เขาได้เร่งกระหน่ำกระแทกอัดท่อนบุรุษไปข้างหน้า
“อ้าย...” ฟู่หลินหลินหวีดร้องออกมาอีก นางจิกเล็บไปกับที่นอนจนเจ็บนิ้ว เขาอัดโยกกระแทกชนหัวมนแรงสุดแล้วหยุดนิ่ง
นางรับรู้ได้ถึงความร้อนที่พ่นจากปลายลำใหญ่ฉีดพ่นความสุขของเขาเข้าไปในช่องท้องของนาง ซึ่งมากจนมันเอ่อท่วมล้นออกมาตามร่องรูน้อย ๆ ไหลอาบสองขา
เขาก็ทาบทับลงมาฝังแกนหยกในร่องสวาทของนางไม่ผละออก ฟู่หลินหลินได้แต่หายใจหอบระรวยอยู่ใต้ร่างของเขา
นางผล็อยหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลีย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปด้วย เขาขยับร่างกายออกรู้สึกสุขจนเต็มอิ่ม และกอดรัดร่างนาง ต่อมาชายหนุ่มได้จัดท่าให้นอนสบายและก่ายกอดนางจนถึงรุ่งเช้า
วันต่อมา
ฟู่หลินหลินขยับกายอย่างปวดร้าวอยู่บนเตียง นางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์ ตอนที่ขยับเปลือกตาเปิดออก จึงรับรู้ได้ถึงแสงที่เจิดจ้าที่ลอดเข้ามาในห้องนั้น
‘ฉันอยู่ที่ไหน ที่ไหน’ สถานที่ไม่คุ้นตา
‘โอ้... แล้วทำไมปวดเมื่อยไปหมดอย่างนี้นะ’ ขยับตัวอย่างเมื่อยขบ พยายามยันยกศีรษะของตัวเอง
ย้อนไปที่ปัจจุบัน พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าลงไปทุกที จากที่วางแผนกันไว้ว่าจะเดินไปให้ถึงยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน กลับกลายเป็นว่า ต้องพากันรีบวิ่งลงเขามาที่หุบเหวเบื้องล่าง เพื่อค้นหาร่างของฟู่หลินหลิน
นางที่ตกลงมาจากหน้าผา ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทุกคนได้แต่ตื่นตระหนกตกใจจนแทบจะบ้าคลั่ง
ท่านฟู่กับฟู่หวั่นอิ๋นกำลังใช้ปลายเชือกด้านหนึ่งมัดเข้ากับต้นไม้ ส่วนปลายเชือกอีกด้านมัดเข้ากับตัวเองเพื่อที่จะโรยตัวลงจากหน้าผา ตั้งใจลงไปค้นหาฟู่หลินหลินที่ด้านล่าง
ส่วนฟู่เหว่ยกวงทำหน้าที่ลงเขาไปเพื่อแจ้งตำรวจ
“ลูกจะรีบไปรีบมานะครับ ทางนี้ก็ขอฝากท่านปู่ด้วย” พูดจบฟู่เหว่ยกวงก็รีบลงจากเขา
สถานีตำรวจห่างจากเขาเถาซานแห่งนี้ค่อนข้างไกล น่าจะราว ๆ สิบกิโลเมตรได้ ด้วยฝีเท้าของชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าที่แข็งแรงและว่องไว ก็น่าจะใช้เวลาวิ่งไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่ว่าเวลาทุกนาทีมีค่า ฟู่เหว่ยกวงจึงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งให้เร็วที่สุด
“หวังว่าเชือกนี่มันคงจะยาวถึงข้างล่างเหวนะครับ” ฟู่หวั่นอิ๋นพูดขึ้น
ท่านฟู่มองเขาที่ดูจะกล้า ๆ กลัว ๆ การจะลงไปเบื้องล่างเหวในครั้งนี้มันก็อันตราย “หากเจ้าไม่มั่นใจ ปู่ลงไปคนเดียวก็ได้ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนแม่กับน้องของเจ้าเถอะนะ” ท่านยังเป็นห่วงหลินฮวาด้วย
“ลงไปค้นหากันสองคน น่าจะไวกว่าคนเดียวนะครับ ยังไงหลานก็จะลงไปกับท่านปู่” ฟู่หวั่นอิ๋นว่า
จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ โรยตัวลงมาช้า ๆ หน้าผาที่เป็นหินค่อนข้างเรียบและลื่น จึงทำให้การโรยตัวเป็นไปอย่างยากลำบาก คิดที่จะเหยียบพักเท้าตรงไหน ก็ทำได้ยากยิ่ง กว่าจะลงมาถึงข้างล่างก็เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร
เมื่อปลดเชือกออกจากตัวแล้ว ท่านฟู่กับฟู่หวั่นอิ๋นก็ทำการค้นหาฟู่หลินหลินทันที “เจ้าไปทางด้านนั้น ส่วนด้านนี้ เดี๋ยวปู่ไปหาเอง ระวังตัวด้วย” ท่านฟู่บอก
“ขอรับ ท่านปู่เองก็ระวังตัวด้วย” ฟู่หวั่นอิ๋นตอบรับ
บทที่ 4 ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง
ท่านฟู่กับฟู่หวั่นอิ๋นก็หาฟู่หลินหลินไม่พบ ทั้งจุดที่พวกเขาหานั้นก็ไม่ได้ไกลจากจุดที่นางตกลงไปเลย ท่านฟู่จึงมานั่งพักกันตรงที่เชือกโรยตัวของพวกเขาที่ห้อยอยู่
“ด้านนี้ไม่พบเลยขอรับท่านปู่” ฟู่หวั่นอิ๋นวิ่งกลับมา ทั้งหายใจหอบ ทั้งรายงานว่าตนเองไม่พบร่างของน้องสาว
“ทางด้านนี้ก็ไม่มีเช่นกัน” ท่านฟู่ว่า
ท่านฟู่คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิเคราะห์ว่า
“แปลกเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่หลินหลินตกลงมาบริเวณนี้แท้ ๆ แต่ทำไมถึงหาไม่เจอ”
“หรือว่านางไม่ได้เป็นอะไร และเดินไปที่อื่นแล้ว”
“ท่านปู่ หลานเองก็ไม่ได้อยากจะพูดอะไรที่ไม่ดีออกมานะครับ แต่ว่าหุบเหวก็ลึกถึงปานนั้น ผู้ที่ตกลงมาจะสามารถเดินไปต่อได้เชียวหรือครับ” ฟู่หวั่นอิ๋นตอบ
“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า” ท่านฟู่เห็นด้วย
ฟู่หวั่นอิ๋นพาเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งกลับมาด้วย มีสี่ห้าคนที่ตามพวกท่านลงมาเพื่อช่วยค้นหาฟู่หลินหลินอีกแรงหนึ่ง
ตอนนี้ก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว แสงสว่างแทบจะไม่มีนอกจากแสงจากไฟฉายของเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น จากนั้นไม่นานก็เหมือนปาฏิหาริย์ พวกเขาก็หาเจอร่างของฟู่หลินหลิน ร่างของเธอตกอยู่ที่พุ่มไม้ไม่ไกลจากที่พวกเขาตามหามากนัก บริเวณนี้ฟู่หวั่นอิ๋นเดินมาหารอบหนึ่งแล้ว
แต่น่าจะเป็นเพราะว่ามืดเกินไป จึงไม่เห็นว่าร่างของฟู่หลินหลินนอนอยู่ที่ใต้พุ่มไม้ อาจเป็นเพราะว่าตรงนั้นเป็นเนิน จึงทำให้ร่างของนางกลิ้งมาไกลกว่าปกติ
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเจอฟู่หลินหลิน ก็ต้องแสดงความเสียใจกับท่านฟู่ เนื่องจากร่างนั้นไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว ท่านฟู่เองก็ทำใจเผื่อเอาไว้แล้ว เนื่องจากคาดเดาได้ว่าหน้าผาสูงถึงเพียงนี้คงจะยากที่จะมีชีวิตรอดกลับไป
ส่วนฟู่หวั่นอิ๋นผู้เป็นพี่ชายนั้นได้แต่ร้องไห้โฮออกมา ทุกคนรับรู้และต่างเศร้าเสียใจ การมาพักผ่อนกลับสูญเสียคนที่รัก พวกเขาได้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจลำเลียงร่างไร้วิญญาณของฟู่หลินหลินออกมาจากหุบเหวนั้น
หลินฮวาเห็นร่างของลูกสาวก็ถึงกับร้องไห้จนเป็นลมล้มพับไป ฟู่เหว่ยกวงต้องพยุงแม่ของตนเองเดินมาขึ้นรถอย่างทุลักทุเล
หลินฮวารู้สึกเสียใจมาก ได้แต่โทษตัวเองที่ชวนท่านฟู่กับลูก ๆ มาเที่ยวที่นี่ และเป็นสาเหตุให้ฟู่หลินหลินต้องตาย
“เป็นเพราะแม่คนเดียว แม่ไม่น่าพาทุกคนมาที่นี่” หลินฮวาพูดไปร้องไห้ไป ท่านฟู่เห็นหลินฮวาโศกเศร้าเสียใจ ก็รีบพูดปลอบใจทั้ง ๆ ที่ตนเองก็เศร้าเช่นกัน
“อย่าคิดว่าเป็นความผิดของเจ้าเลย คนเราย่อมมีเกิด มีตายเป็นธรรมดา ถึงเวลาของหลินหลิน” ท่านฟู่ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
งานศพของฟู่หลินหลินจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่สุสานตระกูลฟู่แถบชานเมืองเซี่ยงไฮ้
มีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย ทุกคนต่างก็พากันแสดงความเสียใจกับเทียนหยูและหลินฮวาที่ต้องสูญเสียลูกสาว ท่ามกลางความเสียใจของทุกคน
อยู่ ๆ ก็มีนกสีขาวบินมาเกาะรอบ ๆ โลงศพของฟู่หลินหลิน ตามความเชื่อของคนสมัยนั้น เมื่อมีนกมาเกาะที่โลงศพก็หมายความว่า นกนั้นมานำพาวิญญาณของผู้เสียชีวิตไปขึ้นสวรรค์
หลินฮวาเมื่อเห็นนกนั้นก็ร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ รู้แน่แก่ใจว่าลูกสาวของตนจะไม่มีทางได้กลับมาบ้านแล้ว
ฟู่หลินหลินที่มาเข้าร่างใหม่นั้น ก็ตื่นขึ้นมาในอีกวัน ตอนนี้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าจนแทบจะอยู่กลางศีรษะอยู่รำมะร่อก็จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อบุรุษผู้นั้นเคี่ยวกรำนางอย่างหนักมาตลอดทั้งคืน สามสี่ยกเลยก็ว่าได้ แต่ละยกนั้นเขาก็ใช้เวลานานแสนนาน จนนางแทบไม่ได้นอนขอบตาดำคล้ำไปหมดแล้ว ฟู่หลินหลินปวดเนื้อปวดตัวจนแทบจะขยับร่างกายไปไหนไม่ได้ ‘บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน เป็นสามีของข้าในชาตินี้อย่างนั้นหรือ’ ฟู่หลินหลินพูดคุยกับตนเองพอตั้งสติได้แล้ว ฟู่หลินหลินก็ลุกขึ้นนั่ง ปรากฏว่าบนเรือนร่างของนางไม่มีอาภรณ์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว‘นี่เขากระทำอย่างนั้นกับข้าเสร็จแล้ว ก็ไม่คิดที่จะใส่เสื้อผ้าหรือว่าหาอะไรมาคลุมให้ข้าหน่อยหรืออย่างไร เหตุใดจึงได้ปล่อยให้ข้าล่อนจ้อนเพียงนี้ หากมีใครมาเห็นเข้าจะว่าอย่างไรเล่า’ นางคิดก็เกิดความอายฟู่หลินหลินมองสังเกตไปรอบห้อง เมื่อคืนที่นางลุกไปเอายานั้น แสงไฟไม่ค่อยสว่างเท่าใดนัก จึงไม่ได้ดูว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างใดพอได้เห็นเต็มตา การประดับตกแต่งโบร่ำโบราณ แต่ทุกอย่างก็ดูโอ่อ่า‘ที่นี่ก็น่าจะเป็นจวนหรือไม่ก็บ้านของคนมีฐานะกระมัง ห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก’ ฟู่หลินหลิ
“อืม... ถ้าเช่นนั้นข้าคิดว่า ข้าก็เหมาะที่จะเป็นชาวจ้าวมากกว่าชาวฉินนะสิ จริงไหม? เพราะข้าไม่อยากจะอยู่ในพิธีรีตอง เอาแบบนี้เจียงอ่าว เราสองคนกลับไปเป็นชาวจ้าว และก็จะได้ทำอะไร ๆ แบบชาวจ้าว”“พูดอย่างนั้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ นายหญิงเหมือนลืมอะไรไป ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนท่านถูกท่านแม่ทัพจัดการจนสมองจะเพี้ยนไป ในเมื่อนายหญิงแต่งมาอยู่ในครอบครัวของท่านแม่ทัพแล้ว นายหญิงก็นับเป็นชาวฉินไปแล้วเจ้าค่ะ แล้วสถานะตอนนี้ไม่ได้เป็นภรรยาเฉย ๆ แต่ยังถือว่าเป็นเชลยของท่านแม่ทัพด้วย” เจียงอ่าวเล่าความจริง ทำให้ฟู่หลินหลินกระจ่างในหัวใจ‘เชลย’‘โอ้! เหมือนเป็นทาสเป็นเชลยที่จะถูกจับมาทรมาน แล้วเมื่อคืนเขาก็ทรมานข้า’ ฟู่หลินหลินทำตาโตเท่าไข่หงส์เจียงอ่าวที่ไม่ได้สนใจนายหญิง พูดจบแล้วก็เดินไปหยิบอาภรณ์ชุดสีชมพูอ่อนมา แล้วกางออกให้นายหญิงของตนดู“ใส่อาภรณ์ชุดนี้นะเจ้าคะ มันทำมาจากผ้าไหมทออย่างละเอียด และมีปักลายดอกโบตั๋นที่สาบเสื้อตรงนี้ด้วย นายหญิงเคยโปรดปราน”“ชุดนี้น่ะเหรอ” ถามกลับ เพราะดูโดยรวมแล้วเป็นชุดที่เรียบร้อยและอ่อนหวานหยดยิ่งนัก ฟู่หลินหลินรีบส่ายหัว ความชอบของนางคือสีมืดและทึม ๆ“เอ๊ะ! ต้องใส่สิ
“ผู้หญิงแคว้นจ้าวก็เป็นอย่างนี้แหละเจ้าค่ะ หาคนกิริยามารยาทงามได้ยากยิ่ง ยิ่งพวกที่ทรยศบ้านเมืองตัวเองด้วยแล้ว ยิ่งไร้คุณสมบัติของผู้ดีไปอีกนะเจ้าคะ” ปลายเสียงหัวเราะฮึ ๆ ปู้เป่ยเอ่ย‘ทรยศบ้านเมืองตัวเองอย่างนั้นหรือ เหตุใดกันล่ะ’ ฟู่หลินหลินคิดในใจ สับสนงงงวย กว่านางจะเข้าใจทุกเรื่องจะต้องใช้เวลาในการซักถามกับเจียงอ่าวเป็นวัน ๆ แน่นอน“นี่เจ้า... ยังไม่รู้กาลเทศะเหมือนเดิมนะ”เสียงรวบพัดตบเข้าหากันดังพรึบ ก่อนจะชี้มาที่ใบหน้าของฟู่หลินหลินอีก เมื่อฟู่หลินหลินได้ยินเช่นนั้นรีบตั้งสติ แล้วรีบลุกขึ้นยืน“ฟู่หลินหลินคารวะท่านแม่” พร้อมทำท่าทางเหมือนที่เจียงอ่าวสอน และที่เห็นในจอโทรทัศน์ของที่บ้านรั่วฮูหยินไม่ตอบคำ เพียงแต่เบือนหน้าหนีราวกับจะไม่รับการคารวะจากนาง ฟู่หลินหลินเห็นดังนั้น ก็เข้าใจได้ในทันทีว่า รั่วฮูหยินคงไม่ชอบนางมากจริง ๆ ตอนที่ได้ยินเจียงอ่าวเล่า ยังไม่เห็นภาพ แต่ตอนนี้ชัดเจนยิ่งแล้วเกิดมายังไม่เคยมีใครทำอะไรให้ฟู่หลินหลินรู้สึกขุ่นเคืองได้เพียงนี้‘แต่ที่นี่... ไม่ใ
ฟู่หลินหลินใจสั่นสะท้าน ก็ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเอง ความมั่นใจในสมัยที่ยังไม่มาที่นี่หายไปไหนนางใช้มือทั้งสองถูหน้าขาของตนเองไปมา เพื่อสะกดความกลัวกับความตื่นเต้นเอาไว้แม่ทัพรั่วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับนางแล้วเปิดฉากการสนทนา“ที่ข้าต้องคุยกับเจ้า เพราะว่าข้าต้องมอบหมายงานให้เจ้าทำในฐานะภรรยา” ซึ่งรั่วเฉินก็รู้ เขาทิ้งนางในตอนนี้ไม่ได้ ต้องหอบหิ้วนางไปทุกที่ หากไม่อยากได้ยินคำครหาก็ต้องเคี่ยวกรำและฝึกฝนนาง“งานอะไรหรือเจ้าคะ” ฟู่หลินหลินถาม แล้วจ้องมองใบหน้าของเขาที่มีสีหน้าจริงจังมากกว่าเดิมอีก“ปกติแล้ว งานดูแลเรื่องการควบคุมจวน และแบ่งหน้าที่ คอยติดตามทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนทำงานในทุกตำแหน่งในจวนนี้เป็นของท่านแม่ แต่นับตั้งแต่ต่อไปนี้ ข้าจะให้ท่านแม่ได้พักผ่อนบ้าง ในเมื่อเจ้าแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลรั่วแล้ว หน้าที่นี้ย่อมต้องเป็นของเจ้า ในทุก ๆ วันเจ้าจะต้องควบคุมดูแลให้พวกบ่าวไพร่ทำงานในจวน ไม่ว่าจะเป็นงานทำความสะอาด งานในครัว งานในสวนดอกไม้ ต้องให้เรียบร้อย อย่าได้ขาดตกบ
ฟู่หลินหลินคิดผิดที่ต่อปากต่อคำกับเขา และขัดใจท่านแม่ทัพ เขากระแทกร่างของนางชนกับขอบโต๊ะ แล้วกดดันหลังของนางให้โน้มชิดเอาตัวติดกับพื้นไม้“อะ” นางเกือบจะร้องลั่นดังออกมา แต่ก็ต้องงับขบริมฝีปากให้แน่นสนิท ฟู่หลินหลินรู้ตัวตลอด เขารื้อร่นจนชายชุดที่ใส่อยู่ขึ้นมากองอยู่เหนือเอวจากนั้นแม่ทัพนั่งลงไปที่ด้านล่าง แล้วได้ชิดใบหน้าฝั่งลงไปที่ด้านหลัง เขาฝังจมูกโด่งคมสันลงไปกลางร่อง สองขาของฟู่หลินหลินที่ถูกเขาจับให้แยกออกกว้าง ปลายลิ้นเร่าร้อนของแม่ทัพหนุ่มจ้วงแทงพ้นริมฝีปากและเริ่มละเลงไปกับกลีบดอกไม้แสนงามของนาง ฟู่หลินหลินครางครวญ และสะดุ้งตัว ‘เรื่องเซ็กซ์กับผู้ชายช่างเป็นของคู่กัน ที่ขาดไม่ได้ นี่เขาเป็นถึงท่านแม่ทัพ แต่ทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างถึงรสชาติ’“อื้อ... อย่า... ท่าน... อ้า... ซี้ด...” ความระร้ายของปลายชิวหาทำให้ฟู่หลินหลินน้ำตาไหลซึมเอ่อ นางอ้าขยับร้องครวญคราง หัวสมองและร่างกายของฟู่หลินหลินเริ่มปั่นป่วนเขาดูดดุนน้ำหวานที่ไหลบ่าออกมาจากร่องรูรักของฟู่หลินหลินอย่างไม่คิดรังเกียจ และทำเหมื
ฟู่หลินหลินเดินไปมาพร้อมกับใช้ความคิด ใบหน้าสวย ๆ ของนางตอนนี้บูดบึ้ง นางไม่คิดว่าเขาจะกลั่นแกล้งนางถึงขั้นนั้น จับกดแล้วขึ้นขี่ตรงไหนก็ได้แล้วยังจะมาออกคำสั่งใช้ให้นางทำงานที่ลำบากด้วย ฟู่หลินหลินเกิดความกังวลเพราะว่าไม่เคยทำมาก่อน อีกอย่างแม่สามีที่ร้ายกาจคอยจับผิดอีกนางได้แต่ถอนหายใจออกมา นั่งห้อยขาแกว่งไปแกว่งมาด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เจียงอ่าวก็มองอย่างสงสัย ฟู่หลินหลินบ่นกระปอดกระแปดให้เจียงอ่าวได้ยิน“ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงหน้าที่ควบคุมดูแลก็เถอะ แต่เรื่องแค่นี้ทำไมจะต้องให้ข้าทำด้วย ถ้าข้าโดนฝุ่นจนโรคภูมิแพ้กำเริบผู้ใดจะรับผิดชอบ”“มีเรื่องอันใดกันหรือเจ้าคะนายหญิง เหตุใดจึงไม่สบอารมณ์ถึงเพียงนี้” เจียงอ่าวเมื่อเห็นนายของตนดูอารมณ์ไม่ค่อยจะดีจึงถามฟู่หลินหลินพ่นลมออกจากจมูกคราหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับเจียงอ่าวอย่างจริงจัง“นี่ฟังนะเจียงอ่าว ผู้ชายคนนั้นเขาให้ข้าดูแลงานเรื่องทำความสะอาด เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าข้าเป็นถึงคุณหนูตระกูลฟู่เชียวนะ ข้า...” เจียงอ่าวรีบแต่ท
เนื่องจากฟู่หลินหลินตื่นสาย นางจึงไม่ได้รับประทานอาหารเช้าร่วมกับสามี แต่ว่าเวลานี้ใกล้จะเที่ยงอีกแล้ว ถึงเวลาต้องปรนนิบัติสามีให้กินอาหารกลางวัน แต่ด้วยความที่มาจากต่างยุคต่างสมัย จึงไม่รู้ว่าคนในยุคนี้ เขาปรนนิบัติกันอย่างไร“พูดเรื่องปรนนิบัติเขา ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” นางจึงถามเจียงอ่าวอีก เจียงอ่าวรีบถ่ายทอดความรู้ให้กับนายหญิงของตนยกใหญ่เป็นขั้นเป็นตอนเสร็จสรรพ“เจียงอ่าว เจ้าทำไมรู้เรื่องพวกนี้ละเอียดยิ่ง เจ้าเคยมีสามีหรือไม่” ฟู่หลินหลินถาม“ไม่เคยเจ้าค่ะ” เจียงอ่าวตอบ“อ้าว ยังไม่มีสามีเหรอ” ฟู่หลินหลินงึมงำอีก นางได้ยินคำตอบอย่างนี้ก็แปลกใจ ผู้หญิงที่ไม่เคยมีสามี เหตุใดจึงรู้เรื่องของการปรนนิบัติสามีได้ดีเพียงนี้“แล้วเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน” ฟู่หลินหลินเบิ่งตาโตใส่เจียงอ่าว แต่สักครู่ก็ทำสายตาล้อเลียนเจียงอ่าวสบตานายหญิงของตน นางตอบกลับ “เรื่องพวกนี้ฟู่ฮูหยินสอนเจียงอ่าวมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้เจียงอ่าวมาดูแลนายหญิงโ
“ทำความสะอาดอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ทำหรอก เจียงอ่าว พวกเรามีเงินหรือไม่” ฟู่หลินหลินถามเจียงอ่าวเหลียวหน้าเหลียวหลัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วก็กระซิบกระซาบตอบนายหญิงของตน“มีเจ้าค่ะ ท่านเจ้าเมืองให้มาสองพันกว่าตำลึง”“แล้วตอนนี้อยู่ที่ใดฮึ?” ฟู่หลินหลินเบิ่งตาโตเจียงอ่าวนิ่วหน้าอย่างเสียมิได้ มือทั้งสองยกขึ้นมาบอกปัด “ไม่ได้นะเจ้าคะนายหญิง ท่านเจ้าเมืองให้เอาไว้เพื่อให้นายหญิงใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้นเจ้าค่ะ จะเอาออกมาใช้ในเรื่องมิใช่เรื่องไม่ได้”ฟู่หลินหลินทำหน้าตาบูดบึ้ง“ทำไมจะไม่ได้ฮึ?” ทำหน้าตาไม่พอใจอยู่“ไม่ได้ก็ไม่ได้สิเจ้าคะ เอาเหตุผลอันใดในตอนนี้ ไม่ ไม่...” เจียงอ่าวส่ายหน้า และไม่ยอมมองหน้าของเจ้านายอีกเลย“เฮ้อ...” ฟู่หลินหลินลอบถอนหายใจ จะทำอะไรก็ไม่ได้มากนัก ไม่เหมือนตอนอยู่กับท่านแม่‘ช่างก่อน พักเอาไว้ก่อน’ เริ่มครุ่นคิดอย่างอื่นในที่สุดก็ตัดใจจากเงินก้อนนั้น ในเมื่อท่านพ่อมอบไว้ให้ใช้ยามฉุกเฉิน
แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แม่ทัพรั่วมีความทรหดอดทนมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แทนที่เขาจะถูกพิษแล้วล้มลงไปกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังควบม้าพุ่งใส่เขาได้อีก หรือว่าธนูอาบยาพิษของเขาจะเกิดการผิดพลาดเสียงทวนกระทบกับดาบดังสะท้อนไปทั่วป่า ทั้งแม่ทัพรั่วและซื่อเล่อต่างก็โจมตีโรมรันกันไม่หยุดซื่อเล่อถึงแม้จะฝีมือด้อยกว่า ประสบการณ์น้อยกว่า แต่ทว่าเจอกับแม่ทัพรั่วที่มีลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ ก็เรียกได้ว่าไม่ทิ้งห่างกันมาก พวกทหารของซื่อเล่อพยายามยิงธนูเข้าใส่แม่ทัพรั่ว แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าจะพลาดไปโดนแม่ทัพของตัวเอง อย่างไรแล้วพญาอินทรีก็ยังคงเป็นพญาอินทรี ซื่อเล่อถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือของชนเผ่าเร่ร่อน แต่เมื่อเจอกับแม่ทัพรั่ว ก็ยังคงเป็นเพียงนกอินทรีตัวผู้ที่บังอาจผยองอยากเป็นพญาอินทรีเท่านั้นซื่อเล่อถูกทวนของแม่ทัพรั่วแทงเข้าที่ท้องจนได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าด้วยความว่องไวของเขา ทำให้หลบหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้ถอยทัพกลับไป
เสียงเคาะดาบกับโล่ดังเป็นจังหวะ และเสียงกระทุ้งทวนกับพื้นก็ดังตามมา รองแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามสั่งให้เข้าบุกโจมตี พวกมันวิ่งเข้ามาในวงล้อมของค่ายกลแปดทิศ ราวกับว่าไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น และใช้ดาบฟันทุกอย่างที่ขวางหน้า ทหารทั้งสองฝ่ายโรมรันพันตูกันเสียงกระทบกันของดาบและทวนดังไปทั่วทั้งเนินหวงหยางแม่ทัพรั่วกำลังใช้สายตามองหาซื่อเล่อ แต่ว่าหาอย่างไรก็หาไม่พบ ตามกฎของสงครามแล้วสงครามจะจบลงก็ต่อเมื่อ ประการที่หนึ่งแม่ทัพของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย หรือไม่สามารถสู้ต่อไปได้แล้วประการที่สอง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ แล้วถอนทัพไป ดังนั้นแม่ทัพรั่วจึงต้องหาแม่ทัพของฝ่ายศัตรูให้พบ แล้วกำจัดเขาเสียฝีมือการสู้รบของชนเผ่าเร่ร่อน ถึงแม้ว่าจะไม่มีแบบแผนก็จริง แต่ว่าพวกเขาสู้รบได้ดุเดือด ยิ่งจนตอนนี้สามารถทำลายค่ายกลแปดทิศจนแตกแล้ว ทหารของแม่ทัพรั่วจึงได้เปลี่ยนไปใช้รูปแบบการตั้งรับแบบอื่นแทนแม่ทัพรั่วตัดสินใจขี่ม้าออกไปกลางความชุลมุนวุ่นวายนั่นแล้วตามหาตัวซื่อเล่อ ยิ่งหาตัวเขายากเท่าไร ก็ยิ่งมีโทสะมากขึ้นเท่านั้นที่จวนในวันนี้
รั่วฮูหยินยังเช็ดน้ำตาให้กับฟู่หลินหลินอีกด้วย“ห้ามร้องไห้เด็ดขาดเลยนะ เดี๋ยวลูกของเจ้าออกมาจะนั่งหงิกหน้างอ”“เจ้าค่ะ” บรรยากาศในจวนแห่งนี้เปลี่ยนไปในทันที ความสุขอบอวลไปทั่ว สีหน้าของทุกคนแช่มชื่น ที่ได้ข่าวการมาเยือนของหลานตัวน้อยที่อยู่ในท้องของภรรยาท่านแม่ทัพ“ท่านแม่อย่าบอกเรื่องนี้กับท่านพี่นะเจ้าคะ”“ทำไมรึ”“ถ้ากลัวว่าท่านพี่จะเป็นห่วงเป็นใย”“ถูกของเจ้า จะให้มาพะวงเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด แต่แม่จะต้องไปบอกท่านพ่อก่อน เขาจะต้องดีใจมาก”“แล้วแต่ท่านแม่”“ได้หรือยังน่ะของกินร้อน ๆ” รั่วฮูหยินหันไปถาม เพราะดูเหมือนจะนานไปแล้ว“มาแล้วเจ้าค่ะ ซุปไก่ร้อน ๆ ใส่สมุนไพรบำรุงด้วยเจ้าค่ะ”“เจ้าเอายาไปต้มให้กับฮูหยินน้อยด้วยหรือยัง” ท่านหันไปถามเจียงอ่าว“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเสร็จแล้วคนในครัวจะยกมาให้”“ถ้าอย่างนั้นเจ้ากินน้ำ
“อร่อย! เจียงอ่าวเจ้าว่าอร่อยหรือไม่” ฟู่หลินหลินหันไปถามเจียงอ่าว ที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่ยังไม่ทันได้กลืน ก็ตอบด้วยเสียงอู้อี้กลับมาว่า“อร่อยเจ้าค่ะ”ฟู่หลินหลินจึงได้ซื้อขนมถั่วตัดนี้มาห้าถุง หนึ่งถุงสำหรับส่งให้แม่ทัพรั่ว หนึ่งถุงสำหรับนางกับเจียงอ่าว อีกหนึ่งถุงให้ท่านแม่ และอีกสองถุงไว้ให้บ่าวไพร่ในเรือนแบ่งกันกิน พอกลับถึงจวน ฟู่หลินหลินก็ให้ทุกคนมาช่วยกันจัดสิ่งของที่ซื้อมาใส่จวน จวนแม่ทัพรั่วตอนนี้ได้สลัดกลิ่นอายของความเก่าทึมทึบออกไปแล้ว เมื่อมีเครื่องเรือนใหม่เข้ามาทำให้ดูสดใสขึ้นอักโขแต่ว่าฟู่หลินหลินก็ไม่ได้สั่งให้คนยกเครื่องเรือนเก่าออกไปเนื่องจากไม่อยากมีเรื่องกับแม่สามี จึงทำเพียงแต่เติมของใหม่เข้าไปเท่านั้นเมื่อกลับมาถึงที่ห้องนอนของนางแล้ว รั่วฮูหยินก็สั่งให้คนมาตามนางไปหา ฟู่หลินหลินจึงขัดไม่ได้ แม้จะแสนเพลีย แต่ก็ต้องไปหารั่วฮูหยินที่จวนของท่านทว่าเมื่อไปถึงแล้ว ไม่ได้มีแต่รั่วฮูหยินเพียงคนเดียว ยังมีแม่นางจ้าวนั่งอยู่ข้างกา
กองทัพออกเดินทางกันมาได้หลายวันแล้ว ตลอดระยะเวลาสองวันนี้ ทุกคนแทบจะไม่ได้พักเลย เนื่องจากจะต้องไปให้ถึงเมืองซุยโจว ก่อนที่ทัพของข้าศึกจะมาประชิดเมือง จะหยุดพักกันก็แค่ในตอนรับประทานอาหารเช้ากับเย็นเท่านั้นการนอนพักผ่อนก็จะพักให้หายเหนื่อยเพียงแค่สองถึงสามชั่วยาม นอกจากกายจะไม่ได้พักแล้ว ใจก็ไม่ได้พักเช่นกันตั้งแต่แม่ทัพรั่วออกมาจากจวน เขาก็เฝ้าคิดถึงแต่ฟู่หลินหลินภรรยาของตนพอ ๆ กับคิดถึงเรื่องสงครามที่อยู่ข้างหน้า การศึกครั้งนี้เขาตั้งใจไว้ว่าจะทำให้รวบรัดและทำการศึกให้ใช้เวลาน้อยที่สุด เพื่อจะได้กลับไปหาภรรยาสุดที่รักของเขาพวกเขาพักค้างแรมกันที่ชายป่าก่อนถึงเมืองซุยโจว จากตรงนี้ไปใช้เวลาเดินเท้าอีกแค่ไม่เกินสองวัน ก็จะถึงเขตเมืองซุยโจวดังนั้นแม่ทัพรั่วจึงสั่งให้ทหารตั้งกระโจมพักผ่อนกันแบบยาว ๆ สักหน่อย เพื่อที่จะได้เก็บแรงเอาไว้ต้านศึก“พวกเราตั้งค่ายพักแรมกันตรงนี้เถิด” แม่ทัพรั่วสั่ง“เหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้ว พักผ่อนกันให้เต็มที่ พวกเจ้าจะต้องนอนเอาแรง” เขาหันหน้าไปทางหวังหว่าน
เขากลับบ้านมาด้วยความเร่งรีบเพื่อที่เตรียมเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปด้วยฟู่หลินหลินรอเขาอยู่ที่ห้อง เมื่อเห็นเขากลับมาในช่วงกลางวันก็รู้สึกแปลกใจ เพราะว่าปกติแล้วเวลาที่เขาเข้าวังไปประชุมข้อราชการ กว่าจะกลับมาก็ค่ำมืดทุกครั้ง“ท่านพี่มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือ” ฟู่หลินหลินถาม“ข้าต้องไปออกรบ และต้องไปเดี๋ยวนี้” แม่ทัพรั่วตอบ“เหตุใดจึงได้กะทันหันเช่นนี้เล่า” ฟู่หลินหลินเอียงคอเล็กน้อย สีหน้าของนางมีแต่ความกังวลใจ ใครอยากให้สามีของตนไปผจญกับคมดาบและศึกสงคราม แต่นี่คือหน้าที่“ตอนนี้ยังไม่มีเวลาที่จะอธิบาย เจ้าช่วยไปเก็บเสื้อผ้าของข้าให้หน่อย แล้วก็สิ่งของต่าง ๆ ที่จำเป็นด้วย ข้าต้องรีบเปลี่ยนชุด” แม่ทัพรั่วกล่าวในขณะที่แม่ทัพรั่วกำลังถอดชุดเข้าเฝ้าออก แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบทหารนั้น ฟู่หลินหลินก็เรียกเจียงอ่าว และคนรับใช้อื่น ๆ ให้ทยอยเก็บข้าวของให้เขาเมื่อเก็บของเสร็จแล้ว ฟู่หลินหลินก็เรียกให้บ่าวไพร่มาขนหีบไปขึ้นรถม้า แม่ทัพรั่วแต่งตัวเสร็จ เขากำลังจะเดินออกไป เขาหันไปพ
“ทำไมท่านพูดอย่างนี้ ท่านไม่ไว้ใจข้าเหรอ ข้ามิได้…” ฟู่หลินหลินพูดไม่ทันจบ เขาก็กระโจนเข้าใส่แล้ว กิริยาอาการที่เถื่อนดิบท่านแม่ทัพจัดการถอดเสื้อผ้าของหญิงสาวออกมาจนหมด จนฟู่หลินหลินเปลือยกายล่อนจ้อน แม้นางจะขัดขืนเพราะไม่ชอบความกักขฬะของสามีในตอนนี้แต่ด้วยไฟอารมณ์ที่ฉุนเฉียวโกรธเกรี้ยว ไม่พอใจที่เห็นภรรยาของตนอยู่กับชายอื่น ใบหน้าน้อย ๆ ของนางถูกท่านแม่ทัพจับเอาไว้ให้อยู่นิ่ง ๆ เขาก็ประทับจูบลงมาอย่างบดขยี้ จนฟู่หลินหลินเจ็บริมฝีปากไปหมด“อื้อ… ไม่นะเจ้าคะท่านพี่ ท่านอย่ารุนแรงกับข้า”แต่เพราะว่าสุราที่ร่ำในงานนั้นมีสมุนไพรบางอย่างที่คลับเคลื่อนอารมณ์กายกำหนัดของชายชาตรีให้ปะทุขึ้นท่อนบุรุษของท่านแม่ทัพแข็งขืนขึ้นมาจนตึง เขาเจ็บแกนกายของตัวเองอย่างมาก สิ่งเดียวที่ปรารถนาในตอนนี้ ก็คือการผนึกแน่นเป็นร่างเดียวกับฟู่หลินหลินเขาจับขาของภรรยาพร้อมกับดึงมาให้สะโพกมนอยู่ที่ขอบเตียง จากนั้นก็จับจรดแกนแกร่งเข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มของฟู่หลินหลิน เขากดแรงจนท่อนลำกระทุ้งฝังเข้าไปในร่องสาวอย่างรวดเร็วนางไ
“ที่นี่ไม่เหมาะที่อิสตรีจะมาเดินเที่ยวคนเดียว” เขาเอ่ยเหมือนตำหนิ“ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ คือข้าน้อยไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเขตหวงห้าม”“เจ้ามิได้อยู่ในวังนี้ดอกหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าน้อยมากับสามีของข้า”“หื้อ สามีของเจ้าหรือ คือผู้ใด”“ท่านแม่ทัพรั่ว”“อ้อ ท่านรั่วเฉิน”“ท่านรู้จักสามีของข้าด้วยหรือเจ้าคะ”“ไม่เพียงแต่รู้จักเขา เจ้าก็คือเชลย”คำว่าเชลยสะกิดใจนัก แต่ฟู่หลินหลินก็ยังฝืนยิ้ม“ตอนนี้ข้าถือว่าเป็นคนในครอบครัวของแม่ทัพรั่วแล้ว คำว่าเชลย มักใช้กับผู้ที่เป็นศัตรูกันเท่านั้น”“จริงดังเจ้าว่า อ่า… ขอโทษนะ ถ้าหากข้าพูดอะไรทำให้เจ้ารู้สึกไม่พอใจ”“หามิได้เจ้าค่ะ” ฟู่หลินหลินรู้แล้วว่าไม่ควรจะอยู่ที่แห่งนี้นานมากไป จึงได้เอ่ย“ข้าขอตัวก่อน” นางกำลังจะหันหลัง ไม่อยากจะคุยกับบัณฑิตท่านนี้ต่อแล้ว ไม่พอใจนิด ๆ ที่เขาดูถูกตนเอง&ldqu
ประโยคนี้ทำให้จ้าวอวี้เจินผงะ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะมีฟู่หลินหลินนี่แหละที่กล้าต่อปากต่อคำกับนาง จนตอนนี้ถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะคิดคำพูดใดมาตอบโต้ดี“ถ้าแม่นางจ้าวไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้ ข้าก็ขอตัว แต่อยากจะเตือนอย่างหนึ่ง แม้ข้าจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่อะไรที่ทำแล้วเสื่อมเกียรติ หรือด้อยคุณค่าในตัวเองข้าจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด“อีกอย่างถ้าสิ่งที่คิดทำไม่ได้สมดั่งมุ่งหวัง ความผิดหวังจักมากตามมา” เหมือนทิ้งความไม่พอใจเอาไว้ให้กับจ้าวอวี้เจิน“ข้าก็ขอตัว” ฟู่หลินหลินไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง นางก้มโน้มศีรษะ พร้อมกับเดินจากมาฟู่หลินหลินพูดไปทั้งที่ก็หวั่น ๆ แต่ถ้าเป็นตัวของนางเอง หากว่ามีคนมาตอกย้ำและเตือนแบบนี้ จะล่าถอยทันที แม้จะรู้สึกเสียหน้าบ้างก็ตามเถอะสำหรับฟู่หลินหลินแล้ว หากไม่ได้เป็นที่หนึ่งในใจของสามีของตน ก็ไม่ต้องมีสามีจะดีกว่า แม่นางจ้าวที่เพียบพร้อมทุกอย่าง นางจะหาคนที่คู่ควรกับนางได้เอง หากเปิดใจยอมรับเขาผู้นั้น และเวลาอย่างนี้ แม่นางจ้าวก็สมควรจะล่าถอยไปได้แล้วผู้ที่ถูกตอกหน้าถึงกับเจ็บแค้น กำหมัดในมือแน่น