Share

กลับสู่บ้าน...

Author: lianlian
last update Last Updated: 2025-07-04 06:53:14

1

หานฉงหรงลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราย ผสมผสานกับน้ำตาที่ไหลทะลักออกจากดวงตาจนมิอาจคาดเดาได้ว่าจะเหือดแห้งลงเมื่อใด

ฉงหรงยกมือขึ้นทาบที่ทรวงอกตนเองเพื่อปลอบมิให้หัวใจที่กำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งสงบลง หลังจากตั้งสติได้ นางเหลียวมองซ้ายขวารอบตัว ทั้งเตียงตั่ง ฟูกไหม เครื่องเรือนเรียบง่ายทุกชิ้นที่ประดับประดาอยู่ในห้อง ทั้งหน้าต่างประตูที่เปิดรับอากาศบริสุทธิ์และกลิ่นดอกล่าเหมยที่ปลูกเอาไว้ตรงลานบ้านเข้ามา ทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งทวีความคุ้นเคย จนรู้สึกว่ากลิ่นควันไฟและกลิ่นเนื้อไหม้นี่วนเวียนอยู่ที่ปลายจมูกเป็นสิ่งที่นางอุปาทานไปเอง

ที่นี่มิใช่เรือนหลังน้อยที่อยู่ในจวนราชบุตรเขยเลวบัดซบผู้นั้น มิใช่เรือนหลังน้อยที่นางจุดไฟเผาจนตัวตายพร้อมลูกน้อยที่ยังแบเบาะ

ที่นี่คือห้องพักส่วนตัวของนาง...เรือนหลังเก่าที่นางเคยอาศัยอยู่และเติบโตมา

แสดงว่าสิ่งที่นางอธิษฐานก่อนสิ้นลมนั้นฟ้าดินรับรู้ จึงได้ให้นางย้อนเวลากลับมาแก้ไขความผิดพลาด

ถ้า ณ ช่วงเวลานี้คืออดีต...ถ้าเช่นนั้น...

“หรงเอ๋อร์ หรงเอ๋อร์”

เสียงอบอุ่นอ่อนโยนนั้นปลุกหานฉงหรงให้ตื่นจากนิทรา ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดเคราสีดำแซมขาวสวมชุดสีเขียวไข่กาท่าทางสุขุมทรงภูมิ หานฉงหรงเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเต็มสองตาพลันน้ำตาเอ่อรื้น ก่อนโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่นราวกับโหยหาอาวรณ์มาทั้งชีวิต

“ท่านพ่อ หรงเอ๋อร์คิดถึงท่าน...คิดถึงเหลือเกิน”

บิดาของหานฉงหรงหรืออีกนามหนึ่งคือ หานเซียงอวิ๋นที่จู่ๆ ถูกบุตรสาวก็ลุกพรวดพราดขึ้นมากอดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวพลันเบิกตาน้อยๆ ก่อนลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่เมตตา “คิดถึงอันใด เมื่อวานพวกเราก็ยังอยู่ด้วยกันมาตลอด เจ้าพูดเหมือนกับว่าพวกเราจากไปยังที่ๆ ไกลแสนไกลกระนั้น”

ฉงหรงส่ายหน้าแรงๆ พร้อมกลืนก้อนสะอื้นลงคอ จะมิให้นางคิดถึงได้อย่างไรกัน ภาพจำสุดท้ายของคนตรงหน้า คือใบหน้าซูบซีดที่เกิดจากโรคระบาดค่อยๆ หมดลมหายใจไปต่อหน้าของนาง เสี้ยวเวลานั้นความรู้สึกนางปานเขาไท่ซานถล่ม เศร้าเสียใจแทบล้มประดาตาย และเป็นสายใยสุดท้ายที่เหนี่ยวรั้งนางไว้ที่เมืองจี๋หลินแห่งนี้ก่อนที่จะได้รับจดหมายเรียกตัวจากสามีที่กลายเป็นจอหงวนให้มายังเมืองหลวงอันเป็นจุดจบในชีวิตในอนาคต

"เอาล่ะ นิ่งซะ นิ่งเสีย ร้องไห้ตั้งแต่เช้าย่อมมิเป็นลางดี" หานเซียงอวิ๋นใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้บุตรสาว "พ่อมาปลุกเจ้าเพราะเห็นว่าสายมากแล้วเจ้ายังไม่ตื่น เกรงว่าจะไม่สบาย"

"ฉงหรงสบายดี ขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วงเจ้าค่ะ" หานฉงหรงรีบเช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ

"ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว พ่อทำข้าวเช้าไว้ให้ รีบลุกมากินเสีย เดี๋ยวพ่อจะไปยังสถานศึกษาแล้ว" บิดาของนางกล่าวอย่างอารมณ์ดี บ้านอื่นอาจจะให้บุตรสาวหรือภรรยาตื่นขึ้นมาต้มน้ำและเตรียมอาหารเช้าไว้ให้บิดาหรือสามีรับประทาน แต่สำหรับบ้านที่มีอยู่กันเพียงสองพ่อลูกเช่นบ้านสกุลหานนั้น จะแบ่งวันกันทำหน้าที่ในบ้าน ไม่เคยคิดว่างานบ้านงานเรือนนั้นเป็นหน้าที่จำเพาะเจาะจงของผู้ใด

หานฉงหรงพยักหน้า จากนั้นจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าหวีผมแต่งตัวเรียบร้อยแล้วรีบเดินตรงไปที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีโจ๊กข้าวฟ่างใส่ไข่ขาวไข่เค็มลอยหน้าร้อนกรุ่น กับขนมจ้างไส้พุทราแดงที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อวานอีกคนละลูก ไม่ถึงอึดในสองพ่อลูกก็ร่วมกันรับประทานอาหารเช้าจนอิ่มหนำ บรรยากาศที่อบอุ่นคุ้นเคยเช่นนี้ทำให้ฉงหรงที่เพิ่งผ่านชะตากรรมอันโหดร้ายและความตายเมื่อครั้งก่อนนั้นต้องพยายามสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจมิให้ไหลออกมา

ขณะที่หานเซียงอวิ๋นกำลังเตรียมตัวออกไปข้างนอก หานฉงหรงที่กำลังเก็บถ้วยชามที่กินเสร็จเรียบร้อยก็อดถามออกมามิได้ "ท่านพ่อ เวลานี้คือรัชสมัยใดเจ้าคะ"

หานเซียงอวิ๋นขมวดคิ้ว ทั้งฉิวทั้งขัน "บุตรสาวพ่ออายุไม่เท่าใดก็หลงลืมเสียแล้ว เวลานี้คือรัชสมัยเสวียนจิ้งที่สิบสี่"

กล่าวจบก็เดินออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ฉงหรงจ่อมจมกับสิ่งที่ได้รู้จากปากบิดา

รัชสมัยเสวียนจิ้งที่สิบสี่...เวลานี้คือช่วงที่นางกับฉางซื่อหลางคบหาดูใจกระทั่งหมั้นหมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของชะตาวิบัติของนางในอีกสองปีต่อมา

เมื่อคิดได้ดังนั้น หานฉงหรงจึงรีบกลับไปที่ห้องของตน รื้อกล่องใส่เครื่องประดับบนโต๊ะประทินโฉมของตนออกมา แล้วหยิบปิ่นเงินรูปดอกเหมยประดับทับทิมแดงที่ห่อด้วยผ้าเนื้อนุ่มและเก็บแยกไว้ในกล่องอีกใบเพื่อไม่ให้กระทบกับเครื่องประดับอื่นเกิดรอย บ่งบอกว่านางทะนุถนอมปิ่นชิ้นนี้มากเพียงใด

นี่คือของหมั้นหมายที่ฉางซื่อหลางมอบให้นางในวันหมั้น และใช้มันประดับมวยผมนางในพิธีหมายตาเจ้าสาว...และยังคงประดับเรือนผมเรื่อยมาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ยิ่งหญิงสาวคิดถึงกระกระทำสุดชั่วช้าของผู้ที่มอบปิ่นให้มาก็ยิ่งกำปิ่นในมือแน่นขึ้น กำแน่นจนมือสั่นระริก กระทั่งรู้สึกเจ็บเพราะดอกไม้ไหวที่ประดับปิ่นทิ่มแทงฝ่ามือก็ไม่คิดผ่อนแรงลง ราวกับปิ่นชิ้นนั้นเป็นตัวแทนของความแค้นที่นางคอยย้ำเตือนไม่ให้ตนเองได้หลงลืมไป

"เมื่อได้โอกาสแก้ไข ก็อย่าได้เดินผิดพลาดอีก"

กล่าวจบนางก็โยนปิ่นในมือทิ้งไปราวกับสลัดผ้าขี้ริ้วเก่าขาดผืนหนึ่ง ทั้งยังใช้แขนเสื้อเช็ดมืออีกครั้งราวกับยังมีสิ่งสกปรกติดค้าง หลังจากสงบสติอารมณ์ได้สักพักนางก็เริ่มเรียบเรียงความคิดของตน

สองปีก่อนที่นางจะตายจากพร้อมเลือดในอกของตนยังมีเวลาอีกสองปี เวลาเหล่านี้มากพอที่จะศึกษาหาวิธีรับมือกับโรคระบาดและเขี่ยฉางซื่อหลางออกไปจากชีวิต

เรื่องโรคระบาด ถ้ารู้อาการและสาเหตุย่อมรับมือไม่ยาก ทว่าฉางซื่อหลางเป็นบุรุษสับปลับ ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ถ้าเกิดนางป่าวประกาศถึงโฉมหน้าที่แท้จริงไปในตอนนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อถือ

นางต้องรอบคอบให้มากกว่านี้...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ย้อนเวลามากำจัดสามีสับปลับกับองค์หญิงบัวขาว   เจ้าแผนการ

    ในขณะเดียวกันกับที่การหาต้นตอของโรคระบาดในเมืองจี๋หลินควบคู่ไปกับการรักษาอยู่นั้น รถม้าหลากหลายขนาดที่ประดับประดาอย่างวิจิตรงามตระการสมตามฐานะของเจ้าของกำลังเคลื่อนตัวเป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบผ่านทิวทัศน์ป่าเขาที่ชอุ่มร่มรื่น รอบนอกเป็นเหล่าทหารองครักษ์และเจ้าหน้าที่จากที่ว่าการจี๋หลินคอยอารักขา รองลงมาเป็นเหล่านางกำนัลขันทีและผู้ติดตาม และในสุดจึงเป็นบุคคลสำคัญอย่างฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์กับขุนนางระดับสูงทุกผู้ต่างเดินเท้าด้วยจังหวะและความเร็วที่สม่ำเสมอเพื่อที่จะได้ถึงเมืองหลวงโดยเร็วที่สุดตามรับสั่งของโอรสสวรรค์ ซึ่งในบรรดารถม้านั้น มีรถม้าที่ประดับประดาอย่างวิจิตรหรูหราไม่แพ้ราชรถของฮ่องเต้และหวงไทโฮ่ว เนื่องจากเป็นฤดูร้อน ม่านรถม้าจะเปลี่ยนผ้าเนื้อหนาหนักกันลมเป็นผ้าโปร่งปักลายดอกเหมยเขียวด้วยด้ายเงินดูน่ารักกระจุ๋มจิ๋ม ตรงชายผ้าม่านยังประดับพู่ไหมทองทำให้ภายในรถม้าเย็นสบายกอปรกับยามม่านโปร่งพลิกพลิ้วตามลมจนเห็นข้าวของเครื่องใช้ในรถม้าที่มีทั้งเครื่องเงินและกาสุราทองคำชั่วขณะหนึ่งยิ่งส่งเสริมให้รถม้าคันนี้ทั้งหรูหรามีระดับสมฐานะของเชื้อพระวงศ์หญิงระดับสูงของแคว้นชิ่ง หญิงสา

  • ย้อนเวลามากำจัดสามีสับปลับกับองค์หญิงบัวขาว   วิกฤติผ่านพ้น

    หลายวันต่อมา เมื่อสถานการณ์โรคระบาดในเมืองจี๋หลินคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นและเป่ยหนานหวังอวิ๋นรุ่นเริ่มต้นการสอบสวนหาต้นตอที่มาของโรคระบาด รองผู้ว่าการเมืองจี๋หลินก็รีบมาคุกเข่าโขกศีรษะให้กับอวิ๋นรุ่นทั้งน้ำตา ข้างตัวมีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกมัดมือมัดเท้าปานขนมจ้าง อีกทั้งใบหน้าและตลอดทั้งเนื้อตัวที่โผล่พ้นเสื้อผ้ามีแต่รอยฟกช้ำเขียวม่วงพร้อยพรายคล้ายถูกทำร้ายจนสะบักสะบอม โดยเฉพาะที่ปากนั้นบวมเป่งใหญ่กว่ากว่าปากคนปกติเกือบเท่าตัว เมื่อมองไปยังด้านหลังยังคงเห็นคราบเลือดและเศษฟันที่คายทิ้งตามรายทางชวนให้ขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาซากสังขารที่ยังมีลมหายใจเสร็จสิ้น อวิ๋นรุ่นที่ถามสถานการณ์พอเป็นพิธีก็เริ่มล้างหูรอฟังชายชราตรงหน้าแผดเสียงสารภาพหมดเปลือก จับใจความได้ว่าคนที่นอนเป็นซากอยู่ตรงนั้นเป็นหลานชายของตระกูลสายรองของตน นิสัยเลวร้ายเสเพลซ้ำยังลอบค้าขายผงห้าศิลา เมื่อไม่นานมานี้ถูกทางการกวาดล้างจนไม่สามารถหาผงห้าศิลามาขายได้เพิ่ม จึงผูกใจเจ็บ ลอบวางยากำมะถันผสมกับผงห้าศิลาลงในบ่อน้ำจนทำให้ผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว พอรู้ว่าเป็นฝีมือของคนชั่วผู้นี้ก็รีบจับมารับโทษกับท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องคน

  • ย้อนเวลามากำจัดสามีสับปลับกับองค์หญิงบัวขาว   โรคระบาด 6

    “ผงห้าศิลาที่เป็นยาเสพติดที่ทางการสั่งห้ามประชนใช้อย่างเด็ดขาดน่ะหรือเพคะ” หานฉงหรงเลิกคิ้วถาม นางเคยอ่านเจอผ่านๆ ในตำราแพทย์ที่รวบรวมอยู่ภายในหอตำรา กำลังคิดว่าหลังจากที่โรคระบาดเสร็จสิ้นจะศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม แต่ไม่นึกว่าจะได้มาเห็นของจริงเร็วเพียงนี้อวิ๋นรุ่นพยักหน้า “เดิมผงห้าศิลาเป็นยาสำหรับรักษาโรคบางชนิด แต่มีคนหัวหมอนำไปขายให้กับเหล่าชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ เพราะทำให้คึกคัก เสพติด มึนเมาเคลิบเคลิ้มเห็นภาพหลอน นักกวีบางคนก็ใช้มันเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ในทีแรกทางการก็มิได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่เมื่อผงห้าศิลาเริ่มระบาดไปยังขุนนางระดับสูงถึงระดับกลางไปจนถึงบัณฑิตนักปราชญ์ บางรายถึงขั้นคลุ้มคลั่งทำร้ายสังหารคน นั่นล่ะถึงได้นั่งกันไม่ติดตื่นตัวปราบปราม”“ผงห้าศิลาเป็นของหายากราคาก็มิใช่น้อย ส่วนประกอบของมันจะมาอยู่ตรงก้นบ่อน้ำในตลาดได้อย่างไรกัน หรือว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ...”“ถ้าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ คงไม่มีส่วนประกอบของผงห้าศิลาอยู่ในดินโคลนก้นบ่อมากถึงขนาดนี้แน่ขอรับ” หยวนเคอแย้งก่อนยื่นรายงานที่เพิ่งเขียนเสร็จให้กับท่านอ๋องหนุ่ม “บางทีอาจเป็นที่พวกท่านสันน

  • ย้อนเวลามากำจัดสามีสับปลับกับองค์หญิงบัวขาว   โรคระบาด 5

    เวลาผ่านไปถึงช่วงเย็น รายงานสภาพน้ำของแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อน้ำทั่วเมืองจี๋หลินก็ถูกส่งมาถึงมือของอวิ๋นรุ่น ในขณะเดียวกันตัวอย่างดินโคลนก้นบ่อสาธารณะและบ่อน้ำกินน้ำใช้ในแต่ละบ้านเรือนก็วางเรียงรายเต็มโต๊ะยาว หลังจากรับประทานซาลาเปาไส้เนื้อสับต้นหอมเป็นอาหารเย็นแล้ว ทั้งสองก็เริ่มลงมือทำงานทันที“ดินโคลนก้นบ่อที่รวบรวมมาได้ หม่อมฉันได้แยกออกเป็นเขตต่างๆ ในเมืองจี๋หลินเพื่อสะดวกในการตรวจสอบแล้วเพคะ” หานฉงหรงยิ้มเอ่ยหลังจากเขียกชื่อเขตเขตสุดท้ายของเมืองจี๋หลินลงบนแผ่นไม้แล้ววางไว้ที่กองก้อนโคลนที่เขียนชื่อสถานที่กำกับเอาไว้อวิ๋นรุ่นพยักหน้า ก่อนเรียกให้บุรุษผู้หนึ่งเข้ามา “นี่คือ หยวนเคอ เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลการขุดเหมืองแร่ส่งเข้าวังหลวงโดยตรง มีความสามารถในการจำแนกสินแร่ได้อย่างถูกต้องแม่นยำแม้ว่าจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพียงใดก็ตาม เขาจะมาช่วยเจ้าจำแนกสินแร่ที่ผิดปกติหรือไม่ชอบมาพากลได้”หยวนเคอและหานฉงหรงทักทายตามมารยาทพอสมควร ทั้งสองจึงเริ่มทำงานทันที หยวนเคอถึงแม้เป็นขุนนาง แต่ก็มีพื้นเพมาจากตระกูลสามัญชน อาศัยความสามารถและความจริงใจอาศัยฝ่าคลื่นลมมรสุมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิง

  • ย้อนเวลามากำจัดสามีสับปลับกับองค์หญิงบัวขาว   โรคระบาด 4

    เป่ยหนานหวังหันไปถามอีกฝ่ายเสียงเรียบ “ยังมีที่ใดอีก” แต่นางกลับไม่ตอบเขาทันที เพียงเดินไปทางด้านหลังเรือน ตรงไปยังบ่อน้ำที่ใช้กินใช้ภายในเรือน “ถ้าพูดถึงแหล่งน้ำ ที่จี๋หลินมิได้มีเพียงแต่แหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเดียว ยังมีบ่อน้ำที่ทางการสร้างเอาไว้ใช้เพื่อสาธารณะ และบ่อน้ำที่ชาวบ้านขุดเอาไว้ใช้เองที่บ้าน ท่านพ่อเคยบอกว่าบ่อน้ำทุกบ่อในเมืองจี๋หลินแห่งนี้ต่างใช้น้ำใต้ดินสายเดียวกัน ถ้าบ่อหนึ่งมีปัญหา บ่อน้ำที่เหลือก็ไม่น่าจะปลอดภัย”เพราะถ้าแหล่งน้ำธรรมชาติไม่มีความผิดปกติ แต่มีเฉพาะน้ำบ่อ ก็เป็นไปได้ว่าโรคระบาดในครานี้อาจเป็นฝีมือของมนุษย์...“เรื่องนั้นข้าก็คิดเหมือนกันกับเจ้า เลยสั่งให้คนไปสำรวจน้ำในบริเวณบ่อน้ำกินน้ำใช้ของแต่ละบ้านด้วย” อวิ๋นรุ่นกล่าว “ที่เจ้าพูดถึงเรื่องนี้เพราะกลัวว่าโรคระบาดคราวนี้จะเป็นฝีมือมนุษย์ใช่หรือไม่”หานฉงหรงพยักหน้ารับเขาจึงได้เข้าใจ ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเท่าใดนัก แต่เขาก็อดพอใจมิได้ที่นางคิดการเผื่อเขาอย่างรอบคอบเช่นนี้หญิงสาวกลับส่ายหน้าช้าๆ “ยังไม่พอเพคะ ถ้าจะให้ดีหม่อมฉันอยากให้ตรวจสอบดินโคลนก้นบ่อด้วย ถ้าเกิดว่าต้นตอของโรคระบาดเกิด

  • ย้อนเวลามากำจัดสามีสับปลับกับองค์หญิงบัวขาว   โรคระบาด 3

    “ถึงเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็รู้สึกซาบซึ้งในตัวพระองค์จากใจจริงเพคะ” หานฉงหรงยิ้มแย้มก่อนรินชาอีกจอกเทินส่งให้เขาอีกครา “หม่อมฉันขอใช้ชาจอกนี้แทนคำสัตย์สาบาน จะขอช่วยเหลือท่านอ๋องและหมอหลวงทุกท่านในการหาต้นตอของโรคระบาดให้พบให้ได้ เพื่อตอบแทนในพระกรุณาในครานี้”“เป็นเช่นนั้นก็ดี แต่อย่าได้หักโหมจนล้มป่วยไปอีกคน เจ้าเป็นลูกสาวของว่าที่ขุนนางคนสำคัญ เกิดล้มหายตายจากไปข้าคงไม่มีปัญญาชดใช้ให้”นางอมยิ้มพลางพยักหน้ารับไม่หยุด จนอวิ๋นรุ่นขมวดคิ้วสงสัยว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์ดีอันใดหนักหนา หานฉงหรงก็กล่าวเพียงว่า“วันนี้หม่อมฉันได้พบเจอคนดี ได้รับฟังแต่เรื่องน่ายินดี จึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้ และอาจจะเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายวัน ขอท่านอ๋องทรงโปรดอย่าได้ถือสาหม่อมฉันเลยเพคะ”หญิงชาวบ้านที่หานฉงหรงเคยช่วยบุตรชายของนางเอาไว้ที่ตลาดวันก่อนกลับมาหานางที่สถานศึกษาสกุลหานเพื่อรายงานอาการและจำนวนผู้ป่วยในอีกหนึ่งวันหลังจากนั้น ที่ทิ้งช่วงนานข้ามวันกว่าจะกล้ามาอาจเป็นเพราะว่ากำลังรอดูอาการบุตรชายที่กินยาของนางเข้าไปจะได้ผลดีมากน้อยเพียงใด พอเห็นว่าปลอดภัยในระดับหนึ่งจึงยอมวางใจให้ความร่วมมือ ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดต่อจา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status