LOGINการนั่งรถม้าเป็นเวลานานทำให้โจวอิงหลิวรู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย แม้จะมีการแวะพักตามโรงเตี๊ยมชื่อดังข้างทางและมีสาวใช้คอยดูแลงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงสองคน ให้นางก็ตาม แต่มันก็ทำให้นางยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ดี
“เมื่อพวกเจ้าส่งข้าที่แคว้นชิงไห่เสร็จ พวกเจ้าก็จะกลับเลยใช่หรือไม่?” อิงหลิวถามสาวใช้ตรงหน้า ชิงอี และชิงซาน
“เจ้าค่ะคุณหนู หลังส่งคุณหนูที่แคว้นชิงไห่เสร็จ พวกบ่าวจะกลับเลยเจ้าค่ะ แต่ผู้คุ้มกันที่นายท่านจ้างไว้จะรั้งอยู่ในแคว้นชิงไห่อีกสักสองสามวันเจ้าค่ะ” ชิงอีตอบเก็บพลางจัดเก็บชุดที่นางจะเพิ่งผลัดเปลี่ยนเสร็จ
“ผู้คุ้มกัน พวกนายท่านเสิ่นเหรอ อารองจ้างพวกเขาให้คุ้มกันข้าไปถึงแคว้นชิงไห่เท่านั้นไม่ใช่หรือ? แล้วพวกเขาจะรั้งอยู่ในแคว้นต่อทำไมกัน” อิงหลิวนิ่งไปสักพักก่อนจะละความสนใจไป แม้นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดที่พวกผู้คุ้มกันคิดจะอยู่ในแคว้นชิงไห่ต่อ แต่ใช่ว่านางจะไม่มีวิธีหลบหนี สมบัติวิเศษที่อยู่ในจี้หยก มีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยให้นางซ่อนตัวได้
“คุณหนูเจ้าคะ จะลงไปรับอาหารชั้นล่างไหมเจ้าคะ หรือจะกินอาหารภายในห้อง” ชิงซานที่เพิ่งออกไปสั่งงานเสร็จเดินเข้ามาภายในห้องพักเพื่อถามนายของตน
“ชั้นล่างแล้วกัน กินอาหารเสร็จจะได้เดินดูของในตลาดต่อด้วย” อิงหลิวตอบกลับ พร้อมก้าวเท้าเดินออกจากห้อง
ตลาดใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรสำหรับคนธรรมดา หรือสมุนไพรสำหรับผู้บ่มเพาะระดับล่างต่างก็มีหลากหลายนับไม่ถ้วนให้เลือกซื้อ
คนธรรมดาที่สามารถบ่มเพาะได้ต้องมีรากวิญญาณตั้งแต่กำเนิด จึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตน แต่ทว่ามีอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ค่อยนิยมใช้กันและเป็นวิธีโบราณ คือใช้สมุนไพรวิเศษบางชนิดเอามาหลอมรวมกับพลังวิญญาณของผู้บ่มเพาะขั้นทะเลวิญญาณ จึงจะสามารถสร้างรากวิญญาณเทียมได้ และผู้บ่มเพาะที่มีรากวิญญาณเทียมเมื่อบ่มเพาะถึงขั้นสร้างรากฐานก็จะเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตนที่แท้จริง
ตอนที่โจวอิงหลิวอ่านเจอบันทึกพวกนี้นางค่อนข้างตื่นเต้นเพราะดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายดาย แต่พอศึกษาไปเรื่อย ๆ นางถึงได้พบว่าโอสถสร้างรากวิญญาณเทียมมีโอกาสหลอมสำเร็จแค่หนึ่งส่วนในสิบส่วนเท่านั้น ทั้งสมุนไพรวิเศษพวกนั้นก็หายากยิ่งกว่ายาก แต่ที่ยุ่งยากที่สุดคือ แพทย์โอสถที่หายากยิ่งกว่า และยิ่งแพทย์โอสถที่บ่มเพาะถึงขั้นทะเลวิญญาณตัวตนระดับนั้นปรากฏตัวล่าสุดก็เมื่อห้าร้อยกว่าปีก่อน ความฝันที่นางจะเป็นผู้บ่มเพาะก็ยิ่งเลือนหายขึ้นเรื่อย ๆ หากว่าต่อให้นางพบก็ใช้ว่าแพทย์โอสถผู้นั้นจะยอมเสียพลังวิญญาณจำนวนมากให้กับคนธรรมดาเช่นนาง
หากถามว่าทำไมนางที่มีบิดาและมารดาของนางที่นางสงสัยว่าอาจจะเป็นผู้บ่มเพาะ ถึงเกิดมาไม่มีรากวิญญาณ นางก็สงสัยเหมือนกัน ในตอนที่นางสองขวบนางได้ยินมารดาของนางพูดคุยกับบิดาว่าถูกผนึกพลังและถูกมาที่นี่ นั่นก็หมายความว่ามารดาและบิดาของนางเป็นผู้บ่มเพาะไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนางซึ่งเป็นบุตรของพวกเขาถึงไม่มีรากวิญญาณกัน
“คุณหนูเจ้าคะ เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” เสียงของชิงอีดังขึ้นหลังเห็นคุณของตนเงียบไป
“ไม่มีอะไรหรอก ตรงนั้นมีประมูลอะไรกัน” อิงหลิวส่ายหน้าก่อนจะหน้าโรงประมูลประจำเมืองดูวุ่นวายไม่น้อย
“ได้ข่าวว่าโรงประมูลกำลังเปิดประมูลโอสถของผู้บ่มเพาะเจ้าค่ะ เป็นโอสถระดับต่ำเจ้าค่ะ คงมีแค่ผู้บ่มเพาะระดับแรกเริ่มเท่านั้นที่ใช้ได้” ชิงซานตอบแทนชิงอีที่กำลังสั่งการบ่าวรับใช้คนอื่นเดินนำหน้านายของตนเพราะผู้คนเริ่มเบียดเสียดมากขึ้น อาจจะส่งผลเสียต่อคุณหนูของพวกนางได้
“อย่างนั้นเหรอ ช่างมันเถอะ พวกเรากลับกันเลยดีกว่า” อิงหลิวหันหลังเดินกลับโรงเตี๊ยมเพื่อหนีความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะใช่ว่าผู้บ่มเพาะทุกคนที่เข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตนจะเป็นคนที่มีเหตุผล และยิ่งมีโอสถที่กำลังจะเปิดการประมูลนางเดาได้ไม่ยากเลยว่าจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่
ภายในโรงเตี๊ยมที่นางเข้าพักตอนนี้กลับอัดแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นชั้นหนึ่งที่เปิดโล่งหรือชั้นสองที่เป็นห้องอาหารส่วนตัว อิงหลิวเห็นนายท่านเสิ่น หัวหน้าผู้คุ้มกันในครั้งนี้มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย พร้อมด้วยผู้คุ้มกันคนอื่นที่รายล้อมอยู่รอบโต๊ะที่พวกเขาจับจอง
“คุณหนูโจวมาแล้ว” เสียงของหนึ่งในผู้คุ้มกันเอ่ยดังขึ้นหลังเห็นผู้เป็นนายจ้างงานของพวกเขาในครั้งนี้
“คุณหนูโจว ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านสักครู่ จะได้หรือไม่?” บุรุษวัยกลางคนที่แผ่ความน่าเกรงขามออกมา หรือก็คือนายท่านเสิ่น เดินตรงมาหานางด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย
“ได้สิ เชิญที่ห้องส่วนตัวที่ชั้นสองดีกว่า ชิงอี เจ้าไปบอกเถ้าแก่ขอห้องว่างชั้นสองหนึ่งห้อง” อิงหลิวเอ่ยสั่งสาวใช้ทันที จากนั้นไม่นานชิงอีก็เดินมาหานางพร้อมเสี่ยวเอ้อที่เดินตามหลังมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“คุณหนูเจ้าคะ มีห้องว่างหนึ่งห้อง ทางขวาสุดเจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของสาวใช้ อิงหลิวก็พยักหน้าก่อนจะเดินนำไป
ภายในห้องส่วนตัว หลังเสี่ยวเอ้อจัดวางน้ำชาอาหารว่างเรียบร้อยแล้ว อิงหลิวก็ส่งสายตาเชิงถามถึงเรื่องที่หัวหน้าผู้คุ้มกันตรงหน้าตั้งใจจะพูดคุยกับนาง ชิงอีและชิงซานวางมือจากการรินน้ำชาให้นายของตนก่อนจะเดินถอยหลังไปยืนด้านหลังผู้เป็นนาย
“คุณหนูโจว ข้าว่าเราควรรีบออกเดินทางจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด เพราะจากการดูสถานการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผู้บ่มเพาะจำนวนมากต่างรีบเดินทางเข้ามาในเมืองเพื่อร่วมงานประมูล ที่จริงแล้วข้าจะไม่กังวลหากเป็นผู้บ่มเพาะที่มีสังกัด แต่ผู้บ่มเพาะระดับแรกเริ่มส่วนมากที่ข้าเห็นในเมืองนี้เป็นผู้บ่มเพาะไร้สังกัด หากมีปัญหาเกิดขึ้นจริง พวกเราไม่อาจสู้ได้ และไม่อาจเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้ใดได้เลย” หลังอิงหลิวได้ฟังเหตุผล นางก็เข้าใจ ทั้งตอนนี้นางก็ไม่อยากใช้สมบัติวิเศษให้ผู้ใดเห็น จึงได้เห็นด้วยกับข้อเสนอของหัวหน้าผู้คุ้มกันตรงหน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว อย่างนั้นพวกเราก็รีบออกเดินทางเถอะ”
หลังจากเดินทางออกจากเมืองนั้นไปได้สักพัก อิงหลิวก็ได้ทราบข่าวจากผู้ที่เดินทางหลังนาง ว่ามีเหตุปะทะกันของผู้บ่มเพาะ ทำให้มีคนธรรมดาเสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้นไม่น้อยกว่าสิบราย ทั้งร้านค้าต่าง ๆ ก็พังระเนระนาด จนเจ้าเมืองต้องส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปยังสำนักของผู้บ่มเพาะที่ใกล้ที่สุดให้ส่งคนมาประจำภายในเมืองสองถึงสามคน เพื่อลดความวุ่นวายที่อาจจะตามมาอีก
“ดีที่นายท่านเสิ่นไหวตัวทันนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจจะแย่ก็ได้นะเจ้าคะ ยิ่งร้านค้าที่พังก็อยู่ใกล้กับโรงเตี๊ยมที่พวกเราเข้าพักเสียด้วย” ชิงซานอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวเล็กน้อย พวกนาง บ่าวรับใช้คนอื่น และคุณหนูต่างเป็นคนธรรมดา ย่อมต้องหวาดกลัวพวกผู้บ่มเพาะที่เข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตน
ผู้บ่มเพาะมีการแบ่งระดับแปดระดับ เริ่มจาก ระดับแรกเริ่ม ระดับก่อตั้ง ระดับสร้างรากฐาน ระดับสัมผัสวิญญาณ ระดับทะเลวิญญาณ ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ระดับสัมผัสดินแดน ระดับแดนวิญญาณ แต่ละระดับก็มีการแบ่งขั้นสามขั้น คือ ต่ำ กลาง และสูง
และเท่าที่นางทราบมา ผู้บ่มเพาะที่อยู่สูงที่สุดในตอนนี้ คือ อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ คือ นายน้อยสาม หลานของผู้อาวุโส สำนักเทียบฟ้า ด้วยอายุเพียง 315 ปี ก็เข้าสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ถือได้ว่าเป็นดาวดวงใหม่ของแคว้นทั้งเจ็ดเลยทีเดียว
“ใช่สิ ข้าลืมเสียสนิท ดินแดนนภา มันอยู่ที่ไหนกัน” อิงหลิวจำได้ชัดเจนว่าบิดาและมารดาของนางเคยพูดถึงดินแดนนภา
“ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเรา”
แคว้นชิงไห่
อิงหลิวมองออกนอกหน้าต่างรถ แคว้นชิงไห่ถึงได้ว่าเป็นหนึ่งในแคว้นที่ร่ำรวยรองจากแคว้นไป๋ หากให้เรียงลำดับของแคว้นที่ดีที่สุดก็ต้องเป็น แคว้นไป๋ ตามด้วย แคว้นชิงไห่ แคว้นอ้าย แคว้นหนานไห่ แคว้นหาน แคว้นเทียน และแคว้นเว่ย สามแคว้นหลังเป็นแคว้นที่ค่อนข้างห่างไกลและยากจนหากให้เทียบกับสี่แคว้นที่เหลือ
แคว้นหนานไห่ที่อิงหลิวจะไปตั้งรกรากเป็นแคว้นที่อยู่ทางใต้สุดของดินแดนนี้ และเป็นแคว้นที่อยู่ติดกับทะเลและป่าทึบขนาดใหญ่ที่กั้นกลางดินแดน แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นแคว้นที่มีทรัพยากรหายากมากมาย และคนธรรมดาเลือกจะย้ายไปอยู่มากที่สุด เพราะสามารถปลูกบ้าน ครอบครองที่ดินได้โดยไม่ต้องยื่นเรื่องอะไรให้ยุ่งยาก แทบจะเป็นดินแดนสวรรค์สำหรับคนธรรมดา แต่ต้องแลกกับการเดินทางที่ค่อนข้างอันตรายเพราะต้องผ่านป่าที่อยู่กั้นกลางซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่สำหรับสัตว์อสูรและสำนักผู้ฝึกอสูร แต้สำหรับนางแล้วอาจจะสามารถผ่านป่าได้อย่างสบายเพราะมีสมบัติวิเศษที่ช่วยหลบซ่อนตัวและเดินทางได้รวดเร็ว
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงแคว้นชิงไห่แล้วเจ้าค่ะ” ชิงอีเอ่ยบอกนางหลังรถม้าเริ่มชะลอช้าลง
“ชิงอี ชิงซาน ขอบใจพวกเจ้ามากนัก นี่ถือว่าเป็นรางวัลให้กับพวกเจ้าที่ช่วยดูแลข้าตลอดหลายวันที่ผ่านมา อย่าได้คิดปฏิเสธเชียวละ” อิงหลิววางถุงเงินเล็ก ๆ สองถุงบนฝ่ามือของสาวใช้ทั้งสอง
“ขอบคุณมากนะเจ้าคะ คุณหนู ขอคุณหนูดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะเจ้าคะ” เสียงสั่นเครือของสาวใช้ตรงหน้าทำให้นางอบอุ่นไม่น้อย
“ขอบใจพวกเจ้า ส่วนถุงนี่เป็นรางวัลสำหรับบ่าวที่เหลือ ฝากพวกเจ้าจัดการด้วยนะ ข้าลาล่ะ” หลังนางพูดจบ นางก็ลุกเดินลงจากรถม้าทันที ก่อนจะหายวับไปท่ามกลางผู้คน
อิงหลิวเดินเข้าโรงเตี๊ยมพร้อมเช่าห้องพักสองสามวันเพื่อวางแผนในการเดินทางอีกครั้ง ทั้งยังต้องแน่ใจว่าพวกคนจากตระกูลโจวที่เหลือกลับแคว้นของตนไปแล้ว ไม่ใช่นางไม่ไว้ใจพวกอารองแต่ว่านางต้องการที่จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง และไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดอีก บาดแผลจากการถูกไล่ล่าในชาติก่อน การถูกลืมจากคนในครอบครัว ความรักที่เคยได้รับกลับกลายเป็นยาพิษ จิตใจของนางชอกช้ำมามากพอแล้ว และชีวิตที่สองของนาง นางก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถลืมเรื่องราวเหล่านั้นได้หรือไม่ หรืออาจจะไม่สามารถรักษาบาดแผลในอดีตได้อีกเลย
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ในระหว่างที่นางกำลังจะเอนตัวหลับ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นในหัว ทำเอานางต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ระบบกำลังติดตั้ง กรุณารอสักครู่”
“ค้นพบจิตใจที่กำลังเหนื่อยล้าถึงขีดสุด เปิดระบบเยียวยาทันที”
“เยียวยาเสร็จสิ้น โฮสต์โปรดรอสักครู่”
“ติดตั้งสำเร็จ
เปิดการใช้งานระบบ”“ระบบของผู้เกิดใหม่ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะโฮสต์”
“ระบบเหรอ เดี๋ยวนะ ข้าเคยเจอระบบด้วยเหรอ” อิงหลิวที่เพิ่งทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็ถามกลับด้วยความสงสัยไม่ว่าชาติก่อน หรือชาตินี้ นางจำได้ว่านางไม่เคยเจอกับระบบ
“ระบบเคยเจอโฮสต์ แต่ว่าตอนนั้นระบบได้รับหน้าที่กำจัดตัวตนของผู้ที่แย่งชิงโชคชะตาผู้อื่นอยู่ ทำให้ระบบไม่เคยได้ทักทายโฮสต์ และตอนที่ระบบทำงานเสร็จสิ้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่โฮสต์กำลังจะตายพอดี ในตอนนั้นระบบจึงได้ขอระบบแม่ว่าขอติดตามโฮสต์ไปเกิดใหม่ด้วย แต่ว่า...” เสียงระบบที่ดังขึ้นในหัว ทำให้อิงหลิวที่กำลังลำดับเรื่องราวในหัวต้องหยุดคิดไปสักพัก
“แต่ว่า ข้ามาเกิดใหม่ทันที โดยไม่ต้องไปรอเกิดใช่หรือไม่” หลังนางถามเสร็จ ระบบก็ตอบกลับทันที
“ก็ใช่ ทำให้ระบบเสียเวลาตามหาโฮสต์ตั้งนาน จากการคำนวณดู ก็เป็นเวลาสิบห้าปีกว่า ๆ”
“ขอบใจเจ้ามากนะ ที่เลือกจะติดตามข้า ทั้งที่ว่าข้าไม่เหลืออะไรเลย” อิงหลิวอดไม่ได้ที่จะนึกดีใจลึก ๆ ในตอนที่นางไม่เหลือใครที่จริงใจกับนาง ยังมีระบบที่ตัดสินใจติดตามนางตั้งแต่ภพก่อนจนถึงภพนี้
“โฮสต์อย่าได้เสียใจไปเลย ระบบจะอยู่ข้างโฮสต์เอง ตอนนี้โฮสต์ควรเปิดใช้งานระบบอย่างเป็นทางการก่อนนะ”
“ได้สิ เปิดใช้งานระบบ”
“เริ่มต้นใช้งาน ระบบของผู้เกิดใหม่ โฮสต์โปรดกดสุ่มวงล้อเพื่อเริ่มใช้งาน”
“สุ่มวงล้อ” อิงหลิวมองวงล้อตรงหน้าที่กำลังหมุนไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดที่ช่องพื้นหลังสีฟ้า นางอ่านตัวอักษรที่เรืองแสงตรงหน้า หมวดเครื่องใช้
“ยินดีด้วย โฮสต์ได้เสื้อคลุมหนึ่งชุด ความสามารถคือ ลดตัวตนของผู้ที่สวมใส่ คนธรรมดาจะไม่สามารถจับสัมผัสถึงตัวตนของโฮสต์ได้ ส่วนผู้บ่มเพาะระยะแรกเริ่มจะสัมผัสถึงตัวตนของโฮสต์ได้เลือนรางเท่านั้น”
“กำลังต้องการอยู่พอดี แม้สมบัติสิ่งนั้นจะสามารถใช้ซ่อนตัวได้ แต่ก็ใช้ได้จำกัดจำนวนครั้ง” อิงหลิวพูดพลางหยิบสมบัติวิเศษที่ตนพูดถึงขึ้นมา
“ค้นพบอุปกรณ์ติดตาม
โฮสต์โปรดตรวจสอบ” สิ้นเสียงของระบบ อิงหลิวถึงกับต้องก้มมองสมบัติวิเศษที่อยู่ในมือของตนทันที“ส่วนรากวิญญาณนั้น ข้าก็แค้นพวกท่านนะ แต่ข้าก็คิดได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าคิดได้คืออะไร?” หลังอิงหลิวพูดขึ้นมา สีหน้าของคนตรงหน้านั้นก็เผยถึงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน“สิ่งที่พวกท่านทำลงไปนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้ยาพิษหรืออาคมอะไรพวกนั้น แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความผิดของพวกท่าน ดังนั้นแล้วผลการกระทำที่จะตามกลับมานั้นก็เป็นพวกท่านที่รับผลนั้นไป และข้าเชื่อว่าความผิดที่พวกท่านกระทำนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้าแค่คนเดียวหรอกนะ แต่พวกท่านคงได้กระทำความผิดออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง เหล่าผู้ที่ถูกพวกท่านกระทำลงไปคงได้คิดหาวิธีสังหารพวกท่านไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่” สิ้นเสียงของอิงหลิว ทั้งโจวลู่เหอและหลี่เหมยอี้ที่อยู่ในร่างของหลี่เหมยหรงก็เผยสีหน้ายากจะคาดเดา“และแน่นอนว่าเรื่องต่อจากนี้ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ส่วนในตอนนี้ทั้งยาพิษที่อยู่ในตัวของหลี่เหมยหรง พิษเสน่หากล้ำกลืนที่เป็นยาพิษระดับ5 ท่านเอาโอสถถอนพิษไปกินก่อนเถอะ” อิงหลิวพูดจบก็เดินไปหยิบเอาโอสถถอนพิษที่อยู่บนชั้นวางให้กับหลี่เหมยอี้“ส่วนอาคมและพันธสัญญาที่อยู่ในตัวของพวกท่านนั้น คงต้องใช้เวลาสักพักในการทำลายสิ่งพวกนั้น” ห
สถานที่ที่สามสาวตระกูลลี่บอกกับนางว่าเป็นที่ใช้กักขังโจวเจียลี่ คือ จวนขุนนางแซ่หลินแห่งแคว้นไป๋ หากข่าวลือที่อิงหลิวได้ยินมาไม่ผิด ขุนนางแซ่หลิน หรือแม่ทัพใหญ่หลินนั้น เป็นคนของดินแดนนภามาตั้งแต่ต้นและเป็นศิษย์สายนอกคนหนึ่งของสำนักปราบเซียนที่ได้รับมอบหมายให้มาสร้างรากฐานภายในแคว้นไป๋แม่ทัพใหญ่หลินมีบุตรชายบุตรสาวที่มีฝีมือไม่ธรรมดา และหนึ่งในนั้นก็มีตำแหน่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา คือ แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล หลินหยู ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นก็สามารถบ่มเพาะพลังจนถึงขั้นสร้างรากฐานตอนปลายแล้ว ซ้ำยังมีรากวิญญาณแท้ ธาตุไฟ อีกด้วยหลินฮุ่ยเจีย บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลขุนนางแซ่หลิน ก็มีพรสวรรค์ไม่แพ้บุตรคนอื่น ปัจจุบันมีอายุสิบเจ็ดปี ก็สามารถบ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นสร้างรากฐานขั้นต้น และยิ่งครอบครองรากวิญญาณเซียน ธาตุวาโยพิสุทธิ์ จึงเป็นยิ่งกว่าไข่มุกในมือของผู้เป็นบิดา“แล้วทำไมเจียลี่ ถึงได้ยอมถูกกักขังในจวนขุนนางแซ่หลินนี้กัน คงไม่ใช่ว่าเกิดไปหลงรักบุรุษบางคนเข้าหรอกนะ” อิงหลิวคิดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มหนักใจเล็กน้อย หากว่าเกิดไปหลงรักผู้อื่นจริง นางคงได้ใช้กำลังพากลับบ้านเป็นแน่--------------
อิงหลิวขึ้นขี่หลังของเทียนคงตรงไปยังสถานที่กลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโจวนัก ในทันทีที่นางอยู่บนที่สูงนางก็มองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ด้านล่างบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน ในคราแรกที่นางอ่านรายละเอียดของภารกิจฉุกเฉินที่นางได้รับมาในตอนนั้น นางนึกถึงภาพเลวร้ายมากที่สุดทันที ไม่ว่าจะเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ทั้งอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นเกิดขึ้นก็ได้ แต่ภาพที่ปรากฏในตอนนี้แม้จะมีการนองเลือดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่ทุกคนจะรับได้“ดูจากชุดแล้ว พวกเขาคงเป็นคนของสำนักเทียบฟ้า” อิงหลิวเห็นกลุ่มคนที่กำลังกระจายกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ในส่วนพื้นที่ที่สำนักของพวกเขารับผิดชอบ เพราะในส่วนพื้นที่ที่อยู่ข้างกันนางเห็นเป็นกลุ่มที่สวมใส่ชุดอีกเครื่องแบบหนึ่ง“พระจันทร์เหรอ หรือเป็นสำนักจันทร์เสี้ยวที่รั้งอยู่อันดับที่สอง” นางจำได้รางๆ ว่าทั้งสองสำนักนี้ไม่ค่อยถูกกันนัก ไม่สิ ออกจะชังขี้หน้ากันด้วยซ้ำ แต่ภาพตรงหน้าทั้งสองกลุ่มกลับสามารถร่วมมือกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายพวกนี้ได้“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่แปลกที่ไป๋จูและเสวี่ยเฟยจะมีท่าทางแบบนั้น เอาล่ะไปด
หลังอิงหลิวพูดจบการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งสามก็ฉายชัดออกมาทันที สายตาของพวกนางเผยถึงความตกใจและความหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้อิงหลิวนึกแปลกใจคือริมฝีปากของพวกนางที่กำลังพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่มีทีท่าจะหยุด“นั่นมัน...” สิ้นเสียงของอิงหลิว ไป๋จู เสวี่ยเฟย และเทียนคงที่เพิ่งบินลงมาก็ทำการเรียกใช้พลังเพื่อหยุดการกระทำของกลุ่มหญิงสาวตรงหน้าทันทีไป๋จูเดินไปหยุดข้างกายผู้เป็นนายพร้อมทั้งร้องบอกถึงการกระทำของกลุ่มหญิงสาวที่ถูกแช่แข็ง พวกมันไม่รู้หรอกว่าพวกนางกำลังคิดจะทำอะไร แต่ที่พวกมันรู้คือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ความดำมืดที่ค่อย ๆ กัดกินพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวพวกนาง ก็เป็นการแสดงให้รู้ได้เลยว่าสิ่งที่พวกนางกำลังกระทำอยู่นั้นไม่เป็นผลดีต่อคนทั่วไป และยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้เป็นนายของมันที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่จริงแล้วข้าพอรู้ว่าพวกนางกำลังจะทำอะไร” อิงหลิวลูบหัวสัตว์อสูรทั้งสามที่เดินมาอยู่ข้างกายนาง นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พวกมันมีต่อนางมากกว่าครั้งไหน ๆ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่นางเพิ่งเผชิญอยู่
ในระหว่างที่สำนักใหญ่ทั้งหมดบนหน้าทำเนียบกำลังเข้าสู่ช่วงตึงเครียด สำนักแห่งอื่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าสำนักใหญ่นั้นก็เริ่มมีการประชุมเช่นกัน หากแต่ไม่ใช่เป็นการประชุมที่มีไว้รับมือคนจากต่างดินแดนแต่เป็นการประชุมเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มาจากการลงมือในครั้งนี้ของพวกสำนักใหญ่“พวกเจ้าว่าครั้งนี้ศิษย์ของสำนักไหนจะล้มตายมากที่สุด” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเจ้าสำนักปลายแถวดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าสำนักแห่งอื่นมากับครบแล้ว“ก็คงไม่พ้นสำนักอสูรคำรามหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าสำนักของมันกำลังจะหลุดจากบนทำเนียบแล้ว ครั้งนี้เจ้าสำนักของมันคงสั่งศิษย์ให้ไปสร้างชื่อเสียงในภารกิจนี้กลับมาอีกครั้งล่ะมั้ง” ใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนเผยชัดถึงความเอือมระอาของเจ้าสำนักแห่งนั้น“เจ้ายังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกหรือไง หานฟง” น้ำเสียงหวานของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นหลังเห็นใบหน้าของสหายตนที่เริ่มปรากฏร่องรอยอารมณ์บางอย่าง“มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ข้าไม่ได้สนใจมันแล้วล่ะ หนี่ซิน” สิ้นเสียงนั้น สตรีที่ถูกเรียกชื่อก็เผยยิ้มกว้างออกมา แม้จะรู้ว่าคำตอบที่นางเพิ่งได้รับจะเป็นเพียงคำโกหกก็ตามภายในสำนักอสูรคำรามที่ต
“เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่!?” ผู้อาวุโสเจียงแห่งสำนักเทียบฟ้าถามขึ้นมาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะหากเป็นตัวนาง นางก็ย่อมระมัดระวังตัวเป็นเรื่องธรรมดา“ผู้อาวุโสเจียงไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่า ช่วงนี้มีผู้บ่มเพาะไม่คุ้นหน้าเดินไปมาให้เห็นกันได้ทั่ว ทั้งที่ปกติแล้วผู้ฝึกตนหรือผู้บ่มเพาะก็ไม่ได้พบเจอได้ง่ายดายขนาดนั้น” อิงหลิวเปิดปากพูดถึงข้อสงสัยข้อแรกขึ้นมา เพื่อจะได้ดูทีท่าของคนจากสำนักอื่นด้วย“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าพูดก่อนหน้ากัน” นายน้อยเฮยเผยแววตาบางอย่างออกมาหลังได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูด“หากผู้บ่มเพาะมากมายพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสำนักของพวกเจ้า และไม่ได้เข้าไปฝึกฝนในสำนักอื่นบนดินแดนนี้ นั่นหมายความว่าเช่นไร พวกเจ้ารู้หรือไม่” สิ้นเสียงนาง สายตาที่คนทั้งสี่หันมาจับจ้องนางก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ที่เจ้าหมายถึง คงไม่ใช่ว่า...” ผู้อาวุโสจ้าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่าผู้อื่นก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา“จ้านเว่ย เจ้ารู้เรื่องอะไรกันแน่” นายน้อยเฮยซึ่งปกติแล้วงานในสำนักก็มีมากจนล้นมือจึงไม่ได้สนใจข่าวสารภายนอกเหมือนกับส







