ฉงหรงรู้สึกวูบโหวงในใจ เจ็บแปลบในอก คล้ายถูกเลื่อยไม้ไผ่เลื่อยเถืออย่างช้าๆ หมายทรมานไม่ให้แดดิ้นตายในทันที หานฉงหรงเอ๋ยหานฉงหรง เสียแรงเป็นบุตรีของบัณฑิตทรงภูมิ กลับขลาดเขลาเบาปัญญาในเรื่องรัก จึงกลายเป็นมหิงส์หน้าโง่ให้เขาสนตะพายโดยหลอกให้รัก ให้ความหวัง สุดท้ายกำลังจะมีจุดจบที่น่าสนเพช
น่าแปลกที่ถึงแม้จะเสียใจเพียงใด แต่น้ำตากลับไม่รินไหลคล้ายมันไหลคั่งท่วมท้นอยู่ในหัวใจ หานฉงหรงที่หัวใจแหลกสลายผละออกไปจากตรงนั้น ไปหาที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ลูกชายของนาง ลูกชายที่นางให้กำเนิด ลูกที่สามียอมวางแผนฆ่าแม่ชิงลูกเพื่อให้ได้มา! ไม่รู้เหตุใดเส้นทางที่หานฉงหรงเคยเดินไปหาลูกชายทุกวันถึงได้เหมือนอยู่ห่างไกลกว่านัก ร่างกายนั้นเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง อีกทั้งอาการไออย่างรุนแรงก็กลับมากำเริบอีกครั้งจนร่างบางค่อยๆ ทรุดลงไปกับพื้น โลหิตสีแดงสดไหลอาบชุ่มจากริมฝีปาก ลงยังลำคอเรื่อยลงไปยังเสื้อสีขาวคล้ายกำลังสวมเสื้อตัวในสีแดง... โบราณกล่าวว่าถ้าเมื่อยามมีชีวิตนั้นอ่อนแอถูกข่มเหงไร้หนทางต่อกร เมื่อใกล้ตายให้สวมอาภรณ์สีแดง ผินหน้าไปยังทิศอัปมงคลแล้วสิ้นใจที่นั้น เมื่อตายจะกลายเป็นผีร้ายผูกพยาบาทตามอาฆาตจองเวรทุกผู้ที่เคยทำกับคนผู้นั้นไม่สุดสิ้น ยามนี้นางก็คงไม่ต่างจากผีพยาบาทแล้ว หวังเพียงว่าแค้นที่สุมอกอยู่จะได้รับการชำระสะสาง แม้จะกินเวลา แต่สุดท้ายหานฉงหรงก็มาถึงห้องของลูก พลางใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่เลอะริมฝีปาก จัดผมเผ้าให้ดูดี...ในภาพจำของนาง คือยามที่มารดาแต่งกายดูดีและงดงาม เด็กชายจะยิ้มและหัวเราะเสียงใสราวไข่มุกกระทบจานหยก ทั้งไพเราะ ทั้งกังวาน หานฉงหรงนั้นอยากนำภาพจำอันงดงามนี้ติดตัวนางไปตราบสิ้นลม.. ลูกชายตัวน้อยเมื่อเห็นนางชะโงกหน้ามามองในอู่เปลพลันยิ้มหวาน โบกไม้โบกมือทักทาย หานฉงหรงอุ้มร่างเล็กของลูกขึ้นมาโอบอุ้มในอ้อมแขน พลางเหม่อมองเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองด้วยความคิดหลากหลายและเลื่อนลอย ถ้านางตาย ลูกคนนี้จะเป็นเช่นไร บิดาบังเกิดเกล้าเลวบัดซบกับองค์หญิงใจอำมหิตสองคนนั้นจะเลี้ยงลูกของนางได้หรือ? มีแต่จะถูกข่มเหงรังแกไปจนชั่วชีวิตสิไม่ว่า ...ผู้ใดจะเลี้ยงลูกได้ดีกว่าตัวนางกันเล่า? ฉงหรงคลี่ยิ้ม พลางส่งเสียงร้องเพลงกล่อมนอนที่ลูกน้อยชื่นชอบหนักหนา ได้ยินเมื่อใดเป็นนิทราฝันหวานทุกครา ไม่นานนักลูกชายของนางก็หลับไป ร่างในอาภรณ์ขาวย้อมโลหิตอุ้มเด็กน้อยเดินตรงไปยังเทียนที่ส่องสว่างอยู่ที่มุมห้อง เอื้อมมือผลักเบาๆ เปลวเทียนพลันลุกติดกับม่านไหมที่อยู่ข้างๆ จากนั้นจึงหยิบขวดน้ำมันใส่ผมเทราดซ้ำลงไป เปลวเพลิงยิ่งโชติช่วงทวีความร้อนแรง ไม่นานก็ลุกติดไปทั่วเรือนพักที่สามีปลูกสร้างให้นางเสมือนเป็นตัวแทนความรักอันจอมปลอม หลังจากขัดประตู หานฉงหรงเหม่อมองเปลวอัคคีด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนอุ้มลูกไปนั่งที่ตั่งเตียง กล่อมลูกให้หลับต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด ด้านนอกเรือนภรรยาเอกของราชบุตรเขยพลันได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เสียงสาดน้ำ เสียงพังประตู เสียงที่ดังที่สุดคือฉางซื่อหลางที่ยังตะโกนสั่งการลูกน้อง หานฉงหรงได้ยินเพียงว่า 'คุณชายน้อยอยู่ด้านใน ให้รีบเร่งรุดช่วยเหลือ' ไม่มีชื่อของนางออกจากปากของสามีแม้แต่น้อย... ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งเข้าใจเจตนาสามีอย่างกระจ่างแจ้งแจ่มชัด นางไม่ได้หูฝาดไป ฉางซื่อหลางต้องการแค่ลูก ไม่ได้ไยดีในตัวนางเลยแม้แต่น้อย... แต่ช่างปะไร ตอนนี้นางมีลูกอยู่...นางเองก็มิคิดไยดีเขาอีกต่อไปเช่นกัน ทารกน้อยพริ้มตาจนเห็นแพขนตายาวงอนเหมือนแม่ ไร้เสียงร้องไห้โยเยไปนานมากแล้ว หานฉงหรงลูบไล้ไปยังใบหน้า จนถึงอกเล็กๆ ที่เคยขยับขึ้นลง จนเผลอปัดมือไปยังแขนป้อมดั่งรากบัวที่วางพาดอยู่กับแขนฉงหรง แขนของลูกทิ้งตกลงข้างตัว ไม่ไหวติงดั่งหุ่นกระบอกที่ถูกตัดสาย... ท่ามกลางควันและเปลวไฟ เด็กเล็กย่อมถูกควันไฟและไอร้อนทำลายปอดและลำคอได้ไว จึงจากไปเร็วกว่าผู้ใหญ่นัก เด็กดีของนาง...ลูกของนาง...จากไปแล้ว... มือสั่นระริกยกมือน้อยขึ้นจูบ น้ำตาอุ่นร้อนไหลทะลักจากดวงตา หานฉงหรงค่อยๆ ลูบใบหน้าน้อยๆ ราวกับปลอบโยน พลางส่งเสียงพึมพำเสียงแผ่ว "ลูกรักคนดี เจ้าหลับเสียแล้ว เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ ไม่ต้องกลัว พักผ่อนเถิด พักผ่อนเสีย ท่านแม่กำลังจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว" ตอนนี้ในลำคอของหานฉงหรงแสบร้อนดั่งถูกกรอกด้วยน้ำทองแดงร้อนลวก แม้แต่จมูกที่พยายามสูดลมหายใจก็ยังทำได้ลำบาก สุดท้ายนางก็ค่อยๆ ทรุดร่างลง ในขณะที่สองแขนยังโอบอุ้มลูกน้อยไว้ไม่ปล่อย นางเงยหน้ามองไปยังคันฉ่องทองเหลืองที่สะท้อนเงาร่างที่ใกล้จะแตกดับในไม่ช้าของตน ช่างน่าสมเพช ช่างโง่เขลา สมควรแล้วที่ต้องมีจุดจบที่อเนจอนาถเช่นนี้ ถ้าการกลับชาติมาเกิดใหม่มีจริง ข้าขอให้ตนเองจำเรื่องราวในชาติภพนี้ให้ขึ้นใจ ให้สลักเสลาไปจนถึงจิตวิญญาณ ติดตามไปจนถึงชาติภพใหม่... "อย่าได้ทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้อีก"หานฉงหรงถือวิสาสะเข้ามาในห้องของหลินหลางโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า จึงได้ทันเห็นหลินหลางในสภาพบอบช้ำยับเยิน ทั่วร่างมีแต่รอยฟกช้ำไม่เว้นที่ โดยเฉพาะที่ใบหน้าที่แทบไม่เหลือเค้าความน่ารักน่าเอ็นดูอีกต่อไปใจหนึ่งหญิงสาวอยากจะสมน้ำหน้า แต่ใจหนึ่งก็สมเพชเวทนาที่อีกฝ่ายไม่ทันเล่ห์ลวงของบุรุษจนต้องมามีสารรูปเช่นนี้ นางสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยเรียก “หลินหลาง”หลินหลางสะดุ้งสุดตัว ก่อนหันไปทางที่มาเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นางก็รีบยกมือปิดหน้าตนเองก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณหนู”หานฉงหรงเพียงปรายตามองที่โต๊ะข้างเตียงก็เห็นว่ามีคนเอายามาวางเอาไว้แล้ว นางจึงฉวยเอาตลับกระเบื้องที่อยู่ในบรรดายาทั้งหมดออกมาใบหนึ่งแล้วเดินไปนั่งข้างๆ ท่าทางเต็มเปี่ยมด้วยความห่วงใย “ให้ข้าทายาให้เจ้า”“คุณหนูเจ้าคะ ข้าเป็นบ่าวต่ำต้อย ท่านอย่าได้ลดตัวทำเช่นนี้เพื่อข้าเลยเจ้าค่ะ”หานฉงหรงช้อนตาขึ้นมอง “บ่าวต่ำต้อยอันใด สกุลหานของเราให้เกียรติคนทุกชนชั้น ทั้งข้าและเจ้าต่างก็เป็นคนดุจเดียวกัน อีกอย่างเราสองคนเติบโตมาด้วยกัน รักใคร่ดั่งพี่น้อง เรื่องเพียงแค่นี้มิใช่เรื่องใหญ่โต”หลินหลางได้ฟังเช่นนั้นพลันน้ำตาเอ่อคลอ มองอีกฝ่ายป้า
พอถึงช่วงบ่าย หานฉงหรงก็กลับมาถึงบ้านสกุลหานโดยสวัสดิภาพ จากนั้นจึงเดินไปต้มน้ำชงชาและเตรียมขนมด้วยตนเอง เพราะรู้ดีว่าหลินหลางในตอนนี้คงไม่อาจกลับมาถึงได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ชาอู่อี๋เหยียน (ชาหินผา) ที่ถูกความร้อนค่อยๆ คลายตัวออกในถ้วยเปลี่ยนน้ำให้เป็นสีแดงดั่งทับทิม กลิ่นหอมคล้ายดอกกุ้ยซึ่งเป็นกลิ่นประเฉพาะตัวของชาชนิดนี้ลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง หลังจากนั้นก็แกะห่อกระดาษที่มีขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ ขนมเกลียว และขนมอื่นๆ ที่นางแวะซื้อระหว่างทางกลับมาแกะกินอย่างมีความสุขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้นับว่าเป็นความสำเร็จก้าวแรกในการเขี่ยฉางซื่อหลางออกไปจากชีวิต ทว่าเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ นางต้องการอะไรบางอย่างที่จะเป็นจุดแตกหักในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางให้ได้อย่างหมดจดพ้นเรื่องพ้นราวไป ซึ่งแน่นอนว่านางค้นพบแล้ว ถึงได้มานั่งกินขนมดื่มชาอย่างสบายใจเช่นนี้ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ฉางซื่อหลางก็มาถึงที่บ้านของนางพร้อมกับหลินหลางที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ฉีกขาดบางส่วน จนฉงหรงต้องไม่พยายามออกปากถามว่าสตรีข้างๆ นางนั้นไปตบตีกับคนด้วยกันหรือว่าโดนฝูงสุนัขจรจัดรุมทึ้งมากันแน่ นางพยายามวางท่า
ใช้เวลาเดินโดยที่เหงื่อยังไม่ทันซึมหลัง หานฉงหรงและบุรุษปริศนาท่าทางงามสง่าก็เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองจี๋หลิน โดยมีขันทีนามหลี่ฉางเดินนำทั้งสองขึ้นไปยังห้องพักชั้นสองที่อยู่ปีกขวาด้านในสุดซึ่งกล่าวกันว่าเป็นห้องที่หรูหราและมีความเป็นส่วนตัวเป็นที่สุด ซึ่งก็จริงดังคำกล่าว เมื่อหานฉงหรงอุ้มเด็กน้อยเข้ามาในห้องก็รู้สึกว่าห้องห้องนี้ตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงราวกับอยู่กันคนละมิติฉงหรงอุ้มเด็กน้อยไปยังเตียงนอนที่อยู่ด้านในสุดที่มีเพียงแค่ม่านมุกกางกั้น เด็กชายที่ถูกนางอุ้มรู้สึกอุ่นกายสบายใจราวกับอยู่ในอ้อมอกมารดา หลับตาพริ้มพลางดูดนิ้วอย่างไร้เดียงสา ทำเอาหญิงสาวใจละลาย ทว่าเมื่อเห็นชายหนุ่มจ้องเขม็งมายังที่นาง จึงจำใจต้องวางร่างเล็กลงกับเตียงนอนทั้งๆ ที่ในใจยังรู้สึกอาวรณ์เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ ไฉนผู้เลี้ยงดูจึงมิได้เศษเสี้ยวความน่ารักนี้มาบ้างเลยเล่าหานฉงหรงถอนใจอย่างนึกเห็นใจหนุ่มน้อยที่หลับปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินกลับออกไป ทว่าก็ติดกำแพงเลือดเนื้อที่ยังยืนตัวตรงประหนึ่งเสาค้ำสมุทรทำให้นางต้องหยุดนิ่งดุจเดิม “คุณชาย โปรดหลีกทางด้วยเจ้
3เด็กน้อยหานฉงหรงไปได้ยืนรออยู่ตรงปากทางเข้าตรอกชิงฮวาตามที่บอกไว้กับฉางซื่อหลาง กลับเพียงเดินไปอย่างไม่เร่งร้อนเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ห่างหายไปนานและเคยคิดว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกแล้วแต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ให้รู้สึกผะอืดผะอมจนต้องเอามือปิดปากตนเอง สตรีสองคนตบตีกันเพราะบุรุษสารเลวเพียงผู้เดียว ถ้าผู้ที่ลงมือนั้นเป็นนางในอดีตที่ยังถูกซื่อหลางปิดหูปิดตาจนมืดบอดไม่ใช่หลินหลาง คงทำให้บิดาและสกุลหานอับอายขายหน้าเป็นแน่เนิ่นนานกว่าที่หานฉงหรงจะยอมเอามือออกจากปากตนเอง นางถอนใจอย่างแช่มช้า ทำท่าจะเดินกลับไปที่บ้านของตน ทว่านางกลับต้องชะงักอยู่กับที่เหมือนถูกบางอย่างกอดรัดตรึงขาเอาไว้เมื่อก้มลงมองก็เห็นเด็กชายที่อายุประมาณสามสี่ขวบคนหนึ่ง ตาสองข้างวามแววดั่งดวงดารา พวงแก้มกลมยุ้ย ริมฝีปากแดงอิ่มดังผลอิงเถา ช่างเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูเหลือประมาณโดยไม่ได้ตั้งใจ...สายตาของหานฉงหรงเผลอมองใบหน้าของเด็กชายซ้อนทับกับลูกน้อยของตนเอง...ลูกน้อยวัยเก้าเดือนที่สิ้นลมหายใจพร้อมกับนางในเพลิงผลาญซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อมา...สองตาของนางพลันรื้อรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาที่จวนเจีย
“หรงเอ๋อร์” ฉางซื่อหลางเลิกคิ้วถามอย่างนึกสงสัยที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปหานฉงหรงหลุดจากภวังค์ ก่อนช้อนตาขึ้นมอง “ปิ่นที่เจ้าให้ ข้าชอบมาก เจ้าช่วยประดับที่เรือนผมของข้าให้หน่อยได้หรือไม่ จากนั้นข้าจะเดินไปอวดคนในตลาด ให้เขารู้ว่ากันให้ทั่วว่าว่าที่คู่หมั้นของข้านั้นช่างแสนดีเพียงใด”ฉางซื่อหลางสะอึกอึ้ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนัก “หรงเอ๋อร์ ปิ่นชิ้นนี้ข้าอุตส่าห์สั่งทำพิเศษเพื่อเจ้า ไว้ประดับในงานสำคัญหรือช่วงเทศกาลไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเกิดเผลอไผลทำตกขึ้นมาจะไม่มีอีกแล้วนะ”ฉงหรงกล่าวเสียงเง้างอดอย่างมิเคยทำ “ไม่เอา ในเมื่อเป็นของพิเศษที่มีชิ้นเดียวในโลกก็ต้องอวดให้ผู้อื่นได้เห็นสิ นอกเสียจากว่าปิ่นชิ้นนี้จะมีผู้อื่นใส่เหมือนกัน”เห็นฉางซื่อหลางทำสีหน้าย่ำแย่เหมือนคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นนางพลันรู้สึกปลอดโปร่งเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยวาจาออดอ้อนเขาต่อ “ถือว่าข้าขอร้องเจ้านะ ซื่อหลาง”คล้ายคนขี่หลังเสือแล้วไม่อาจหาทางลงได้ สุดท้ายฉางซื่อหลางก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจืดเจื่อนเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงสาย ตลาดที่ถนนสายหลักยังคงครึกครื้น หานฉงหรงยิ้มรับขนมเม็ดบัวคลุกผงกุ้ยฮวาที่ว่าที่คู่หมายซื้อมาให
โบราณว่า "พบศัตรูบนทางแคบ" ไม่ว่าจะเกลียดคนผู้นั้นมากเพียงใดจะหลบเลี่ยงเพียงไหนก็ยังมีโอกาสพบเจอ แล้วประสาอะไรกับฉางซื่อหลางที่ตอนนี้ยังเป็นคู่หมั้นคู่หมายของนาง "คุณหนู คุณชายฉางมาขอพบเจ้าค่ะ" เด็กสาวผูกมวยผมสองข้างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเดินเข้ามาในบ้านด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก นางคือ หลินหลาง สาวใช้ที่บิดาของนางซื้อตัวมาในขณะหลินหลางคุกเข่าข้างศพมารดา ประกาศตนว่าจะขอขายตัวเป็นข้ารับใช้หรือเป็นม้าเป็นวัวจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทั้งนางและหลินหลางสนิทสนมรักใคร่ราวกับพี่น้องร่วมอุทรก็ไม่ปานทว่าหลังจากที่หานฉงหรงถูกเรียกตัวมายังเมืองหลวง ในระหว่างที่นางตั้งครรภ์ซื่อหลางจึงเรียกหลินหลางมาเพื่ออยู่ปรนนิบัติรับใช้นางระหว่างตั้งครรภ์ แต่ใครจะคาดคิดว่า วันหนึ่งของการตั้งครรภ์ในเดือนที่ห้า หลินหลางกลับมาที่ห้องด้วยสภาพที่บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ หลังจากที่หานฉงหรงคาดคั้นอยู่นานนางจึงยอมสารภาพว่า ฉางซื่อหลางเมามาย องค์หญิงเวินอี๋สุขภาพมิสู้ดีไม่ยินยอมปรนนิบัติ ส่วนนางตั้งครรภ์มิอาจร่วมอภิรมย์บนเตียงได้ ซื่อหลางจึงฉุดคร่านางเข้าห้อง ใช้กำลังบังคับนางด้วยแรงกำหนัดกล้าโดยที่หลินหลางมิยินยอม ตอนนั้นฉงหรง