LOGINหลังจากเดินออกมาได้ไม่นานเปาหลงก็ปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วกลับมายิ้มร่าให้นางดังเดิมเสมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ห๊ะ!…แสดงหรือนั่น
“เปาเปาไม่เสียใจแล้วหรือ” ลี่อิงอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกไป อารมณ์เปลี่ยนง่ายดายเช่นนี้ทำให้นางตกใจอยู่ไม่น้อย
“ไม่ขอรับ”
“ดีแล้วเช่นนั้นไปช่วยข้าเลือกของเข้าบ้านเถิด”
สรุปว่าคงเป็นการแสดงจริงๆ
บางครั้งเสิ่นลี่อิงก็ลืมไปเช่นกันว่าเด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะ สามารถเป็นคู่ปรับที่สร้างความปั่นป่วนให้กับหนิงอ๋องได้อย่างเจ็บแสบ จนกระทั่งเสียรู้เพราะเล่ห์เหลี่ยมจากประสบการณ์มีไม่เท่าพ่อ
.
.
.
“หลงจู๊ มีฟูกขายหรือไม่ ข้าพึ่งย้ายมา ที่บ้านมีแต่เครื่องเรือนพื้นฐาน ยังขาดหลายสิ่งนัก” เสิ่นลี่อิงส่งรอยยิ้มกระจ่างแจ้งออกไปให้ชายในร้านที่ยิ้มหน้าบานเมื่อได้ยินว่าบ้านของนางยังขาดของหลายสิ่ง แม้นางจะนำชุดของบ่าวมาสวมใส่ หากแต่สะอาดสะอ้านเนื้อผ้าคุณภาพดีย่อมสะท้อนให้ผู้คนคิดว่านางมีเงิน
“เชิญ เชิญ แม่นางมาเลือกซื้อให้ตนเองหรือซื้อให้เด็กน้อยผู้นี้ด้วยขอรับ”
“ซื้อให้เปาเปาด้วย” เปาเปาที่ได้รับคำสั่งว่าให้ช่วยนางเลือกซื้อหาสิ่งของเข้าบ้านตอบออกมาอย่างแข็งขัน
“แม่นางสั่งสอนได้ดี ฉะฉาน ฉะฉาน”
“ขอบคุณหลงจู๊ ฟูกสองหลัง สามารถไปส่งที่บ้านได้หรือไม่” หากไม่ได้เสิ่นลี่อิงก็คิดแล้วว่านางจะไปจ้างเกวียนที่หน้าตลาดด้วยตัวเอง
“หากซื้อของครบห้าตำลึงเงิน สามารถให้ทางร้านไปส่งให้ได้ แต่ฟูกสองหลังมีราคาสามตำลึงเงินเท่านั้น แม่นางต้องการอย่างอื่นหรือไม่”
“เปาเปาอยากได้อะไรหรือไม่”
“ม่าน” เด็กน้อยชี้ไปยังม่านฉากกั้นห้องอันหนึ่ง
“ได้ ฉากกั้นนั้นเท่าไรหรือ”
“แปดร้อยอีแปะ หากนำไปสองชุดข้าลดให้หนึ่งร้อยอีแปะ”
“สองเลยก็ได้ไม่มีปัญหา คันฉ่องอันนั้นเล่ากี่ตำลึง”
“นั่นราคาสูงสักหน่อยสองตำลึงทองขอรับ”
เสิ่นลี่อิงคำนวณเงินในใจตอนนี้ทั้งหมดราคาสี่ตำลึงเงิน ห้าร้อยอีแปะ อีกเพียงห้าร้อยอีแปะทางร้านก็จะไปส่งโดยไม่คิดเงิน แต่คันฉ่องนั้นนางก็อยากได้เก็บไว้เหลือเกินอันใหญ่ส่องได้ทั้งตัว และในบ้านก็ยังไม่มีคันฉ่อง
“หากข้ารับคันฉ่องด้วยนอกจากนำไปส่งแล้วหากข้าฝากนำของอื่นๆ ขึ้นเกวียนไปส่งด้วยได้ข้ารับทันที”
“เรื่องเพียงเท่านี้สำหรับลูกค้าชั้นดีย่อมทำให้ได้ แม่นางแจ้งเวลาที่จะให้ขนไปให้ได้เลย”
“ยามเว่ยแล้วกัน ไปส่งที่บ้านท้ายหมู่บ้านหยาง เดี๋ยวข้าทยอยให้พ่อค้าแม่ค้านำของมาส่ง จะให้บอกว่าของลี่อิง สองตำลึงทอง สี่ตำลึงเงิน ห้าร้อยอีแปะ เจ้านับดูว่าครบถ้วนหรือไม่”
เสิ่นลี่อิงจับจูงเปาหลงน้อยออกมาจากร้านเครื่องเรือนเพื่อไปร้านของแห้งต่อทันที
“ข้าเอาข้าวสารสิบจิน เกลือหนึ่งจิน น้ำตาลสองจิน มีแป้งหรือไม่”
“มีแป้งเสี่ยวไม่จินละหกสิบ แป้งยวี่หมี่ สามสิบ แป้งนั่วหมี่และแป้งไป่หมี่จินละห้าสิบ”
“เอาด้วยอย่างละสองจิน”
“ข้าวสารจินละสี่สิบอีแปะ เป็นสี่ร้อย เกลือสองร้อยอีแปะ น้ำตาลจินละแปดสิบ แป้งอีกสามร้อยแปดสิบ ทั้งหมด…”
“หนึ่งตำลึงเงิน กับหนึ่งร้อยสี่สิบอีแปะ” เปาเปาชูนิ้วป้อมๆ ขึ้นมาให้คำตอบกับแม่ค้าร้านของแห้ง เรียกให้ทุกคนหันมามองเด็กน้อยที่คิดเลขโดยไม่พึ่งพาลูกคิด
แม่ค้าแผงของแห้งเคาะลูกคิดได้คำตอบแล้วก็ชื่นชมออกมา “ถูกต้องๆ กระเทียมกับหอมแดงนี้ ข้าแถมให้ไปด้วย ฉลาดจริงๆ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พอมีคนขนไปส่งที่ร้านเครื่องเรือนตรงหัวมุมซ้ายได้หรือไม่ ตัวข้ากับเด็กเล็กคงจะหอบหิ้วกันไม่ไหว”
แม่ค้าร้านของแห้งยินดีนำไปส่งให้นาง และจะให้ลูกชายเป็นผู้ขนไปส่งให้ หลังจัดของเสร็จ ลี่อิงจึงเดินออกมาซื้อของร้านอื่นต่อไป นางเดินมาจนถึงร้านอาภรณ์ก็คิดว่าควรซื้อหาให้เปาหลงเพิ่มสักหน่อยจึงได้หยิบติดไม้ติดมือมาด้วยสองชุด พร้อมรองเท้าอีกคนละสองคู่ รวมเป็นสามตำลึงเงิน
ระหว่างจ่ายเงินเสิ่นลี่อิงลอบสังเกตสินค้าประทินผิวก็พบว่ามีน้อยนัก ทั้งยังมีราคาแพงลิ่ว ส่วนอาภรณ์และรองเท้า นางเทียบเคียงจากความทรงจำคุณหนูเสิ่นคนเก่าก็รู้สึกว่าพอรับได้ ไม่แพงไม่ถูก ส่วนราคาของอื่นๆ คุณหนูเสิ่นไม่รู้เลย
รู้แต่ราคาเสื้อผ้า เครื่องประดับ คุณหนูของแท้
แม้จะบอกว่าร้านอาภรณ์และเครื่องประทินผิวมีของน้อยแล้ว ร้านเครื่องปรุงก็มีของให้เลือกน้อยยิ่งกว่า นางจึงซื้อน้ำมันงา น้ำส้มสายชู ซีอิ๊ว และเครื่องเทศบางอย่างมาในราคาแปดร้อยอีแปะ และให้ไปส่งที่ร้านเครื่องเรือนเช่นเดิม
“พี่สาว เนื้อๆ” เปาหลงที่เห็นร้านขายเนื้อสัตว์ก็ชี้มือให้นางเข้าไปซื้อทันที
“ได้เลย เจ้าชอบไก่หรือหมู”
“ชอบทั้งหมด”
เสิ่นลี่อิงซื้อเนื้อหมูมาสามจินในราคาหนึ่งร้อยยี่สิบอีแปะ และเนื้อไก่อีกสามจินแปดสิบอีแปะ ส่วนไข่ไก่นางมิได้ซื้อมาเพราะบ้านของจินเหมยเลี้ยงไก่ขายไข่ด้วย ซื้อหากับนางย่อมเหมาะสมกว่า และวันนี้นางซื้อเนื้อไปเยอะเช่นนี้ ก็เพื่อชวนนางมากินฉลองเล็กๆ ต้อนรับชีวิตใหม่ร่วมกัน
“เปาเปาเจ้าช่วยข้าคิดที เราสองคนจะค้าขายสิ่งใดในเมืองแห่งนี้ดี”
“ขายนมได้หรือไม่ อร่อย”
“ข้าทำมาขายไม่ได้น่ะสิ มีน้อยอยู่”
“มีน้อยไม่ขาย เปาเปากิน”
“ไม่ขาย ไม่ขาย”
เครื่องปรุงก็ใช้เวลาหมักนานเกินไป กว่าจะได้ขาย เหล้าก็เหมือนกัน
“หรือข้ากลับไปลองทำอาหารให้เจ้ากินดีหรือไม่ หากอร่อยค่อยเอามาขาย”
เปาหลงพยักหน้ารัว ไม่นานนักก็ล่วงเลยเข้ายามอู่ เสิ่นลี่อิงจึงพาเปาหลงมานั่งทานอาหารที่ร้านบะหมี่ นางอยากศึกษารสชาติของคนที่นี่ว่ากินกันอย่างไร รักอยากจะขายอาหารย่อมต้องทำรสให้ถูกลิ้นคน
“เถ้าแก่ ขอบะหมี่หมูสองถ้วย”
“ได้เลยๆ บะหมี่หมูร้อนๆ น้ำซุปเคี่ยวอย่างดี”
บะหมี่ต้นตำรับโบราณแท้ๆ หากินที่ไหนไม่ได้แล้ว เพราะคนทำตายหมด
บะหมี่สองชามที่มีควันหอมกรุ่นลองขึ้นมาแตะจมูกวางอยู่บนโต๊ะเล็กของร้านข้างทาง เสิ่นลี่อิงพิจารณาองค์ประกอบในชามที่มีความเรียบง่ายอยู่ เส้น ผัก และเนื้อหมูสับ กับลูกชิ้นสองลูก เมื่อซดน้ำไปคำแรก นางสัมผัสได้ถึงความหวานจากการเคี่ยวน้ำแกงได้นานจนดึงความกลมกล่อมออกมาจากไขกระดูกได้มากมายนัก
“เถ้าแก่ บะหมี่นี่น้ำแกงอร่อยจริงๆ หากมีเสี่ยวหลงเปามาขายเพิ่มท่านคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า”
“แม่นางน้อย เสี่ยวหลงเปาที่ว่านี่มันคือสิ่งใดกัน”
“อ้อ จะว่าอย่างไรดี มันคือแผ่นแป้งคล้ายซาลาเปาที่ห่อน้ำแกงไว้ น้ำแกงร้านท่านคือตัวชู หากนำมาขายเป็นจุดเด่นย่อมได้เงิน”
“เลวไหลน้ำเหลวๆ จะเอามาใส่แป้งห่อได้อย่างไร ฮ่าๆ แต่ก็ขอบใจที่ชอบน้ำแกงบะหมี่ของข้า”
“ทำได้จริงๆ ท่านเพียงแค่ต้องแยกน้ำแกงหนึ่งส่วนมาต้มใส่หนังหมูครึ่งส่วน เคี่ยวจนน้ำลดลงเหลือสองในสามส่วน แล้วท่านก็มากรองหนังหมูออกให้เหลือเพียงน้ำแกงทิ้งไว้หนึ่งคืน น้ำแกงของท่านจะแปรเป็นเนื้อวุ้น สามารถตักใส่แผ่นแป้งได้แล้ว”
“ทำได้จริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเชื่อข้าก็ได้ นำไปลองดูก่อน นอกจากวุ้นน้ำแกงท่านก็ใส่หมูลงไปด้วยเล็กน้อย ห่อแล้วน้ำมานึ่ง เท่านี้วุ้นก็จะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นน้ำแกงอยู่ภายในเสี่ยวหลงเปาของท่านแล้ว”
“เหตุใดเจ้าไม่ทำขายเองเล่าหากทำได้จริง”
“หากข้าทำเองทั้งหมดจะเป็นงานใหญ่เกินไป แต่ท่านขายบะหมี่อยู่แล้ว เพียงแค่เพิ่มขั้นตอนไม่กี่อย่างเท่านั้น”
“งั้นหากข้าขายน้ำแกงให้เจ้าเล่า ทำได้ก็นำกลับมาส่งให้ข้าขาย ไม่คิดค่าฝาก”
“วันนี้ขอเพียงเล็กน้อยไปลองทำมาให้ชิมก่อนได้หรือไม่ ยังไม่ซื้อ”
“วันนี้ไม่ขายอยู่แล้ว น้ำแกงข้ามีไม่พอขายให้เจ้า เอาไปสองถ้วยพอ ข้าหาอะไรมาใส่ให้เจ้าก่อน พรุ่งนี้อย่าลืมนำมาให้ชิมเล่า ค่าบะหมี่ไม่คิดเงิน ถือเป็นของขวัญวันพบหน้า”
“ขอบคุณเถ้าแก่”
นางบอกเปาหลงให้รีบกินให้เสร็จ และรับน้ำแกงที่ถูกเทใส่หม้อขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ผูกเชือกเป็นหูหิ้วติดตัวมาและเดินกลับไปซื้อหนังหมูครึ่งจินเพื่อมาทำเสี่ยวหลงเปา ส่วนซึ้งนึ่งเหมือนนางจะเห็นว่ามีอยู่แล้ว
“พี่สาว ขายเสี่ยวหลง..เปา หรือ”
“ใช่แล้ว หากทำสำเร็จก็ดูเหมือนว่าเราจะมีวิธีหาเงินกันแล้ว”
“ดียิ่ง มีเงินคือเก่ง”
“ฮ่าๆ ถูกต้องๆ มีเงินคือเก่ง” เสิ่นลี่อิงหัวเราะร่วนดูเหมือนจากอัจฉริยะนักวางแผนชิงอำนาจทางการเมืองจะเบนเข็มมาเป็นนักหาเงินเสียแล้ว
_______
ยามเว่ย หมายถึงเวลา 13:00 - 14:59 น.
เสี่ยวไม่ หมายถึงสาลี
แป้งยวี่หมี่ หมายถึงข้าวโพด
นั่วหมี่ หมายถึงข้าวเหนียว
ไป่หมี่ หมายถึงข้าวขาว
บทที่ 19 ผันตัวมาเปิดแผงอาหารท่ามกลางบรรยากาศที่ยังคงมืดมิดนั้น มีแสงตะเกียงส่องสว่างอยู่หน้าโรงเรือนเห็ดของเสิ่นลี่อิง นางลุกขึ้นมาตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อเพาะเห็ดหลินจินดำและเห็ดหลินจือแดงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เห็ดที่พรมน้ำกลิ่นจันทร์ไว้เริ่มเกิดเชื้อเห็ดปกคลุมแล้ว จึงต้องรีบนำมาเพาะเสียก่อน เห็ดอื่นที่นางเพาะไว้ก็เริ่มเติบโตแล้วเช่นกัน เห็นทีพรุ่งนี้นางคงได้นำเห็ดไปขายแลกเงินแล้วเมื่อจัดการกับหลินจือทั้งสามถังเรียบร้อยแล้ว นางก็นำขวดสเปรย์ในมิติมาฉีดพ่นน้ำเล็กน้อย จากนั้นก็ไปเตรียมตัวออกไปขายของในเมืองเสิ่นลี่อิงปลุกเปาเปาในยามเหม่าจับเด็กน้อยอาบน้ำแต่งตัวให้หอมฉุย เพื่อใช้ความน่ารักของเด็กน้อยมาเรียกลูกค้า “วันนี้ใครผ่านมาหน้าแผ
บทที่ 18 หาเงินสำรองไว้เมื่อกลับมาถึงบ้านไฉ่ตู้ก็นำรถเข็นมาส่งกับนางพอดีพร้อมๆ กันนั้นลุงไฉ่เองก็นำน้ำแกงบะหมี่ของวันมาส่งไว้ให้ด้วยเช่นกัน “แม่นางมาพอดี รถเข็นนี้บ้านป้าสู่ไม่ใช้แล้วขายให้เจ้าหนึ่งร้อยอีแปะ รถยังดีอยู่ ข้าว่าเหมาะสม”“ขอบใจมาก นำเข้าบ้านได้เลย ขอบคุณลุงไฉ่เช่นกันเจ้าค่ะน้ำแกงเดี๋ยวข้ายกเอง”เสิ่นลี่อิงตรวจสอบรถเข็นที่ได้มาก็พบว่ายังดีอยู่จริงๆ หากจะซื้อของใหม่จากในเมืองมีราคาสูงถึงห้าร้อยอีแปะ แม้จะมีเงินมากแต่ผู้ใดจะล่วงรู้อนาคต หากวันใดที่นางต้องพาเปาหลงหนีก็คงออกมาหาเงินไม่ได้อีก“เปาเปาเจ้าเข้าบ้านก่อน ถึงเวลาดื่มนมแล้ว” นางเรียกเปาหลงที่กำลังวิ่งเล่นบนผืนดิน
บทที่ 17 ใช้ชีวิตต่อไปเช้านี้เสิ่นลี่อิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากเย็น แม้หนิงอ๋องจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง แต่จากการที่เปาหลงยังนึกถึงและกล่าวถึงพ่อของตนเสมอ ก็ทำให้นางเป็นห่วงเขาไม่น้อยเช่นกัน และที่สำคัญคือความรู้สึกของเปาหลง หากรู้ว่าพ่อของตนมิรู้ว่าเป็นเช่นไรจะกังวลหรือไม่ ลี่อิงก็คิดห่วงไปมากมายนางลืมตามองเพดานอยู่นานจนเปาหลงต้องตื่นมาเขย่าให้นางลุกขึ้น เพราะหน้าบ้านไฉ่ตู้กำลังส่งเสียงเรียกนางอยู่ “พี่สาวมีคนมา”“แม่นางลี่อิง! ท่านอยู่หรือไม่ ข้ามาถอนหญ้าต่อ แม่นาง!”“พี่สาว ไฉ่ตู้มา ท่านลุกขึ้น”“ขอเวล
บทที่ 16 ท่านมีศัตรูมากไปหรือไม่“เสียนอ๋อง” หนึ่งในพระญาติของพระเอกและตัวร้ายที่รับบรรดาศักดิ์ต่อจากท่านปู่ของตน และก็นับว่าเป็นญาติผู้พี่ของนางด้วย ฝ่ายมารดาของเขาคือคนจากสกุลเสิ่น แต่จนถึงตอนล่าสุดที่ได้อ่าน นางก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ข้างใครระหว่าง ‘หนิงอ๋องหรือรัชทายาท’“ว่าที่พระชายาในหนิงอ๋อง แท้จริงแล้วก็ยังไม่ตาย แต่กลับมาอยู่ในที่ดินปกครองของข้าเสียได้ น่าประหลาดใจนัก”“คนนั้นยังไม่สลบ เขาได้ยินแล้วว่าข้ายังไม่ตาย” นางชี้ไปที่นักฆ่าคนหนึ่งที่เพียงแค่ตัวชากระตุกเพราะเครื่องช็อตไฟฟ้า และได้ยินญาติผู้พี่เฉลยตัวตนของเสิ่นลี่อิงออกมาจนหมดเปลือก เสียนอ๋องเห็นเช่นนั้นก็ให้สัญญาณกับองครักษ์ให้ฆ่าทิ้งเสีย แม้เสิ่นลี่อิงจะปวดใจเพราะงานของนางคือการช่วยคน แต่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างชีวิตนางหรือชีวิตศัตรู นางย่อมเลือกตนเอง“คนที่นำดาบชี้ข้า มาใหม่หรือ” เสียนอ๋องพยักหน้า อ๋องหนุ่มสะบัดมือให้เหล่าองครักษ์หลบออกไปก่อน “จะเอาผิดหรือไม่”“ไม่ล่ะ เสียเวลา ท่านมาที่นี่ทำไม”“นี่มันเขตการปกครองของข้า เจ้าต่างหากยังไม่ตายเหตุใดจึงไม่กลับไป”“ถูกตามล่าเช่นนี้ หากกลับไปข้าย่อมลำ
บทที่ 15 อันตรายในป่า เสิ่นลี่อิงร้องบอกให้ไฉ่หม่ากลับไปทำงาน ไม่ได้สนใจจะพูดคุยกับฉินเปาแม้เพียงครึ่งคำ “แม่นางมาพอดี น้ำเดือดมาได้สักพักแล้ว” ไฉ่ตู้ที่กำลังเปิดฝาดูไม่ให้น้ำแห้งเอ่ยออกมา“ข้าจัดการต่อเอง ขอบคุณมาก” เสิ่นลี่อิงเติมน้ำเล็กน้อยและใส่ขี้เลื่อยที่ได้มาลงไปด้วย นางต้องปล่อยให้น้ำต้มนี้เดือดไปอย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม เวลาระหว่างนั้นนางจึงทำถู่โต้วทอด กินคู่กับเนื้อหมูสันคอย่างชิ้นโต ราดซอสงาขาว เคียงด้วยยำแตงกว่ารสเผ็ดเล็กน้อย แต่สำหรับเปาเปาเขาได้ทานแครอทหั่นแท่งแทน เจ้าของบ้านอย่างลี่อิงแบ่งอาหารให้กับสองพี่น้องไฉ่ด้วย ไฉ่ตู้ชื่นชมนางไม่ขาดปาก หลังกินเสร็จก็เร่งงานยิ่งกว่าเดิม ส่วนอีกคนก็กินแรงตามเคย ทั้งยังบ่นมาตามลมว่านางมีข้าวสารมากมาย แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ยอมถอน“ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องกิน!” ลี่อิงเองก็เหลืออดเหลือเกิน จึงพูดกระทบกระเทียบกลับไปบ้าง การกินข้าวของนางจึงได้เงียบสงบลงมาเสียที กินเสร็จเสิ่นลี่อิงก็ดับไฟและปิดฝาไว้ “รอให้เย็นก่อนนะ” ระหว่างนั้นก็ให้เปาเปาเอากิ่งไม้มาฝึกเขียนอักษรบนพื้นดิน พร้อมนางที่นั่งทำเสี่ยวหลงเปาอยู่ข้างกัน ลุงไฉ่
บทที่ 14 งานการมากมาย เสิ่นลี่อิงนำดินที่นางขุดออกมาจากมิติ และให้เปาเปานำขี้ทาเกลือคล้ายทรายมาผสมกับดินที่นางขุดมา เมื่อผสมเสร็จแล้วลี่อิงจึงนำถังไม้ขนาดกำลังดีออกมาสองถัง ถังหนึ่งนางใช้ตะปูตอกให้เป็นรูเล็กๆ เพียงสองรู และนำผ้าขาวบางรองไว้ที่ก้นถัง ก่อนจะสั่งให้เด็กน้อยนำดินที่คลุกผสมทั้งสองส่วนเรียบร้อยแล้วมาตักลงใส่ถังที่มีผ้าขาวบางรองไว้อยู่ “ครานี้เจ้าใช้มือกดลงไปให้แน่นๆด้วยแล้วค่อยเติมลงไปเพิ่ม หากไม่แน่นน้ำจะไหลผ่านเร็วและได้เกลือน้อย”“ขอรับ” เด็กน้อยรับคำสั่งและใช้มือของตนตบดินลงไปจนแน่น เสิ่นลี่อิงเห็นว่าเด็กน้อยทำสุดแรงของตนแล้ว นางจึงใช้มือของตนในการกดลงบ้าง เมื่อนางเห็นว่าแน่นดีแล้วก็พยักหน้าให้เปาเปาตักดินใส่ชั้นต่อไปได้ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนเต็มถังไม้ เสิ่นลี่อิงวางถังไม้ที่มีดินอยู่ไว้ด้านบนและถังไม้ที่ไม่มีสิ่งใดไว้ด้านล่างนางตักน้ำใส่ถังที่มีดินลงไป ก่อนจะยกขึ้นดูเล็กน้อยว่ามีน้ำหยดออกมาหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามีน้ำหยดแล้ว นางจึงรอให้น้ำด้านบนซึมลงไปก่อนจากนั้นค่อยตักน้ำใส่เพิ่มทีละน้อยทีละน้อย “เหลือเพียงแต่รอแล้ว หากน้ำไหลออกมาเต็มถังนี้ และเค็มเพียงพ







