เข้าสู่ระบบเสิ่นลี่อิงพาเปาหลงไปอาบน้ำ และบอกให้เขารออยู่ที่บ้านก่อน เพราะนางนำเสื้อยืดของนางจากในมิติมาให้เขาใส่แทนชุดที่เลอะอุจจาระตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จึงคิดจะไปขอเสื้อผ้าชุดเดิมของลู่เว่ยมาให้เปาหลงยืมใส่เสียก่อน
“ข้าจะไปยืมเสื้อผ้ามาให้เจ้าใส่ ชุดเช่นนี้ใส่ออกไปข้างนอกไม่ได้รู้หรือไม่”
“ขอรับ พี่สาวอย่าทิ้งเปาเปาไปนะ”
“ไม่ทิ้งอยู่แล้ว พี่สาวสัญญา” นางยื่นนิ้วก้อยออกไปตรงหน้า เปาเปาน้อยขมวดคิ้วไม่เข้าใจการกระทำของนางแต่ก็ยื่นนิ้วก้อยออกมาตามแบบที่เสิ่นลี่อิงทำ
“ทำเช่นนี้เรียกว่าเกี่ยวก้อยสัญญา ข้าให้คำมั่นว่าจะไม่ทิ้งเจ้าไป” เสิ่นลี่อิงเกี่ยวนิ้วเล็กๆ เข้ามา จากนั้นก็รีบไปขอเสื้อผ้าที่บ้านของจินเหมยทันที
.
.
.
“พี่จิน! อยู่หรือไม่เจ้าคะ” นางตะโกนเรียกอีกฝ่ายออกไป
“ว่าอย่างไร ข้ากำลังจะออกไปชวนเจ้าไปขึ้นเขาพอดี”
“ข้าเพียงจะมาขอยืมเสื้อผ้าเก่าๆ ของลู่เว่ย พอจะมีบ้างหรือไม่ เมื่อคืนมีเด็กหลงมาที่บ้านของข้า คงต้องดูแลกันไปก่อน …” ลี่อิงเล่าออกไปให้อีกฝ่ายฟังบางส่วน รายละเอียดสำคัญอย่างแท้จริงไม่ได้กล่าวออกไปแม้เพียงครึ่งคำ
“ได้ๆ รอเดี๋ยวน่าจะมีสักสองชุด เด็กกี่หนาวแล้วเล่า ดูออกหรือไม่”
“ไม่เกินสามหนาวเท่านั้น”
ไม่นานนักอาภรณ์สีซีดก็มาอยู่ในมือนาง ลี่อิงขอบคุณจินเหมยอยู่หลายครา ก่อนจะถามวิธีการเข้าไปซื้อของในเมือง จึงได้รู้ว่าเมื่อคืนจินเหมยปรึกษากับสามีจะให้นางหยิบยืมเงินไปก่อน ไว้ตั้งตัวเลี้ยงตัวได้ค่อยนำมาคืน แต่หากนางคิดจะเข้าเมืองเองเช่นนี้ จินเหมยย่อมเดาได้ว่าลี่อิงคงพอมีเงิน
จินเหมยพูดออกมาตามตรงว่านางโล่งใจ คุยกันเสร็จสรรพก็ได้เวลาแยกย้าย จินเหมยต้องเข้าป่า ส่วนนางก็ต้องพาเปาหลงน้อยเข้าเมืองไปพร้อมกัน
โชคดีที่ตาเซียนนั่นช่วยบังตา ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงต้องไปขุดมันล่าสัตว์กินในป่า
“เปาเปา ข้ากลับมาแล้ว มาเปลี่ยนชุดเร็วเข้า”
สิ้นเสียงของนาง เปาหลงก็วิ่งออกมารับนางหน้าประตู เสิ่นลี่อิงจับเด็กน้อยเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว นางเองก็ตรวจสอบความเรียบร้อยของตนเองเช่นกัน ลี่อิงอุ้มเด็กน้อยเปาเปาเดินออกไปหน้าหมู่บ้านตามคำบอกของจินเหมย
“เดี๋ยวเราไปนั่งเทียมวัวของลุงไฉ่เข้าเมืองกัน นอกจากไปซื้อของ เจ้าต้องช่วยข้าคิดด้วยนะว่าเราสองคนจะหาเงินกันอย่างไร”
“หาเงินทำไย(อะไร) ป้อ(พ่อ)เปาเปาเงินเยอะ ขอพ่อ” เสียงอู้อี้ในอ้อมแขนพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจจนเสิ่นลี่อิงแอบรู้สึกหมั่นเขี้ยวเล็กน้อย
แหม..ฮีโร่ของลูกชาย รักและภูมิใจเหลือเกินน้า
“หากอยากเก่งแล้วกลับไปหาท่านพ่อ ต้องหาเงินมากๆ หากใครถามถึงพ่อให้บอกว่าโตแล้วจะไปตามหา ห้ามบอกชื่อพ่อกับใคร เข้าใจหรือไม่”
“ได้ เปาเปาเชื่อพี่สาว พี่สาวใจดี” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก มองสองข้างทางด้วยสายตาเป็นประกาย คอยถามให้นางอธิบายอยู่เรื่อยไป
เสิ่นลี่อิงคิดทบทวนเกี่ยวกับของที่มีอยู่เป็นทุนเดิม นางรู้ว่าเงินสามพันตำลึงทองที่นางมี ความจริงก็ถือว่าเป็นเศรษฐีผู้หนึ่งแล้ว แต่นางจะประมาทไม่ได้ ศัตรูในทีมืดของนางคือผู้มีอำนาจทั้งสิ้น การอยู่รอดจำเป็นต้องใช้เม็ดเงิน และหากพึ่งพาแต่ของในมิติสักวันย่อมมีคนสงสัย
แล้วก็มีเจ้าเด็กนี่ด้วยอีกคนที่ต้องส่งเรียน ยังไงก็เป็นอ๋องน้อยจะปล่อยเลยตามเลยคงไม่ได้
“เทียมวัว วัวตัวใหญ่อยู่นั่น” เปาหลงชี้ไปยังวัวเทียมเกวียนที่จอดรอรับผู้คนจากหน้าหมู่บ้านหยางไปยังตัวเมืองเจียวจู่
“เก่งมาเปาเปา ถูกต้องแล้ว”
“ไม่เคยนั่ง ตื่นเต้น” เปาเปาดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนนาง เสิ่นลี่อิงจึงปล่อยให้เด็กน้อยลงเด็กน้อยวิ่งไปยังเทียมวัวนั้นทันที
ส่วนตัวนางเมื่อปล่อยเด็กน้อยลงแล้ว ก็พึ่งรู้สึกปวดแขนขึ้นมา นางลืมว่าร่างนี้ไม่ใช่ร่างเก่าของนาง ความแข็งแรงย่อมไม่เท่ากัน อุ้มเด็กหนักประมาณยี่สิบกว่าจินเดินไกลๆ เช่นนี้ ร่างกายย่อมต้องรู้สึกเมื่อยล้า
“นั่นแม่นางลี่อิงที่มาอาศัยท้ายหมู่บ้านใช่หรือไม่ มีน้องชายด้วยหรือ” เสียงลุงไฉ่ร้องทักออกมาอย่างเป็นมิตรทำให้นางแปลกใจเล็กน้อย นึกไปว่าวันนี้จะต้องมาแนะนำตัวเองเสียอีก
“เจ้าค่ะ พี่จินเหมยบอกข้าว่าหากจะเข้าเมืองต้องมานั่งเกวียนเทียมวัวของลุงไฉ่ ค่าเดินทางเท่าไรเจ้าคะ” นางยิ้มแย้มตอบ ลี่อิงเร่งสาวเท้าให้ทันเปาเปาน้อยที่วิ่งไปเรียกความเอ็นดูจากป้าๆ บนเกวียนนั้นเสียแล้ว
“ขึ้นมาๆ ค่อยจ่ายตอนลง ผู้ใหญ่สองอีแปะ ถ้าเด็กนั่งตักไม่คิดเงิน”
“ข้าขอจ่ายก่อนขึ้นแล้วกันเจ้าค่ะ ข้ามีเด็กเล็กมาด้วย จะได้ตัดปัญหาตอนลง” นางหยิบเงินจ่ายไปสองอีแปะ จากนั้นก็ไปอุ้มเปาเปาขึ้นเกวียนมานั่งบนตักตน
“น้องชายเจ้าน่ารักยิ่งนัก ตัวเท่านี้ช่างพูดเสียจริง” คุณป้าท่านหนึ่งกล่าวชมออกมา นางทำเพียงยิ้มรับตอบถามตอบตามมารยาท รอไม่นานเกวียนนี้ก็เริ่มออกเดินทาง
เวลาเพียงสองเค่อเทียมวัวนี้ก็พานางมาถึงเมืองเจียวจู่ นางไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เมืองแห่งนี้แม้จะไม่ใหญ่นักแต่ความคึกคักไม่ต่างอะไรกับเมืองหลวงในความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิมเลยทีเดียว เรื่องหาเงินคงไม่ต้องห่วงแล้ว เมืองครึกครื้นเช่นนี้แปลว่าเงินหมุนเวียนต้องมากตาม
ลุงไฉ่จอดเกวียนไว้และบอกให้นางกลับมาขึ้นที่จุดเดิมเพื่อกลับเข้าหมู่บ้าน กลุ่มป้าๆ ที่มาพร้อมกันจะชวนนางให้ไปด้วยกัน แต่นางปฏิเสธอ้างว่าเพราะมากับเปาเปากลัวจะทำให้ทุกคนทำธุระล่าช้า ในขณะที่นางกำลังจูงเปาเปาออกมา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้นางต้องตั้งใจฟัง
“นั่นน้องชายจริงหรือ ที่อ้างว่าจำตนเองไม่ได้ ความจริงนางอาจจะท้องแล้วไม่มีคนรับจึงโดนที่บ้านตัดขาด ต้องหนีมาก็ได้”
เอ้า!? อีป้านี่ สาระแนละ
“พูดว่าอะไรนะ?!” นางหันขวับกลับไปทันทีที่นางพูดจบ
“ตายแล้ว!! เจ้าได้ยินด้วยหรือนี่” หนึ่งในกลุ่มป้าๆ เอ่ยออกมาอย่างตกใจ
“ได้ยินสิ ข้าไม่ได้หูหนวก”
“ข้าแค่สงสัย สงสัยไม่ได้หรือ พ่อสามีข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน สิ่งใดเกิดขึ้นในหมู่บ้านข้าย่อมต้องช่วยตรวจสอบ”
นิสัยแบบนี้นี่มัน แม่ไอ้ฉินเปาแน่ๆ
“อ๋อ แม่ของหยางฉินเปาสินะ ตัวข้านี้เกรงว่าจะออกจากบ้านไม่ดูฤกษ์ยามอีกเสียแล้ว เห้อ” นางส่ายหน้าเอือมระอา มีมารดาเช่นนี้ ก็ย่อมมีบุตรเช่นเดียวกัน เสิ่นลี่อิงเตรียมจะด่าต่อ แต่ไม่ทันคำพูดของเปาหลงน้อยที่แทรกมาเสียก่อน
“ท่านแม่อยู่บนฟ้า พี่สาวไม่ใช่ท่านแม่” เปาเปาไม่พูดเปล่าน้ำตาของเด็กน้อยดังว่าสั่งได้ หยาดน้ำใสไหลพรากๆ เรียกสายตาคนทั้งตลาดให้หันมอง เห็นทีลี่อิงคงไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่นก็จัดการกับคนตรงหน้าได้แล้ว
“คำพูดคำจาใจดำจริงๆ”
“ตายแล้ว ทำเด็กร้องได้อย่างไร”
“ใจร้าย”
เสียงชาวบ้านในตลาดก่นด่าแม่ของฉินเปาจนท่านป้าอีกสองคนในกลุ่มถึงกับหน้าเสีย ต้องขยับตัวเข้ามาหานางเพื่อขอโทษ “พวกข้าขอโทษแทนผู่จานด้วย บางครั้งนางก็เป็นเช่นนี้อย่าถือสาเลย” แต่แม่ของฉินเปาก็ยังยืนเชิดหน้าไม่สนสิ่งใด
“ป้าไม่ได้เป็นคนว่าข้า ไม่จำเป็นต้องขอโทษแทน ข้าย่อมแยกแยะได้” นางไม่ถือสาป้าทั้งสองเลยจริงๆ เพราะในคราแรกพวกนางก็ทักทายและคุยกับเปาหลงอย่างเป็นมิตร
“เจ้าก็ใจเย็นไว้ พวกข้าจะคุยกับนางเอง”
“ช่างเถิด ไม่จำเป็นต้องคุย ข้ามีธุระมากนัก ไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับนางเช่นนี้ ข้าคงต้องขอตัวก่อน” นางปลีกตัวออกมาและต้องอุ้มปลอบเปาเปาที่ใจเสียเรื่องแม่จนร้องไห้ไม่หยุดไปด้วย หากไม่ใช่ว่านางไม่ว่างมีเรื่อง อย่าหวังว่านางจะยอมง่ายเช่นนี้เลย
อย่าให้มันมากนักนะ พวกแม่ลูกมหาภัย หึ่ยยย!!
บทที่ 19 ผันตัวมาเปิดแผงอาหารท่ามกลางบรรยากาศที่ยังคงมืดมิดนั้น มีแสงตะเกียงส่องสว่างอยู่หน้าโรงเรือนเห็ดของเสิ่นลี่อิง นางลุกขึ้นมาตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อเพาะเห็ดหลินจินดำและเห็ดหลินจือแดงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เห็ดที่พรมน้ำกลิ่นจันทร์ไว้เริ่มเกิดเชื้อเห็ดปกคลุมแล้ว จึงต้องรีบนำมาเพาะเสียก่อน เห็ดอื่นที่นางเพาะไว้ก็เริ่มเติบโตแล้วเช่นกัน เห็นทีพรุ่งนี้นางคงได้นำเห็ดไปขายแลกเงินแล้วเมื่อจัดการกับหลินจือทั้งสามถังเรียบร้อยแล้ว นางก็นำขวดสเปรย์ในมิติมาฉีดพ่นน้ำเล็กน้อย จากนั้นก็ไปเตรียมตัวออกไปขายของในเมืองเสิ่นลี่อิงปลุกเปาเปาในยามเหม่าจับเด็กน้อยอาบน้ำแต่งตัวให้หอมฉุย เพื่อใช้ความน่ารักของเด็กน้อยมาเรียกลูกค้า “วันนี้ใครผ่านมาหน้าแผ
บทที่ 18 หาเงินสำรองไว้เมื่อกลับมาถึงบ้านไฉ่ตู้ก็นำรถเข็นมาส่งกับนางพอดีพร้อมๆ กันนั้นลุงไฉ่เองก็นำน้ำแกงบะหมี่ของวันมาส่งไว้ให้ด้วยเช่นกัน “แม่นางมาพอดี รถเข็นนี้บ้านป้าสู่ไม่ใช้แล้วขายให้เจ้าหนึ่งร้อยอีแปะ รถยังดีอยู่ ข้าว่าเหมาะสม”“ขอบใจมาก นำเข้าบ้านได้เลย ขอบคุณลุงไฉ่เช่นกันเจ้าค่ะน้ำแกงเดี๋ยวข้ายกเอง”เสิ่นลี่อิงตรวจสอบรถเข็นที่ได้มาก็พบว่ายังดีอยู่จริงๆ หากจะซื้อของใหม่จากในเมืองมีราคาสูงถึงห้าร้อยอีแปะ แม้จะมีเงินมากแต่ผู้ใดจะล่วงรู้อนาคต หากวันใดที่นางต้องพาเปาหลงหนีก็คงออกมาหาเงินไม่ได้อีก“เปาเปาเจ้าเข้าบ้านก่อน ถึงเวลาดื่มนมแล้ว” นางเรียกเปาหลงที่กำลังวิ่งเล่นบนผืนดิน
บทที่ 17 ใช้ชีวิตต่อไปเช้านี้เสิ่นลี่อิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากเย็น แม้หนิงอ๋องจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง แต่จากการที่เปาหลงยังนึกถึงและกล่าวถึงพ่อของตนเสมอ ก็ทำให้นางเป็นห่วงเขาไม่น้อยเช่นกัน และที่สำคัญคือความรู้สึกของเปาหลง หากรู้ว่าพ่อของตนมิรู้ว่าเป็นเช่นไรจะกังวลหรือไม่ ลี่อิงก็คิดห่วงไปมากมายนางลืมตามองเพดานอยู่นานจนเปาหลงต้องตื่นมาเขย่าให้นางลุกขึ้น เพราะหน้าบ้านไฉ่ตู้กำลังส่งเสียงเรียกนางอยู่ “พี่สาวมีคนมา”“แม่นางลี่อิง! ท่านอยู่หรือไม่ ข้ามาถอนหญ้าต่อ แม่นาง!”“พี่สาว ไฉ่ตู้มา ท่านลุกขึ้น”“ขอเวล
บทที่ 16 ท่านมีศัตรูมากไปหรือไม่“เสียนอ๋อง” หนึ่งในพระญาติของพระเอกและตัวร้ายที่รับบรรดาศักดิ์ต่อจากท่านปู่ของตน และก็นับว่าเป็นญาติผู้พี่ของนางด้วย ฝ่ายมารดาของเขาคือคนจากสกุลเสิ่น แต่จนถึงตอนล่าสุดที่ได้อ่าน นางก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ข้างใครระหว่าง ‘หนิงอ๋องหรือรัชทายาท’“ว่าที่พระชายาในหนิงอ๋อง แท้จริงแล้วก็ยังไม่ตาย แต่กลับมาอยู่ในที่ดินปกครองของข้าเสียได้ น่าประหลาดใจนัก”“คนนั้นยังไม่สลบ เขาได้ยินแล้วว่าข้ายังไม่ตาย” นางชี้ไปที่นักฆ่าคนหนึ่งที่เพียงแค่ตัวชากระตุกเพราะเครื่องช็อตไฟฟ้า และได้ยินญาติผู้พี่เฉลยตัวตนของเสิ่นลี่อิงออกมาจนหมดเปลือก เสียนอ๋องเห็นเช่นนั้นก็ให้สัญญาณกับองครักษ์ให้ฆ่าทิ้งเสีย แม้เสิ่นลี่อิงจะปวดใจเพราะงานของนางคือการช่วยคน แต่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างชีวิตนางหรือชีวิตศัตรู นางย่อมเลือกตนเอง“คนที่นำดาบชี้ข้า มาใหม่หรือ” เสียนอ๋องพยักหน้า อ๋องหนุ่มสะบัดมือให้เหล่าองครักษ์หลบออกไปก่อน “จะเอาผิดหรือไม่”“ไม่ล่ะ เสียเวลา ท่านมาที่นี่ทำไม”“นี่มันเขตการปกครองของข้า เจ้าต่างหากยังไม่ตายเหตุใดจึงไม่กลับไป”“ถูกตามล่าเช่นนี้ หากกลับไปข้าย่อมลำ
บทที่ 15 อันตรายในป่า เสิ่นลี่อิงร้องบอกให้ไฉ่หม่ากลับไปทำงาน ไม่ได้สนใจจะพูดคุยกับฉินเปาแม้เพียงครึ่งคำ “แม่นางมาพอดี น้ำเดือดมาได้สักพักแล้ว” ไฉ่ตู้ที่กำลังเปิดฝาดูไม่ให้น้ำแห้งเอ่ยออกมา“ข้าจัดการต่อเอง ขอบคุณมาก” เสิ่นลี่อิงเติมน้ำเล็กน้อยและใส่ขี้เลื่อยที่ได้มาลงไปด้วย นางต้องปล่อยให้น้ำต้มนี้เดือดไปอย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม เวลาระหว่างนั้นนางจึงทำถู่โต้วทอด กินคู่กับเนื้อหมูสันคอย่างชิ้นโต ราดซอสงาขาว เคียงด้วยยำแตงกว่ารสเผ็ดเล็กน้อย แต่สำหรับเปาเปาเขาได้ทานแครอทหั่นแท่งแทน เจ้าของบ้านอย่างลี่อิงแบ่งอาหารให้กับสองพี่น้องไฉ่ด้วย ไฉ่ตู้ชื่นชมนางไม่ขาดปาก หลังกินเสร็จก็เร่งงานยิ่งกว่าเดิม ส่วนอีกคนก็กินแรงตามเคย ทั้งยังบ่นมาตามลมว่านางมีข้าวสารมากมาย แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ยอมถอน“ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องกิน!” ลี่อิงเองก็เหลืออดเหลือเกิน จึงพูดกระทบกระเทียบกลับไปบ้าง การกินข้าวของนางจึงได้เงียบสงบลงมาเสียที กินเสร็จเสิ่นลี่อิงก็ดับไฟและปิดฝาไว้ “รอให้เย็นก่อนนะ” ระหว่างนั้นก็ให้เปาเปาเอากิ่งไม้มาฝึกเขียนอักษรบนพื้นดิน พร้อมนางที่นั่งทำเสี่ยวหลงเปาอยู่ข้างกัน ลุงไฉ่
บทที่ 14 งานการมากมาย เสิ่นลี่อิงนำดินที่นางขุดออกมาจากมิติ และให้เปาเปานำขี้ทาเกลือคล้ายทรายมาผสมกับดินที่นางขุดมา เมื่อผสมเสร็จแล้วลี่อิงจึงนำถังไม้ขนาดกำลังดีออกมาสองถัง ถังหนึ่งนางใช้ตะปูตอกให้เป็นรูเล็กๆ เพียงสองรู และนำผ้าขาวบางรองไว้ที่ก้นถัง ก่อนจะสั่งให้เด็กน้อยนำดินที่คลุกผสมทั้งสองส่วนเรียบร้อยแล้วมาตักลงใส่ถังที่มีผ้าขาวบางรองไว้อยู่ “ครานี้เจ้าใช้มือกดลงไปให้แน่นๆด้วยแล้วค่อยเติมลงไปเพิ่ม หากไม่แน่นน้ำจะไหลผ่านเร็วและได้เกลือน้อย”“ขอรับ” เด็กน้อยรับคำสั่งและใช้มือของตนตบดินลงไปจนแน่น เสิ่นลี่อิงเห็นว่าเด็กน้อยทำสุดแรงของตนแล้ว นางจึงใช้มือของตนในการกดลงบ้าง เมื่อนางเห็นว่าแน่นดีแล้วก็พยักหน้าให้เปาเปาตักดินใส่ชั้นต่อไปได้ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนเต็มถังไม้ เสิ่นลี่อิงวางถังไม้ที่มีดินอยู่ไว้ด้านบนและถังไม้ที่ไม่มีสิ่งใดไว้ด้านล่างนางตักน้ำใส่ถังที่มีดินลงไป ก่อนจะยกขึ้นดูเล็กน้อยว่ามีน้ำหยดออกมาหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามีน้ำหยดแล้ว นางจึงรอให้น้ำด้านบนซึมลงไปก่อนจากนั้นค่อยตักน้ำใส่เพิ่มทีละน้อยทีละน้อย “เหลือเพียงแต่รอแล้ว หากน้ำไหลออกมาเต็มถังนี้ และเค็มเพียงพ







