเต้นแวบขึ้นในใจเขา เมื่อเห็นจังหวะที่ตงจวินไม่ทันระวัง เขาสาดผงสีขาวตรงหน้าอีกฝ่ายทันที ผงมึนงงที่กลิ่นเพียงเล็กน้อยก็ทำให้สับสนและควบคุมตัวเองได้ยาก“เจ้าทำอะไ
ตงจวินหัวใจกระตุกวูบ ราวกับมีบางสิ่งในอกถูกพรากไป “ทำไมข้าถึงรู้สึกไม่ดีเช่นนี้นะ…” เขาพึมพำเสียงแผ่ว สายตาเหม่อมองยอดเขา เห็นแสงไฟส่องประกายเจิดจ้าลิบ ๆ จึงเพ่งมองด้วยความร้อนรน แต่ยังไม่ทันได้ขยับไปดู เงาร่างหนึ่งเบื้องหน้าก็ดึงความสนใจกลับมา“เจียงหมิง! เจ้าจับภรรยาข้าไปไว้ที่ไหน!”เขาโผเข้ากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธและหวาดหวั่นเจียงหมิงมองท่าทางร้อนรนของเขาอย่างพึงใจ “เจ้าอยากรู้หรือ?” น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงรอยเยาะ “ข้าจะบอกก็ได้…แต่เจ้าต้องทำบางอย่างให้ข้าเป็นการแลกเปลี่ยน”“ต้องทำอะไร? แล้วภรรยาข้าปลอดภัยหรือไม่!” ตงจวินถามเสียงสั่น ความเป็นห่วงหลิวซินกับลูกในครรภ์แทบกลืนกินสติของเขา“ฮึ ปลอดภัยสิ ทั้งคู่” เจียงหมิงหัวเราะเบา ๆ แววตาเจ้าเล่ห์สะท้อนแสงไฟ ยิ่งทำให้ตงจวินไม่ไว้ใจตงจวินสบตาอีกฝ่าย สายตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง แต่ไม่มีเวลาจะมาไตร่ตรองอีก เขาจำต้องรีบเร่งให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็ว “เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใด ถึงจะยอมปล่อยภรรยาของข้า?” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาพร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อให้นางปลอดภัย“ดี…พูดเข้าเรื่องเสียที” เจียงหมิงเอ่ยเรียบ “ข้าไม
“ท่านจะทำอะไร” น้ำเสียงของหลิวซินสั่นระริก ความไม่ไว้วางใจฉายชัดในแววตา วันนี้เจียงหมิงดูแปลกไปจากเดิมราวเป็นคนละคน“จุ ๆ อย่ามองหาใครเลย ที่นี่มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้น” เขาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูผิดปกติ ราวกับความสุขอันบิดเบี้ยวซ่อนอยู่ในนั้น“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ จะมาทำสิ่งใดกับข้า!” หลิวซินขยับถอยหลัง ดวงตาสั่นไหวด้วยความตระหนก มองเขาราวคนบ้าที่คาดเดาไม่ได้“ข้าไม่ทำอันตรายเจ้า เพียงอยากให้เจ้าร่วมมือกับข้าสักเล็กน้อยเท่านั้น หวังว่าเจ้าคงไม่ขัดขืนหรอกนะ” เจียงหมิงส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาเต็มไปด้วยเลศนัย“ร่วมมือ… อะไรกัน?” หลิวซินพยายามคงน้ำเสียงให้ราบเรียบ แม้ใจเต้นระส่ำ หวังเพียงถ่วงเวลาให้มีคนผ่านมาเห็น“ฮึ เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง อย่ามัวแต่พูดเพื่อยืดเวลาเลยดีกว่า”ขณะเอ่ย เขาก้าวเข้าหาอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง“ท่านอย่าเข้ามา!” เสียงของหลิวซินสั่น นางถอยร่นทีละก้าว จนแผ่นหลังแทบชิดผนังรั้วเจียงหมิงมองท่าทีหวาดกลัวของหญิงตรงหน้า ดวงตาเขาฉายแววพึงใจ ก่อนจะพุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมกับใช้ผ้าผืนหนึ่งปิดที่จมูกของหลิวซินอย่างรวดเร็วนางสะดุ้งสุดตัว สูดเอากลิ่นฉุนบางอย่าง







