Share

บทที่ 2 เวลาผ่านไป

last update Last Updated: 2025-11-03 17:37:18

อิงหลิวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยการปลุกของแม่นม นางถูกพาไปเช็ดตัวและป้อนอาหารเด็กเล็ก ในระหว่างที่นางรับอาหารเสร็จ เสียงของหญิงชราที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากหน้าประตูเรือนเล็ก

“ทำไมลูกใหญ่ถึงไม่ให้คุณหนูใหญ่ไปส่งที่หน้าจวนกัน ทำอย่างกับเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ลูก” ฮูหยินผู้เฒ่าโจว อดีตฮูหยินรองของอดีตนายใหญ่โจวคนก่อน บิดาของนายใหญ่โจวคนปัจจุบัน หรือก็คือ ปู่ของนาง ในชาตินี้ ดังขึ้นก่อนจะเดินก้าวเข้ามาในห้องที่นางอาศัยอยู่

“ท่านย่า” อิงหลิวเปิดปากทักผู้เป็นย่าของนางในชาตินี้ หากว่าใครดีกับนางที่สุดในบ้านตระกูลโจว ก็คือ ฮูหยินผู้เฒ่าตรงหน้านี้แหละ แม้ไม่ได้รักนางมากมาย แต่ก็สนิทสนมกับนางที่สุด อาจจะเป็นเพราะสงสาร หรืออะไรก็ตาม นางก็ไม่ได้สนใจ

“บิดาของเจ้ามีธุระที่ต่างแคว้น มารดาของเจ้าก็ต้องตามไปด้วย เจ้าไม่ต้องกังวลนะ ยังมีย่าอยู่ ทั้งอารอง และอาสาม ก็ยังอยู่ด้วย” หญิงชราอดไม่ได้ที่จะสงสารเด็กน้อยตรงหน้า นางรู้ดีสายตาที่ลูกใหญ่ของนางมองมาที่เด็กน้อยคนนี้ แทบไม่มีเศษเสี้ยวของความรักเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ศัตรูของนางในอดีต ฮูหยินเอกของสามีนาง เลี้ยงลูกอย่างไรกัน บุตรชายของนางผู้นั้นถึงได้ไม่สนใจใยดีสายเลือดของตัวเองเลย

“เจ้าค่ะ” อิงหลิวขานรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง ยังไงแล้วนางก็เป็นเด็กสองขวบ ยังไม่มีกำลังจะปกป้องตัวเอง คงทำได้แต่พึ่งพาญาติ ๆ คนอื่น อารอง กับอาสามก็เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า ถือได้ว่ามีอำนาจมากสุดรองจากบิดาของนาง

อิงหลิวใช้ชีวิตแต่ละวันในการเล่าเรียนศาสตร์จากอาจารย์ที่ถูกจ้างมาสอนโดยอาสะใภ้รองและอาสะใภ้สาม สลับกับอ่านหนังสือตำราเองในห้องสมุดของตระกูล อารองมีภรรยาถึงสี่คนรวมฮูหยินเอก ส่วนอาสามมีภรรยาสองคนรวมฮูหยินเอก ทำให้ภายในบ้านตระกูลโจว ที่นางอาศัยอยู่มีเด็กเล็กเกือบสิบคนเลยทีเดียว แน่นอนว่านาง โจวอิงหลิวอายุมากสุด คือ หกขวบ

ในตอนที่นางอายุสามขวบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้รับจดหมายว่าบิดาและมารดาของนางหายตัวไประหว่างรอยต่อของแคว้นที่อยู่เหนือสุด ในตอนนั้นท่านย่าของนางตัดสินใจรับนางมาอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่ เพราะไม่ต้องการให้บ่าวรับใช้มีโอกาสรังแกนาง สินเดิมของมารดารวมถึงสมบัติต่าง ๆ ของผู้เป็นบิดาของนางก็ถูกส่งมาเก็บในห้องเก็บของที่นางอาศัยอยู่ โดยมีท่านย่าดูแลไว้และไม่ต้องการให้ใครก็ตามมาหยิบของที่เป็นของหลานสาวตัวน้อย อิงหลิวรู้อย่างดีเพราะกฎเหล็กของตระกูลโจว คือ ความซื่อสัตย์ หากบุตรหลานคนใดทำผิด ย่อมถูกขับไล่ออกจากตระกูลทันที

อารองและอาสามค่อนข้างเอ็นดูนางเป็นพิเศษ เพราะก่อนที่พวกเขาจะมีบุตรเป็นของตนเอง พวกเขาก็แวะเวียนมาเล่นกับนางไม่เว้นแต่ละวัน แม้กระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ยังคงดูแลนางเช่นเดิม ยิ่งนางกำพร้า ไร้บิดามารดา พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้บ่าวรับใช้รังแกนาง มีก็แต่ บรรดาภรรยาของอารองและอาสาม ที่ไม่ค่อยจะชอบนางนัก แม้ไม่ได้รังแก แต่ก็ไม่ได้ดูแลเช่นกัน

บรรดาลูกพี่ลูกน้องของนางก็ไม่ได้มีท่าทีสนิทสนมกับนางแต่นางเห็นได้ชัดว่าเมื่อไรที่มีบ่าวรับใช้ในจวนที่ยกตนข่มนางหรือมีท่าทีกระด้างกระเดื่องใส่นาง พวกเขาก็ตรงมาจัดการให้นางทันที อาจเป็นเพราะศักดิ์ศรีของตระกูลโจว หรือเพราะสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวของนางเองที่พวกเขายังต้องให้ความสำคัญ

ตระกูลโจวเป็นตระกูลพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้น ทำการค้าขายระหว่างแคว้นเป็นหลัก รายได้ที่ไหลเข้ามาในตระกูลมีเยอะเสียจนต้องหาทางระบายออกไปโดยการบริจาคสร้างถนน สร้างโรงหมอ ตั้งโรงทาน หรือซ่อมแซมบำรุงวัดทั้งในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวง ตลอดจนบริจาคเงินทองเข้าคลังหลวง เพื่อช่วยราชวงศ์และสร้างฐานที่มั่นให้กับตระกูล แม้จะไม่ใช่ขุนนาง แต่ปากเสียงของคนในตระกูลโจวก็มีความสำคัญต่อการตัดสินใจของคนในราชวงศ์

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า อิงหลิวตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าตนจะออกไปใช้ชีวิตภายนอก ในแต่ละปีนางเตรียมความพร้อมนับไม่ถ้วน แผนการต่าง ๆ ถูกเตรียมไว้ นางรู้จุดยืนของตนในตระกูลเป็นอย่างดี แม้ว่าหลายครั้งที่นางไม่ใส่ใจต่อสายตาของคนบางพวก แต่นางก็รู้ดีว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ล้วนไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย

“แผ่นดินกว้างใหญ่ ย่อมมีที่ที่ข้าจะอยู่ได้อย่างสบายใจ ทั้งยังมีสมบัติที่อยู่ในจี้หยก ก็ล้วนเป็นของวิเศษ” อิงหลิวนึกดีใจอยู่ไม่น้อย ที่ครั้งนั้นมารดาของนางในชาตินี้ได้มอบสิ่งของเหล่านี้ไว้ให้ หากไม่มีสมบัติพวกนี้ ชีวิตนางคงต้องยุ่งยากกว่านี้เป็นแน่

เรือนที่อิงหลิวอาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นเรือนเก่าของฮูหยินผู้เฒ่า ท่านย่าของนางผู้ที่นางสนิทด้วยมากที่สุด ได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับอาสามที่ออกไปตั้งรกรากที่ต่างแคว้น ตระกูลโจวในตอนนี้ถือว่ามีสายหลักถึงสองสาย ตระกูลโจวสายหลักในแคว้นอ้ายที่นางอยู่ และตระกูลโจวสายหลักของอาสามที่แคว้นไป๋ ไม่รวมแคว้นเล็ก ๆ อีกสองสามแคว้นที่มีตระกูลโจวสายรองอยู่ซึ่งส่วนใหญ่ต่างเป็นบ่าวรับใช้ที่ได้รับแซ่

“สมบัติของท่านพ่อและสินเดิมของท่านแม่ที่ท่านย่าเคยดูแลให้ก็อยู่ครบ แผนการต่อไปก็เหลือเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น” อิงหลิวเผยยิ้มออกมาก่อนจะเดินออกจากห้องเก็บของ ที่เคยเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า แต่ยามนี้กลับว่างเปล่าหลงเหลือแต่เพียงร่องรอยเท่านั้นที่ชี้ชัดว่าเคยมีสิ่งของวางอยู่

“ตื่นเต้นจริง เพิ่งได้ลองใช้จี้หยกเป็นครั้งแรก” อิงหลิวที่เพิ่งได้ลองใช้จี้หยกเป็นครั้งแรกรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยหลังเห็นพื้นที่ว่างขนาดสี่คูณสี่ที่เต็มไปด้วยสมบัติวิเศษ อย่างม้วนผ้าที่นำมาทำเป็นชุดที่นางเคยสวมใส่ตอนเด็ก หรือเครื่องประดับที่มีความสามารถหลากหลาย

“ของพวกนี้เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับคนธรรมดาที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้ แต่สำหรับผู้ที่บ่มเพาะจนมีพลังสูงส่งอาจเป็นแค่ของไร้ราคา” อิงหลิวจำได้ในตอนที่อารองและอาสามพานางออกไปเดินเล่นข้างนอก นางเห็นผู้ฝึกตนที่สามารถใช้พลังสร้างความอบอุ่นให้กับตนเองอย่างง่ายดาย บางคนถึงขั้นใช้กระบี่เดินทางบนฟ้าหรือหายตัวไปต่อหน้าต่อตานาง

“อีกแค่เพียงสามวันเท่านั้น ข้าก็จะเป็นอิสระแล้ว” อิงหลิวหยิบจดหมายที่ท่านย่าตอบกลับนางขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

อิงหลิวหลานรัก ย่าย่อมหวังว่าเจ้าจะมีความสุข แต่หากว่าเจ้ารู้สึกว่าการที่ออกไปอยู่ตัวคนเดียวเจ้าจะมีความสุขมากกว่า ย่าจะไม่ห้ามเจ้า ขอเพียงเจ้าเขียนจดหมายหาย่าบ้าง ย่าก็พอใจแล้ว อารองและอาสามย่อมรักเจ้า เพราะเจ้าก็มีสายเลือดเหมือนกับพวกเขา หวังว่าจากนี้ไปเจ้าจะมีความสุขในที่ที่เป็นของเจ้า

                                                                                                                                  ด้วยรัก

                                                                                                                                 ย่าของเจ้า

ก่อนหน้าวันปักปิ่นสัญลักษณ์ของเด็กสาวที่พร้อมสู่วัยออกเรือน อิงหลิวตัดสินใจเข้าพบอารองและอาสะใภ้รองบอกเรื่องที่นางได้ตัดสินใจแน่วแน่ว่าตนจะออกไปใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว หลังที่อารองทราบเรื่องที่นางนำมาบอก สายตาที่มองมาทางนางก็ฉายแววความกังวลออกมาเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มเข้าใจ และแน่นอนว่าอาสะใภ้รองย่อมเห็นด้วยกับนาง

ในงานปักปิ่นของอิงหลิวอบอวลไปด้วยความอบอุ่นที่แท้จริง บรรดาลูกหลานของครอบครัวอารองต่างรับรู้ถึงการตัดสินใจของอดีตสายเลือดหลักตระกูลโจว โจวอิงหลิวยืนขอบคุณแขกมากหน้าหลายตาที่ทยอยนำของขวัญมาให้นางในตอนที่งานปักปิ่นสิ้นสุดลง อารองและอาสะใภ้ต่างแยกย้ายไปพูดคุยกับบรรดาสหายสนิท

ภายในเรือนที่นางอาศัยตั้งแต่เล็กยามนี้กลับเต็มไปด้วยลูกพี่ลูกน้องวัยไล่เลี่ยกับนาง อิงหลิวอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะนางจำได้ว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ท่าทีสนิทสนมกับนางเลย โจวอิงหลิวเดินเข้าไปนั่งในที่ประจำของนางพร้อมเผยยิ้มเล็กน้อย

“พวกเจ้ามาทำไมหรือ?” นางหันไปมองผู้ที่มีอายุมากที่สุด หากว่านางจำไม่ผิดเด็กสาวตรงหน้าก็เกือบจะครบสิบสามปีแล้วกระมั้ง

“พี่อิงหลิว ข้าพาน้อง ๆ มาส่งท่านเจ้าค่ะ และมีของขวัญมอบให้พี่ด้วย หวังว่าท่านจะมีความสุขกับเส้นทางที่ท่านเลือกนะเจ้าคะ” โจวเหมยฮวา บุตรสาวคนโตของครอบครัวอารอง ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่พูดเสร็จ ก็มอบของกล่องเครื่องประดับสีสวยให้นางพร้อมทั้งคำอวยพรอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มีกล่องเครื่องประดับและเงินอีกจำนวนไม่น้อยตามมาเรื่อย ๆ จนถึงผู้มอบของขวัญคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเด็กชายอายุแค่สี่ขวบเท่านั้น

“ขอบใจพวกเจ้ามากนัก พี่ก็มีของจะมอบให้พวกเจ้าเหมือนกัน ถึงว่าเป็นของขวัญที่พี่มอบให้ล่วงหน้า” โจวอิงหลิวพูดเสร็จก็เดินไปหยิบกล่องที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อมอบให้กับครอบครัวอารอง

“เป็นของที่มารดาของพี่เคยมอบไว้ เมื่อตอนที่พี่ยังเด็ก เป็นสมบัติวิเศษ พี่หวังว่าพวกเจ้าจะชอบมันนะ” นางพูดพร้อมมอบม้วนผ้าให้กลุ่มเด็กตรงหน้าคนละม้วน แต่ละคนที่ได้รับสมบัติวิเศษไปก็เผยสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็น แต่สมบัติวิเศษบางชนิดต่อให้มีเงินมากก็ใช่ว่าจะซื้อได้ และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มาครอบครองเป็นจำนวนมาก ม้วนผ้าหนึ่งม้วนตัดชุดได้มากกว่าสามชุดเลยนะ

เช้าวันใหม่มาเยือน โจวอิงหลิวมองสำรวจเรือนที่นางอาศัยอยู่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากนอกเรือน อารอง อาสะใภ้รอง พร้อมด้วยครอบครัวที่เหลือต่างพาเดินมาส่งนางที่หน้าบ้านตระกูลโจว นางกล่าวขอบคุณ อารองและอาสะใภ้รองอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวร่ำลาลูกพี่ลูกน้องที่เหลือ

“ขอบคุณอารองสำหรับทุกอย่างนะเจ้าคะ อาสะใภ้รองขอบคุณในความเมตตาของท่านด้วย ส่วนพวกเจ้าดูแลตัวเองดี ๆ หวังว่าเจอกันครั้งหน้า พวกเจ้าจะเติบโตขึ้นอย่างงดงาม ข้าลาล่ะ” โจวอิงหลิวมองภาพตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าที่อารองเตรียมไว้ให้

“ข้าเป็นผู้ชาย ไม่ได้อยากโตไปงดงามเสียหน่อย ต้องหล่อเหลาเหมือนท่านพ่อสิ” เสียงเด็กชายอายุสี่ขวบเอ่ยแย้งเสียงเบา

“เจ้านี่ พี่อิงหลิวแค่เปรียบเทียบเท่านั้น” เสียงของพี่สาวคนโตสุดอย่าง โจวเหมยฮวามองไปยังน้องชายของนางอย่างเอ็นดู

“แคว้นหนานไห่ อย่างมากสุดก็ใช้เวลาในการเดินทางเกือบสามเดือนสินะ” อิงหลิวมองแผนที่ในมือพร้อมทั้งคำนวณเวลาที่นางต้องใช้ในการเดินทาง

“ก่อนหน้านั้นต้องเปลี่ยนรถม้าระหว่างทางที่แคว้นชิงไห่เสียก่อน” ใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น จะได้เตรียมเสบียงเพิ่มด้วย อิงหลิวคิดในใจพลางจะมองภาพความวุ่นวายที่อยู่นอกรถม้า

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ระบบของผู้เกิดใหม่   บทที่ 53 ความในใจของโจวเจียลี่

    “ส่วนรากวิญญาณนั้น ข้าก็แค้นพวกท่านนะ แต่ข้าก็คิดได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าคิดได้คืออะไร?” หลังอิงหลิวพูดขึ้นมา สีหน้าของคนตรงหน้านั้นก็เผยถึงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน“สิ่งที่พวกท่านทำลงไปนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้ยาพิษหรืออาคมอะไรพวกนั้น แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความผิดของพวกท่าน ดังนั้นแล้วผลการกระทำที่จะตามกลับมานั้นก็เป็นพวกท่านที่รับผลนั้นไป และข้าเชื่อว่าความผิดที่พวกท่านกระทำนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้าแค่คนเดียวหรอกนะ แต่พวกท่านคงได้กระทำความผิดออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง เหล่าผู้ที่ถูกพวกท่านกระทำลงไปคงได้คิดหาวิธีสังหารพวกท่านไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่” สิ้นเสียงของอิงหลิว ทั้งโจวลู่เหอและหลี่เหมยอี้ที่อยู่ในร่างของหลี่เหมยหรงก็เผยสีหน้ายากจะคาดเดา“และแน่นอนว่าเรื่องต่อจากนี้ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ส่วนในตอนนี้ทั้งยาพิษที่อยู่ในตัวของหลี่เหมยหรง พิษเสน่หากล้ำกลืนที่เป็นยาพิษระดับ5 ท่านเอาโอสถถอนพิษไปกินก่อนเถอะ” อิงหลิวพูดจบก็เดินไปหยิบเอาโอสถถอนพิษที่อยู่บนชั้นวางให้กับหลี่เหมยอี้“ส่วนอาคมและพันธสัญญาที่อยู่ในตัวของพวกท่านนั้น คงต้องใช้เวลาสักพักในการทำลายสิ่งพวกนั้น” ห

  • ระบบของผู้เกิดใหม่   บทที่ 52 พบเจออีกครั้ง

    สถานที่ที่สามสาวตระกูลลี่บอกกับนางว่าเป็นที่ใช้กักขังโจวเจียลี่ คือ จวนขุนนางแซ่หลินแห่งแคว้นไป๋ หากข่าวลือที่อิงหลิวได้ยินมาไม่ผิด ขุนนางแซ่หลิน หรือแม่ทัพใหญ่หลินนั้น เป็นคนของดินแดนนภามาตั้งแต่ต้นและเป็นศิษย์สายนอกคนหนึ่งของสำนักปราบเซียนที่ได้รับมอบหมายให้มาสร้างรากฐานภายในแคว้นไป๋แม่ทัพใหญ่หลินมีบุตรชายบุตรสาวที่มีฝีมือไม่ธรรมดา และหนึ่งในนั้นก็มีตำแหน่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา คือ แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล หลินหยู ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นก็สามารถบ่มเพาะพลังจนถึงขั้นสร้างรากฐานตอนปลายแล้ว ซ้ำยังมีรากวิญญาณแท้ ธาตุไฟ อีกด้วยหลินฮุ่ยเจีย บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลขุนนางแซ่หลิน ก็มีพรสวรรค์ไม่แพ้บุตรคนอื่น ปัจจุบันมีอายุสิบเจ็ดปี ก็สามารถบ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นสร้างรากฐานขั้นต้น และยิ่งครอบครองรากวิญญาณเซียน ธาตุวาโยพิสุทธิ์ จึงเป็นยิ่งกว่าไข่มุกในมือของผู้เป็นบิดา“แล้วทำไมเจียลี่ ถึงได้ยอมถูกกักขังในจวนขุนนางแซ่หลินนี้กัน คงไม่ใช่ว่าเกิดไปหลงรักบุรุษบางคนเข้าหรอกนะ” อิงหลิวคิดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มหนักใจเล็กน้อย หากว่าเกิดไปหลงรักผู้อื่นจริง นางคงได้ใช้กำลังพากลับบ้านเป็นแน่--------------

  • ระบบของผู้เกิดใหม่   บทที่ 51 ความชั่วร้ายมันคืออะไร

    อิงหลิวขึ้นขี่หลังของเทียนคงตรงไปยังสถานที่กลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโจวนัก ในทันทีที่นางอยู่บนที่สูงนางก็มองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ด้านล่างบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน ในคราแรกที่นางอ่านรายละเอียดของภารกิจฉุกเฉินที่นางได้รับมาในตอนนั้น นางนึกถึงภาพเลวร้ายมากที่สุดทันที ไม่ว่าจะเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ทั้งอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นเกิดขึ้นก็ได้ แต่ภาพที่ปรากฏในตอนนี้แม้จะมีการนองเลือดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่ทุกคนจะรับได้“ดูจากชุดแล้ว พวกเขาคงเป็นคนของสำนักเทียบฟ้า” อิงหลิวเห็นกลุ่มคนที่กำลังกระจายกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ในส่วนพื้นที่ที่สำนักของพวกเขารับผิดชอบ เพราะในส่วนพื้นที่ที่อยู่ข้างกันนางเห็นเป็นกลุ่มที่สวมใส่ชุดอีกเครื่องแบบหนึ่ง“พระจันทร์เหรอ หรือเป็นสำนักจันทร์เสี้ยวที่รั้งอยู่อันดับที่สอง” นางจำได้รางๆ ว่าทั้งสองสำนักนี้ไม่ค่อยถูกกันนัก ไม่สิ ออกจะชังขี้หน้ากันด้วยซ้ำ แต่ภาพตรงหน้าทั้งสองกลุ่มกลับสามารถร่วมมือกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายพวกนี้ได้“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่แปลกที่ไป๋จูและเสวี่ยเฟยจะมีท่าทางแบบนั้น เอาล่ะไปด

  • ระบบของผู้เกิดใหม่   บทที่ 50 ข้าก็ขอไปดูด้วยตาตัวเอง

    หลังอิงหลิวพูดจบการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งสามก็ฉายชัดออกมาทันที สายตาของพวกนางเผยถึงความตกใจและความหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้อิงหลิวนึกแปลกใจคือริมฝีปากของพวกนางที่กำลังพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่มีทีท่าจะหยุด“นั่นมัน...” สิ้นเสียงของอิงหลิว ไป๋จู เสวี่ยเฟย และเทียนคงที่เพิ่งบินลงมาก็ทำการเรียกใช้พลังเพื่อหยุดการกระทำของกลุ่มหญิงสาวตรงหน้าทันทีไป๋จูเดินไปหยุดข้างกายผู้เป็นนายพร้อมทั้งร้องบอกถึงการกระทำของกลุ่มหญิงสาวที่ถูกแช่แข็ง พวกมันไม่รู้หรอกว่าพวกนางกำลังคิดจะทำอะไร แต่ที่พวกมันรู้คือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ความดำมืดที่ค่อย ๆ กัดกินพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวพวกนาง ก็เป็นการแสดงให้รู้ได้เลยว่าสิ่งที่พวกนางกำลังกระทำอยู่นั้นไม่เป็นผลดีต่อคนทั่วไป และยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้เป็นนายของมันที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่จริงแล้วข้าพอรู้ว่าพวกนางกำลังจะทำอะไร” อิงหลิวลูบหัวสัตว์อสูรทั้งสามที่เดินมาอยู่ข้างกายนาง นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พวกมันมีต่อนางมากกว่าครั้งไหน ๆ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่นางเพิ่งเผชิญอยู่

  • ระบบของผู้เกิดใหม่   บทที่ 49 คนของดินแดนนภามาถึงแล้ว

    ในระหว่างที่สำนักใหญ่ทั้งหมดบนหน้าทำเนียบกำลังเข้าสู่ช่วงตึงเครียด สำนักแห่งอื่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าสำนักใหญ่นั้นก็เริ่มมีการประชุมเช่นกัน หากแต่ไม่ใช่เป็นการประชุมที่มีไว้รับมือคนจากต่างดินแดนแต่เป็นการประชุมเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มาจากการลงมือในครั้งนี้ของพวกสำนักใหญ่“พวกเจ้าว่าครั้งนี้ศิษย์ของสำนักไหนจะล้มตายมากที่สุด” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเจ้าสำนักปลายแถวดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าสำนักแห่งอื่นมากับครบแล้ว“ก็คงไม่พ้นสำนักอสูรคำรามหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าสำนักของมันกำลังจะหลุดจากบนทำเนียบแล้ว ครั้งนี้เจ้าสำนักของมันคงสั่งศิษย์ให้ไปสร้างชื่อเสียงในภารกิจนี้กลับมาอีกครั้งล่ะมั้ง” ใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนเผยชัดถึงความเอือมระอาของเจ้าสำนักแห่งนั้น“เจ้ายังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกหรือไง หานฟง” น้ำเสียงหวานของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นหลังเห็นใบหน้าของสหายตนที่เริ่มปรากฏร่องรอยอารมณ์บางอย่าง“มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ข้าไม่ได้สนใจมันแล้วล่ะ หนี่ซิน” สิ้นเสียงนั้น สตรีที่ถูกเรียกชื่อก็เผยยิ้มกว้างออกมา แม้จะรู้ว่าคำตอบที่นางเพิ่งได้รับจะเป็นเพียงคำโกหกก็ตามภายในสำนักอสูรคำรามที่ต

  • ระบบของผู้เกิดใหม่   บทที่ 48 เตรียมรับมือ

    “เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่!?” ผู้อาวุโสเจียงแห่งสำนักเทียบฟ้าถามขึ้นมาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะหากเป็นตัวนาง นางก็ย่อมระมัดระวังตัวเป็นเรื่องธรรมดา“ผู้อาวุโสเจียงไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่า ช่วงนี้มีผู้บ่มเพาะไม่คุ้นหน้าเดินไปมาให้เห็นกันได้ทั่ว ทั้งที่ปกติแล้วผู้ฝึกตนหรือผู้บ่มเพาะก็ไม่ได้พบเจอได้ง่ายดายขนาดนั้น” อิงหลิวเปิดปากพูดถึงข้อสงสัยข้อแรกขึ้นมา เพื่อจะได้ดูทีท่าของคนจากสำนักอื่นด้วย“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าพูดก่อนหน้ากัน” นายน้อยเฮยเผยแววตาบางอย่างออกมาหลังได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูด“หากผู้บ่มเพาะมากมายพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสำนักของพวกเจ้า และไม่ได้เข้าไปฝึกฝนในสำนักอื่นบนดินแดนนี้ นั่นหมายความว่าเช่นไร พวกเจ้ารู้หรือไม่” สิ้นเสียงนาง สายตาที่คนทั้งสี่หันมาจับจ้องนางก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ที่เจ้าหมายถึง คงไม่ใช่ว่า...” ผู้อาวุโสจ้าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่าผู้อื่นก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา“จ้านเว่ย เจ้ารู้เรื่องอะไรกันแน่” นายน้อยเฮยซึ่งปกติแล้วงานในสำนักก็มีมากจนล้นมือจึงไม่ได้สนใจข่าวสารภายนอกเหมือนกับส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status