Mag-log inอิงหลิวจำได้ชัดเจนว่าในภพชาติก่อนนางเคยมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม จนกระทั่งวันนั้น... มารดาของนางรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่ง นางจึงได้สัมผัสถึงการเป็นส่วนเกินของครอบครัวเป็นครั้งแรก... หลังจากการตายมาถึง นางจึงได้รับอิสระ ชีวิตใหม่ของนาง นางขอมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ภพชาติใหม่ อิงหลิวได้เห็นดินแดนที่นางไม่รู้จัก ที่แห่งนี้ทุกสิ่งล้วนแปลกใหม่สำหรับนาง ทั้งพลังวิเศษ อาวุธวิเศษ รวมถึงสัตว์อสูรที่น่าจะมีแค่ในนิยาย แต่แล้วทุกอย่างกลับมีอยู่จริง!! แต่มีอย่างเดียวที่นางคุ้นเคย ชีวิตนี้นางก็ยังคงเป็นเด็กกำพร้าเช่นเดิม ไม่เป็นไร! ชีวิตใหม่ของนาง นางขอไม่เรียกร้องความรักหรือความอบอุ่นจากผู้ใดอีก! แต่เดี๋ยวนะ!! เสียงอะไรดังขึ้นในหัวของนางกัน...
view moreเมืองหลวงของประเทศซี เมืองที่ไม่เคยมีการหลับใหล แสงสว่างมากมายถูกประดับประดาตามท้องถนน เธอรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหลบซ่อนในร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง สายตาคู่โตมองออกไปข้างนอกเพื่อหาคนที่เดินตามเธอมา
“เมื่อไหร่จะปล่อยฉันเป็นอิสระเสียที” อิงหลิวอดไม่ได้ที่จะนึกสงสารตัวเอง เธอยอมเดินออกจากบ้านของเธอ จากครอบครัวที่ควรจะเป็นของเธอ เพื่อปล่อยให้น้องสาวคนละสายเลือดของตัวเองยึดครองในพื้นที่ของเธอ แต่ทว่า เธอคงคิดน้อยเกินไป เพราะสิ่งที่เธอเคยทำในอดีตกำลังตามเล่นงานตัวเธอเองในตอนนี้
“เลิกหนีเถอะครับ คุณหนู ท่านควรจะกลับไปรับโทษกับนายใหญ่” ยังไม่ทันที่อิงหลิวจะเดินออกจากที่หลบซ่อน เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านข้างเสียก่อน
“ทำไมกัน ฉันทำอะไรผิดไปหากว่าการที่ฉันบอกคนอื่นไปว่าเด็กคนนั้นเป็นเพียงลูกเลี้ยงที่ถูกรับมาเลี้ยงมันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันต่างหากที่เป็นลูกที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีอะไรเลยที่เป็นของตัวเอง” การที่เธอยังคงรั้งสถานะว่าเป็นบุตรสาวตามสายเลือดอยู่ในตอนนี้ คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ยังคงเป็นของเธอจริง ๆ หากว่าเธอยอมปล่อยให้เด็กคนนั้นยึดสถานะของเธอไป เธอคงไม่เหลืออะไรแล้วในชีวิตนี้
“คุณหนูควรกลับไปแต่โดยดีนะครับ” เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นอีกครั้ง เรียกสติของเธอให้กลับมา
“ได้ ถ้านายจะให้ฉันกลับ ฉันกลับก็ได้ หากว่านายจับฉันได้” อิงหลิวตอบกลับก่อนหันหลังวิ่งออกนอกประตูข้างที่เธอเคยสำรวจดูในช่วงที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ๆ
“แบ่งกลุ่มดักรอที่ถนนถัดไป อีกกลุ่มตามฉันมา” เสียงอดีตคนรับใช้ที่ผันตัวมาเป็นหัวหน้ากลุ่มค้นหาออกคำสั่งกับลูกน้องตัวเอง ก่อนจะรีบวิ่งตามอดีตคุณหนูของตน
“ครับ หัวหน้า”
อิงหลิวเดินออกจากรอยแตกของกำแพงบ้านร้าง เธอหันกลับมามองเส้นทางที่เธอเดินผ่านเมื่อครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา แอ่งน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็น กองขยะข้างทางที่กองสูง และคราบสกปรกที่เปื้อนอยู่ตามทาง ไม่น่าเชื่อเลย อดีตคุณหนูใหญ่ที่เคยได้รับค่าขนมรายเดือนหลักล้านจะตกต่ำได้ขนาดนี้
ระหว่างที่เธอกำลังเดินกลับห้องเช่าขนาดเล็ก ความรู้สึกบางอย่างเรียกให้เธอหันไปมองถนนใหญ่ที่อยู่ทางขวามือ ในสายตาของเธอนั้นเห็นเด็กเล็กวัยเพิ่งหัดเดินที่กำลังเดินเตาะแตะบนทางม้าลาย
“อะไรกัน ใครเขาปล่อยให้เด็กเล็กเดินบนถนนคนเดียวกัน แล้วคนแถวนี้ไม่เห็นเด็กคนนั้นเลยหรือไง” อิงหลิวรีบวิ่งเข้าไปที่ถนนเพื่อจะอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรของเธอกัน จะรีบวิ่งไปบนถนนทำไม”
ในวินาทีที่อิงหลิววิ่งมาถึงตัวเด็กเล็ก เสียงกระหึ่มของรถหรูก็ดังขึ้นมาทันที สายตาของเธอเห็นชัดว่ารถตรงหน้าอยู่ไม่ไกลจากเธอเลย และเธอก็รู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่อาจหลบพ้น อิงหลิวรีบผลักเด็กเล็กไปทางกลุ่มคนมาใหม่ที่อยู่ไม่ไกล ในใจหวังเพียงอย่างเดียวว่า เด็กน้อยน่ารักตรงหน้าจะรอดปลอดภัย
โครม!!
“คนถูกรถชน ใครก็ได้โทรเรียกรถพยาบาลที”
“ดูแล้วไม่รอดนะ ลำตัวขาดครึ่งเลย”
“คนขับรถเป็นคนรวยเสียด้วย รถคนนั้นราคาเป็นสิบล้าน”
เพล้ง!! รูปถ่ายขนาดเล็กที่ตั้งประดับบนโต๊ะในห้องนอนใหญ่ดังขึ้นพร้อมภาพของบุคคลในรูปที่ถูกน้ำหมึกกลิ่นหอมเปื้อนใส่ เรียกสายตาทรงอำนาจของคนเป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ให้หันกลับมาดู
“รูปตกลงมาได้ยังไงกัน ขวดหมึกก็ด้วยเหรอ” ประธานบริษัทยักษ์เดินกลับไปก่อนจะก้มลงหยิบรูปถ่ายที่ตนก็จำไม่ได้ว่าเอามาวางไว้ตอนไหน
“ท่านประธานครับ สายด่วนจากทีมค้นหาครับ”
“โอเค นายออกไปก่อน”
“นายใหญ่ครับ คุณหนูใหญ่อิงหลิว จากไปแล้วครับ” สิ้นเสียงรายงานจากลูกน้องคนสนิท มือถือที่อยู่ในมือก็ร่วงลงสู่พื้นทันที ก่อนที่สายตาของชายคนนั้นจะสังเกตเห็นรูปถ่ายที่เปื้อนหมึก แม้จะเห็นได้ไม่ชัดแต่เขาจำได้ดีว่าบุคคลในรูปถ่ายนั้นคือ บุตรสาวของเขา อิงหลิว
...
อึดอัด หายใจไม่ออก คือความรู้สึกแรกที่อิงหลิวสัมผัสได้ ก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย นางปล่อยเสียงร้องออกมาทันที เจ็บ เจ็บมาก ใครกำลังทำร้ายนางกัน
“ยินดีด้วยนะเจ้าคะ เป็นคุณหนูเจ้าค่ะ” เสียงของผู้หญิงที่นางไม่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของบุรุษที่นางก็ไม่คุ้นเคยเช่นกัน
“อย่างนั้นเหรอ แล้วฮูหยินของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” นายใหญ่โจว โจวลู่เหอ ถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบหากแต่ถ้าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับนายใหญ่โจวจะรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกังวล
“ฮูหยินเพียงแค่อ่อนเพลียเล็กน้อยเจ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่”
“พ่อบ้านจัดการที่เหลือด้วย ส่วนเด็กคนนี้ เจ้าดูแลนางไปก่อนแล้วกัน ส่วนชื่อก็ โจวอิงหลิว แล้วกัน” สิ้นเสียงของผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน อ้อมกอดที่กำลังโอบอุ้มนางก็แฝงไปด้วยความตึงเครียด
อิงหลิวที่ได้เกิดใหม่อีกครั้งเต็มไปด้วยความสับสนและมึนงง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ทำใจได้อย่างรวดเร็ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชีวิตของนางกลับไปกลับมา หลายครั้งที่มีปัญหาเข้ามาหานางอย่างไม่ทันตั้งตัว นางก็ต้องรับมือกับปัญหาเหล่านั้นให้ได้ เพราะหากนางรับมือกับปัญหาเหล่านั้นไม่ได้ สิ่งที่รอนางอยู่ปลายทางนั่นคือความตาย หรืออาจจะแย่ยิ่งกว่าความตายเสียอีก
“น่าสงสารคุณหนูอิงหลิวนัก ดูท่าทางนายใหญ่ไม่รักคุณหนูเอาเสียเลย ทั้งที่เป็นคุณหนูคนแรกของตระกูลโจว”
“ฮูหยินร่างกายไม่แข็งแรงนัก ยิ่งตอนที่ท้องคุณหนูร่างกายก็ยิ่งทรุดลงเรื่อย ๆ นายใหญ่จึงได้มีท่าทีเช่นนี้ต่อคุณหนู ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก”
“พวกเจ้าพูดอะไรไร้สาระ รีบไปจัดเตรียมห้องให้คุณหนูได้แล้ว” เสียงที่อิงหลิวเคยได้ยินเมื่อตอนที่นางได้สติดังขึ้นก่อนที่เสียงรอบตัวจะเบาลง
“คุณหนูอิงหลิว ชีวิตของท่านดูท่าจะไม่สงบเสียแล้ว”
อิงหลิวจำได้คร่าว ๆ ว่านับจากที่นางได้เกิดใหม่ก็เข้าเดือนที่สี่ที่นางเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นบิดามารดาของนางในชาตินี้ บิดาของนาง โจวลู่เหอ มีใบหน้าที่หล่อเหลาจนแทบจะไม่เชื่อว่าจะมีผู้ที่ครอบครองใบหน้าเช่นนี้อยู่บนโลก ส่วนมารดาของนางมีใบหน้างดงามเช่นกันแต่ไม่อาจนำไปเทียบกับผู้เป็นบิดา
“ลูกสาวของข้า ช่างน่ารักนัก อิงหลิว หลิวเอ๋อร์” ฮูหยินเอกของนายใหญ่โจว หลี่เหมยหรง ก้มมองนางเล็กน้อยก่อนจะเผยยิ้มออกมา
“เจ้าไม่ควรโดนลมเยอะ รีบไปพักผ่อนเถอะ เมื่อร่างกายหายดีค่อยมาเยี่ยมลูก” เสียงทรงอำนาจที่ผู้เป็นบิดาเอ่ยออกมา ทำให้ความอบอุ่นที่เคยอบอวลหายวับไปเหลือเพียงสายลมเย็นเฉียบ
“ข้ารู้แล้ว” รอยยิ้มที่จางหายต่อหน้าต่อตาของนาง ทำให้อิงหลิวหลับตาลงทันที โจวอิงหลิว เมื่อเจ้าได้เกิดใหม่แล้วอย่าได้โลภมากเลย เมื่อไม่มีผู้ใดรักเจ้า อย่าได้เรียกร้อง แต่ควรรักตัวเองเสียจะดีกว่า จะได้ไม่เจ็บปวดอีก
ชีวิตในวัยเด็กของนางในชาตินี้ ยังคงสุขสบายไม่ต่างจากชาติก่อน มีอาหารเลิศรสมีของใช้ล้ำค่า สมบูรณ์พร้อมด้วยสมบัติมากมาย แม้แต่สิ่งของวิเศษอย่าง ชุดที่นางสวมใส่ก็มีความสามารถป้องกันไฟได้ หรือรองเท้าที่มีความสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้กับผู้เป็นนาย และมีอีกอย่างหนึ่งที่ยังคงเหมือนชาติก่อนของนาง
เมื่อตอนที่นางอายุได้สองขวบ ผู้เป็นมารดาของนางแอบเข้ามาหานางในช่วงกลางคืน แม้นางจะสัมผัสไม่ได้ถึงความรักที่ผู้เป็นมารดาควรมีต่อบุตรของตน แต่ความห่วงใยบาง ๆ ที่ฉายชัดในดวงตาคู่นั้น นางค่อนข้างมั่นใจ แม้จะไม่มีความรักเฉกเช่นมารดาของผู้อื่น แต่สายสัมพันธ์ของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายของทั้งคู่ก็ยังมีอยู่
“หลิวเอ๋อร์ แม่ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า ข้างในเป็นสมบัติของแม่และบิดาของเจ้า หวังว่าเจ้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดี”
“เสร็จหรือยัง เหมยหรง ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก ที่จะได้เจอคุณหนูอีกครั้ง” เสียงที่แว่วเข้ามาผ่านทางหน้าต่างทำให้ อิงหลิวที่กำลังจะเปิดตาขึ้นมาอีกครั้งต้องรีบหลับตาลง
“ข้าคิดว่าหลิวเอ๋อร์ตื่นแล้วเสียอีก นี่ยังไม่ตื่นเหรอ” หลี่เหมยหรงที่ค่อนข้างมั่นใจว่าบุตรของนางเพิ่งลืมตาหันมาจ้องนางเมื่อสักครู่
“เด็กวัยเพียงสองขวบต่อให้ตื่นอยู่จะไปเข้าใจอะไรได้ ไม่ใช่คุณหนูของพวกเราเสียหน่อย” เสียงคุ้นเคยของผู้เป็นบิดาดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้นางได้ยินอย่างชัดเจน คุณหนูเหรอ? บิดาของนางเป็นนายใหญ่โจว มารดาของนางเป็นคุณหนูใหญ่ของขุนนางแซ่หลี่ แล้วคุณหนูที่พวกเขาพูดถึงอยู่คือใครกัน
“หลังออกจากดินแดนนภานั่นและถูกผนึกพลัง ก็ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วสินะ ไม่รู้ว่าคุณหนูของพวกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง จะยังจำพวกเราได้อยู่อีกไหม ข้าตื่นเต้นเสียจริง” เสียงของมารดาที่เปล่งออกมา แฝงไปด้วยความรักที่อิงหลิวไม่คุ้นเคย
“ใช่ ข้ายังจำได้ถึงครั้งแรกที่ข้าได้โอบอุ้มคุณหนูในอ้อมแขน รีบไปพักผ่อนเถอะ อีกไม่นานพวกเราจะได้ไปจากที่นี่แล้ว”
“ได้ สมบัติวิเศษของพวกเราก็อยู่ในจี้หยกที่ข้ามอบให้หลิวเอ๋อร์แล้ว นับจากนี้พวกเราไม่ได้ติดค้างอะไรกับเด็กคนนี้อีก”
“อืม ข้าเห็นด้วย” สิ้นเสียงของผู้เป็นบิดา เสียงปิดหน้าต่างก็ดังขึ้นตามหลัง ก่อนความเงียบสงบจะกลับมาอีกครั้ง
ชาตินี้นางก็ยังคงเป็นส่วนเกินอีกเช่นเดิมสินะ
“ส่วนรากวิญญาณนั้น ข้าก็แค้นพวกท่านนะ แต่ข้าก็คิดได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าคิดได้คืออะไร?” หลังอิงหลิวพูดขึ้นมา สีหน้าของคนตรงหน้านั้นก็เผยถึงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน“สิ่งที่พวกท่านทำลงไปนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้ยาพิษหรืออาคมอะไรพวกนั้น แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความผิดของพวกท่าน ดังนั้นแล้วผลการกระทำที่จะตามกลับมานั้นก็เป็นพวกท่านที่รับผลนั้นไป และข้าเชื่อว่าความผิดที่พวกท่านกระทำนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้าแค่คนเดียวหรอกนะ แต่พวกท่านคงได้กระทำความผิดออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง เหล่าผู้ที่ถูกพวกท่านกระทำลงไปคงได้คิดหาวิธีสังหารพวกท่านไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่” สิ้นเสียงของอิงหลิว ทั้งโจวลู่เหอและหลี่เหมยอี้ที่อยู่ในร่างของหลี่เหมยหรงก็เผยสีหน้ายากจะคาดเดา“และแน่นอนว่าเรื่องต่อจากนี้ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ส่วนในตอนนี้ทั้งยาพิษที่อยู่ในตัวของหลี่เหมยหรง พิษเสน่หากล้ำกลืนที่เป็นยาพิษระดับ5 ท่านเอาโอสถถอนพิษไปกินก่อนเถอะ” อิงหลิวพูดจบก็เดินไปหยิบเอาโอสถถอนพิษที่อยู่บนชั้นวางให้กับหลี่เหมยอี้“ส่วนอาคมและพันธสัญญาที่อยู่ในตัวของพวกท่านนั้น คงต้องใช้เวลาสักพักในการทำลายสิ่งพวกนั้น” ห
สถานที่ที่สามสาวตระกูลลี่บอกกับนางว่าเป็นที่ใช้กักขังโจวเจียลี่ คือ จวนขุนนางแซ่หลินแห่งแคว้นไป๋ หากข่าวลือที่อิงหลิวได้ยินมาไม่ผิด ขุนนางแซ่หลิน หรือแม่ทัพใหญ่หลินนั้น เป็นคนของดินแดนนภามาตั้งแต่ต้นและเป็นศิษย์สายนอกคนหนึ่งของสำนักปราบเซียนที่ได้รับมอบหมายให้มาสร้างรากฐานภายในแคว้นไป๋แม่ทัพใหญ่หลินมีบุตรชายบุตรสาวที่มีฝีมือไม่ธรรมดา และหนึ่งในนั้นก็มีตำแหน่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา คือ แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล หลินหยู ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นก็สามารถบ่มเพาะพลังจนถึงขั้นสร้างรากฐานตอนปลายแล้ว ซ้ำยังมีรากวิญญาณแท้ ธาตุไฟ อีกด้วยหลินฮุ่ยเจีย บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลขุนนางแซ่หลิน ก็มีพรสวรรค์ไม่แพ้บุตรคนอื่น ปัจจุบันมีอายุสิบเจ็ดปี ก็สามารถบ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นสร้างรากฐานขั้นต้น และยิ่งครอบครองรากวิญญาณเซียน ธาตุวาโยพิสุทธิ์ จึงเป็นยิ่งกว่าไข่มุกในมือของผู้เป็นบิดา“แล้วทำไมเจียลี่ ถึงได้ยอมถูกกักขังในจวนขุนนางแซ่หลินนี้กัน คงไม่ใช่ว่าเกิดไปหลงรักบุรุษบางคนเข้าหรอกนะ” อิงหลิวคิดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มหนักใจเล็กน้อย หากว่าเกิดไปหลงรักผู้อื่นจริง นางคงได้ใช้กำลังพากลับบ้านเป็นแน่--------------
อิงหลิวขึ้นขี่หลังของเทียนคงตรงไปยังสถานที่กลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโจวนัก ในทันทีที่นางอยู่บนที่สูงนางก็มองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ด้านล่างบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน ในคราแรกที่นางอ่านรายละเอียดของภารกิจฉุกเฉินที่นางได้รับมาในตอนนั้น นางนึกถึงภาพเลวร้ายมากที่สุดทันที ไม่ว่าจะเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ทั้งอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นเกิดขึ้นก็ได้ แต่ภาพที่ปรากฏในตอนนี้แม้จะมีการนองเลือดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่ทุกคนจะรับได้“ดูจากชุดแล้ว พวกเขาคงเป็นคนของสำนักเทียบฟ้า” อิงหลิวเห็นกลุ่มคนที่กำลังกระจายกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ในส่วนพื้นที่ที่สำนักของพวกเขารับผิดชอบ เพราะในส่วนพื้นที่ที่อยู่ข้างกันนางเห็นเป็นกลุ่มที่สวมใส่ชุดอีกเครื่องแบบหนึ่ง“พระจันทร์เหรอ หรือเป็นสำนักจันทร์เสี้ยวที่รั้งอยู่อันดับที่สอง” นางจำได้รางๆ ว่าทั้งสองสำนักนี้ไม่ค่อยถูกกันนัก ไม่สิ ออกจะชังขี้หน้ากันด้วยซ้ำ แต่ภาพตรงหน้าทั้งสองกลุ่มกลับสามารถร่วมมือกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายพวกนี้ได้“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่แปลกที่ไป๋จูและเสวี่ยเฟยจะมีท่าทางแบบนั้น เอาล่ะไปด
หลังอิงหลิวพูดจบการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งสามก็ฉายชัดออกมาทันที สายตาของพวกนางเผยถึงความตกใจและความหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้อิงหลิวนึกแปลกใจคือริมฝีปากของพวกนางที่กำลังพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่มีทีท่าจะหยุด“นั่นมัน...” สิ้นเสียงของอิงหลิว ไป๋จู เสวี่ยเฟย และเทียนคงที่เพิ่งบินลงมาก็ทำการเรียกใช้พลังเพื่อหยุดการกระทำของกลุ่มหญิงสาวตรงหน้าทันทีไป๋จูเดินไปหยุดข้างกายผู้เป็นนายพร้อมทั้งร้องบอกถึงการกระทำของกลุ่มหญิงสาวที่ถูกแช่แข็ง พวกมันไม่รู้หรอกว่าพวกนางกำลังคิดจะทำอะไร แต่ที่พวกมันรู้คือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ความดำมืดที่ค่อย ๆ กัดกินพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวพวกนาง ก็เป็นการแสดงให้รู้ได้เลยว่าสิ่งที่พวกนางกำลังกระทำอยู่นั้นไม่เป็นผลดีต่อคนทั่วไป และยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้เป็นนายของมันที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่จริงแล้วข้าพอรู้ว่าพวกนางกำลังจะทำอะไร” อิงหลิวลูบหัวสัตว์อสูรทั้งสามที่เดินมาอยู่ข้างกายนาง นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พวกมันมีต่อนางมากกว่าครั้งไหน ๆ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่นางเพิ่งเผชิญอยู่
ในระหว่างที่สำนักใหญ่ทั้งหมดบนหน้าทำเนียบกำลังเข้าสู่ช่วงตึงเครียด สำนักแห่งอื่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าสำนักใหญ่นั้นก็เริ่มมีการประชุมเช่นกัน หากแต่ไม่ใช่เป็นการประชุมที่มีไว้รับมือคนจากต่างดินแดนแต่เป็นการประชุมเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มาจากการลงมือในครั้งนี้ของพวกสำนักใหญ่“พวกเจ้าว่าครั้งนี้ศิษย์ของสำนักไหนจะล้มตายมากที่สุด” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเจ้าสำนักปลายแถวดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าสำนักแห่งอื่นมากับครบแล้ว“ก็คงไม่พ้นสำนักอสูรคำรามหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าสำนักของมันกำลังจะหลุดจากบนทำเนียบแล้ว ครั้งนี้เจ้าสำนักของมันคงสั่งศิษย์ให้ไปสร้างชื่อเสียงในภารกิจนี้กลับมาอีกครั้งล่ะมั้ง” ใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนเผยชัดถึงความเอือมระอาของเจ้าสำนักแห่งนั้น“เจ้ายังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกหรือไง หานฟง” น้ำเสียงหวานของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นหลังเห็นใบหน้าของสหายตนที่เริ่มปรากฏร่องรอยอารมณ์บางอย่าง“มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ข้าไม่ได้สนใจมันแล้วล่ะ หนี่ซิน” สิ้นเสียงนั้น สตรีที่ถูกเรียกชื่อก็เผยยิ้มกว้างออกมา แม้จะรู้ว่าคำตอบที่นางเพิ่งได้รับจะเป็นเพียงคำโกหกก็ตามภายในสำนักอสูรคำรามที่ต
“เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่!?” ผู้อาวุโสเจียงแห่งสำนักเทียบฟ้าถามขึ้นมาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะหากเป็นตัวนาง นางก็ย่อมระมัดระวังตัวเป็นเรื่องธรรมดา“ผู้อาวุโสเจียงไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่า ช่วงนี้มีผู้บ่มเพาะไม่คุ้นหน้าเดินไปมาให้เห็นกันได้ทั่ว ทั้งที่ปกติแล้วผู้ฝึกตนหรือผู้บ่มเพาะก็ไม่ได้พบเจอได้ง่ายดายขนาดนั้น” อิงหลิวเปิดปากพูดถึงข้อสงสัยข้อแรกขึ้นมา เพื่อจะได้ดูทีท่าของคนจากสำนักอื่นด้วย“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าพูดก่อนหน้ากัน” นายน้อยเฮยเผยแววตาบางอย่างออกมาหลังได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูด“หากผู้บ่มเพาะมากมายพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสำนักของพวกเจ้า และไม่ได้เข้าไปฝึกฝนในสำนักอื่นบนดินแดนนี้ นั่นหมายความว่าเช่นไร พวกเจ้ารู้หรือไม่” สิ้นเสียงนาง สายตาที่คนทั้งสี่หันมาจับจ้องนางก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ที่เจ้าหมายถึง คงไม่ใช่ว่า...” ผู้อาวุโสจ้าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่าผู้อื่นก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา“จ้านเว่ย เจ้ารู้เรื่องอะไรกันแน่” นายน้อยเฮยซึ่งปกติแล้วงานในสำนักก็มีมากจนล้นมือจึงไม่ได้สนใจข่าวสารภายนอกเหมือนกับส
Mga Comments